งานหนังสือจบแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ ทุกคนได้หนังสือที่อยากได้รึเปล่าเอ่ย
ไอดินกับมุสภาคสี่ก็ใกล้จบแล้วเหมือนกันค่ะ หลังจากสัปดาห์นี้แล้วก็เหลืออีกหนึ่งตอนกับบทส่งท้ายเน่อ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๒
https://pantip.com/topic/40236110
###
บทที่ ๑๓
ห้องนั้นเป็นสีขาวสว่าง
กลางห้องมีโต๊ะโลหะเรียบๆ ตัวหนึ่ง เก้าอี้โลหะสองตัววางอยู่ตรงข้ามกัน
เจ้าหน้าที่หน้าตาเคร่งขรึมนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนผม...นั่งก้มหน้างุดอยู่ตรงข้ามเขา เบื้องหน้าผมมีสายรัดข้อมือสีชมพูกับเป้ที่ผมแบกไปในมิติดึกดำบรรพ์วางอยู่ จำได้ว่าตอนกลับมา ผมทิ้งเป้ใบนั้นไว้บนพื้นห้องแล้วก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย คิดว่าตอนที่พวกเจ้าหน้าที่หิ้วผมมา คงมีใครคนหนึ่งคงหยิบของสองอย่างนี้ติดมือมาด้วย
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก แค่ต้องการข้อมูลนิดหน่อย” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอ่ยขึ้น ทว่าน้ำเสียงทุ้มลึกนั่น ต่อให้พยายามพูดปลอบอย่างไรก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
คุณเจ้าหน้าที่หน้าเครียดเงียบไปพักหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเพราะมัวแต่ก้มหน้า มีเพียงความรู้สึกว่าสายตาดุดันคู่นั้นยังจ้องมองผมอยู่
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นอีก เขาแนะนำตัวด้วยชื่อจริงที่เป็นตัวเลขยาวเหยียด ก่อนจะบอกให้ผมเรียกเขาว่า ป้องหล้า
“ยังไม่หยุดสั่นอีกรึ” คุณเจ้าหน้าที่ป้องหล้าถาม ผมจึงเพิ่งรู้สึกว่าขาผมสั่นจนโต๊ะเขย่ามาสักพักแล้ว ผมพยายามความคุมตัวเองให้หยุดสั่น แต่มันก็ไม่ยอมหยุดเสียที คุณเจ้าหน้าที่จึงถอนหายใจยาว แล้วลุกจากเก้าอี้ ก้าวไปแง้มเลื่อนประตูห้องเพื่อบอกกล่าวอะไรกับหุ่นผู้ช่วยที่ด้านนอกนิดหนึ่ง จากนั้นจึงกลับมานั่งที่เดิมโดยไม่เอ่ยอะไร
ไม่นานนัก ประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก มีคนก้าวเข้ามาภายในห้อง เอาเก้าอี้โลหะมาวางข้างตัวผม จากนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินมากระแทกนั่งลงที่เก้าอี้นั้น
“หนูบอกแล้ว หนูไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นแบบนี้มีเพียงคนเดียวในโลก เอ๊ย! ในมิตินี้
ผมสะบัดหันไปมองทันที “เกล็ดแก้ว...” ผมครางขึ้น ยายนั่นก็ชำเลืองมองผมด้วยหางตา เชิดหน้าเอ่ยกับคุณเจ้าหน้าที่ป้องหล้าอีก
“หนูไม่รู้จักเขาค่ะ”
“แต่เขาเรียนห้องเดียวกับเธอไม่ใช่รึ”
“แทบไม่เคยคุยกันเลยค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็ว
ผมมองเธอด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ หันกลับมา ก้มหน้ามองมือตัวเองที่วางอยู่บนตักอีก
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง คุณเจ้าหน้าที่จึงค่อยถามขึ้นอีก “เธอจำสายรัดข้อมือเส้นนี้ได้ไหม”
“ไม่เคยเห็นค่ะ” ยายนั่นตอบก่อนที่คุณเจ้าหน้าที่จะถามจบเสียอีก
ได้ยินคุณเจ้าหน้าที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเธอคงไม่สนใจว่าในนี้มีข้อมูลอะไรบ้าง ฉันจะให้คนลบข้อมูลทั้งหมดก็แล้วกัน”
คราวนี้ยายผงซิลิก้าเงียบไป ใจผมก็เต้นเร็วขึ้น
“แปลว่าคุณเองก็ไม่อยากรู้หรือคะว่าในนั้นมีข้อมูลอะไร” ยายนั่นย้อนถาม
คุณเจ้าหน้าที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อีก “ไม่” เขาตอบสั้นๆ แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป ผมจึงชำเลืองขึ้นมอง เห็นสองคนนั้นกำลังจ้องหน้ากันนิ่ง มุมปากของป้องหล้าเหมือนจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้ม ส่วนยายเกล็ดแก้วก็นิ่งขึ้งตามแบบของเธอ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูกลับได้รึยังคะ” ยายนั่นบอกพร้อมกับลุกพรวดขึ้น กระแทกเก้าอี้หงายหลังไป
ป้องหล้าผายมือไปทางประตู เธอเดินไปยืนที่หน้าประตู รอจนมันเปิดเธอก็ก้าวออกไป แต่ก่อนที่ประตูจะเลื่อนปิดลง เธอก็หันมาทางผม ทำปากขมุบขมิบ
‘จะหาทางช่วย’ ผมอ่านได้อย่างนั้น
ป้องหล้าหันมาทางผม “หายสั่นแล้วนี่” เขาบอก ผมจึงรีบก้มหน้ามองมือตัวเองอีก “คราวนี้ตอบคำถามฉันหน่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็หยิบสายรัดข้อมือสีชมพูบนโต๊ะขึ้นมา “ฉันให้คนเปิดดูข้อมูลในนี้แล้ว น่าสนใจทีเดียว...” เขาหยุดนิดหนึ่ง พอเห็นผมนั่งเงียบ เขาจึงเอ่ยต่อ “คนตัวเล็กพวกนี้ อยู่ต่างมิติใช่รึเปล่า”
ผมยังคงเงียบอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นจากโต๊ะ ก้าวมาทางผม
“คนที่จับเธอไปก็ดูเหมือนจะข้ามมิติได้ อืม...ใช่คนที่โผล่มาในมิติเราเมื่อหลายวันก่อนรึเปล่า คนที่ถูกสัตว์แปลกๆ มีปีกสีขาวไล่ตามบนถนนน่ะ”
ผมเม้มปากแน่น มือก็กำเข้าหากันจนข้อนิ้วเป็นสีขาว
“ยังมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง คนที่ชื่อมุสนั่น เป็นคนที่พาเธอข้ามมิติใช่หรือไม่”
“ผม...ไม่...รู้” เสียงผมสั่นเครือ ขณะเดียวกันหยาดน้ำก็ค่อยๆ หยดลงบนมือที่บีบแน่น “ผมไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” ผมร้องออกมาแล้วก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ จากนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นอีก
---
ป้องหล้าขังผมไว้อยู่ในห้องสีขาวนั้น
ระหว่างที่ถูกขังอยู่ ป้องหล้าเข้ามาสอบสวนผมวันละสองสามครั้ง แต่ละครั้งก็นานร่วมชั่วโมง เขาพยายามพูดจาหว่านล้อมให้ผมพูด ถามว่าผมข้ามมิติครั้งแรกเมื่อไหร่ พบกับมุสได้อย่างไร มุสเป็นใครมาจากไหน (ซึ่งผมไม่รู้จริงๆ) ผมไม่ได้บอกอะไรกับเขาเลย ดังนั้นพอถึงวันที่สาม เขาเข้ามาหาผมในตอนเช้า เรียกให้ผมนั่งลงที่โต๊ะ แล้วเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือของตัวเองฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นที่กลางห้องนั้น
“นี่เป็นข้อมูลที่เรามีอยู่” เขาบอก ภาพที่ฉายขึ้นเป็นภาพหนังสือกว่าสิบเล่ม ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนบ้าง บนปกบางเล่มเขียนว่า ‘สัตว์ในเทพนิยายโบราณ’ ‘มังกรกับความเชื่อ’ ‘สัตว์เหล่านี้อยู่ที่ไหน’ ทุกเล่มล้วนเกี่ยวกับสัตว์ในตำนานและเทพนิยายทั้งนั้น “หนังสือเหล่านี้รวบรวมมาจากหลายเขตปกครอง ทั้งหมดพูดถึงสัตว์ในตำนาน เทพนิยาย ซึ่งหลายแหล่งค่อนข้างตรงกันทีเดียว”
จากนั้นเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าอยู่ในเขตปกครองไหน ที่นั่นมีโครงกระดูกสัตว์แปลกๆ มากมาย บางตัวก็ดูคล้ายสัตว์ที่ผมเห็นในมิติดึกดำบรรพ์ของพวกคนกระปุ๊กลุก
“มิติของเราเคยมีสิงโต ช้าง นก เคยมีคนพบฟอสซิลของเสือเขี้ยวดาบ ฉลามเมกะโลดอน ไดโนเสาร์ แล้วก็สัตว์โบราณที่เคยมีชีวิตอยู่นับเป็นร้อยๆ ล้านปี แต่เราไม่เคยเจอกระดูกมังกร ยูนิคอร์น หรือกิเลนเลย” เขาหยุดแล้วหันมาทางผม “แต่มิติของเรามีบันทึกเกี่ยวกับสัตว์พวกนี้ แสดงว่าต้องมีใครเคยเห็นพวกมันที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ในมิติของเราแล้วบันทึกไว้ ใครสักคนที่เคยไปเยือนต่างมิติ หรือใครสักคนที่เคยมายังมิติของเรา...”
ความสงสัยของเขาก็มีเหตุผล อันที่จริงผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่งรู้จักกับมุส ผมจึงเริ่มสงสัย เกล็ดแก้วเองก็เคยตั้งข้อสังเกตเช่นกัน แต่เรื่องเล่าและตำนานพวกนี้มีมาแต่โบราณ การข้ามมิติจะมีตั้งแต่ตอนนั้นเชียวหรือ
“โชคดีที่เรามีเทคโนโลยีซึ่งสามารถสืบประวัติของทุกคนได้” คุณเจ้าหน้าที่บอกต่อไป “ดังนั้นถ้ามีใครโผล่มาโดยไม่มีประวัติ เราก็จะจับตาดูเป็นพิเศษ” ว่าแล้วเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพสามมิติของชายร่างเล็กผู้หนึ่ง “คนผู้นี้โผล่มาในเขตปกครองที่สองร้อยสิบสี่เมื่อราวสามสิบปีก่อน อยู่เพียงสองสามวันแล้วก็หายไป เราจึงไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขามากนัก”
ป้องหล้าสั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพต่อไป คราวนี้เป็นสาวสวยร่างสูงโปร่ง ด้านข้างมีภาพปีกกับหางนกด้วย “เราพบหญิงสาวคนนี้ในเขตปกครองที่เจ็ดสิบหก เธอดูเหมือนหญิงสาวธรรมดา แต่ความจริงแล้วเธอสามารถสวมปีกหางอย่างในภาพที่ด้านข้างแล้วบินไปในอากาศได้ เธออยู่ในเขตปกครองนั้นได้ราวครึ่งปีเศษก็เสียชีวิต จากการชันสูตรพบว่า ร่างกายของเธอไม่สามารถปรับสภาพให้เข้ากับเขตปกครองนี้ได้ เซลล์ที่เสื่อมสลายไม่สามารถสร้างใหม่ สุดท้ายอวัยวะแต่ละส่วนก็ค่อยๆ หยุดทำงานไป”
เขาหันมาทางผม มุมปากเหยียดเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่คล้ายรอยยิ้ม แล้วจึงสั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพต่อไป ภาพของชายร่างผอมสูงแต่ดูภูมิฐาน ชายที่ผมรู้จักในนาม...ปราบแดน
“เราพบเขาครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนในเขตปกครองที่หกร้อยแปด” ป้องหล้าบอกต่อไป “ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในร่างนี้ และพยายามหลบซ่อนตัวจากผู้คนเพราะเห็นว่ารูปร่างตัวเองแตกต่างจากผู้อื่น ในขณะเดียวกันเขาก็ดูเหมือนพยายามเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในมิติเรา เริ่มเรียนรู้ภาษาจากการลอบฟังผู้คนสนทนากัน ฉกฉวยเสื้อผ้ารัดกุมเพื่อปกปิดร่างกายที่แตกต่างนั้นแล้วออกมาพบปกผู้คน แต่ก็นั่นละ เขาแตกต่างเกินไป คนที่เขาพบล้วนสังเกตเห็นความแตกต่าง สุดท้าย เราจึงต้องยื่นมือเข้าช่วย”
“เรา...หรือครับ”
“ใช่ เรา...รัฐบาลโลก” เขาบอกเรียบๆ แล้วยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าของผม “วางใจได้ มีคนแค่ไม่กี่คนในรัฐบาลโลกที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ด้านนอกนั่นยังไม่รู้เลยว่าพวกเธอถูกจับมาเพราะอะไร”
ผมผงกศีรษะรับ แล้วหันกลับไปที่ภาพโฮโลแกรมของปราบแดน เขาจึงเล่าต่อไป “เราลอบนำศพคนที่เพิ่งเสียชีวิต พร้อมสายรัดข้อมือซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของศพนั้น ไปไว้ใกล้กับบริเวณที่เขาหลบซ่อนอยู่ แล้วเฝ้าดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับศพนั้น ซึ่งสิ่งที่เขาทำก็ทำให้เราตื่นตะลึงไม่น้อย”
“เขาให้ศพนั้นแทนเสื้อผ้า แล้วปลอบเป็นคนผู้นั้นเสียเอง...” ผมครางเบาๆ
“ถูกต้อง” ป้องหล้ายิ้มออกมา คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆ “แต่ก่อนหน้าที่เขาจะสวมศพนั้นแทนเสื้อผ้า เขาต้องเตรียมศพนั้นเสียก่อน ซึ่งเธอคงไม่อยากรู้กระมังว่าเขาเตรียมยังไง”
ผมส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิดเลย
“หลังจากนั้นเราก็ให้คนไปประกบเขา ตีสนิทกับเขา ช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาต้องการ ทำให้เขาได้เป็นนักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านตะวัน ขณะเดียวกันก็เก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานที่เขาทำทั้งหมด จนกระทั่งเขาหุนหันมายังเขตปกครองนี้ เพราะได้ข่าวเพื่อนของเธอ”
เล่าจบแล้วเขาก็หยุดไปครู่ใหญ่ ปล่อยให้ผมใช้ความคิดเงียบๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ต้องรู้ว่างานวิจัยของเขาคืออะไร”
ป้องหล้าผงกศีรษะ “รู้” เขาตอบสั้นๆ
“แล้วคุณก็รู้ว่าทำไมเขาจึงต้องการพบมุส”
เขาผงกศีรษะรับอีก
“แต่พวกคุณต้องการรู้เรื่องของมุสไปเพื่ออะไร” ผมถามจี้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆ
ป้องหล้าเงียบไปสักพักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ แล้วจึงตอบขึ้นช้าๆ “รัฐบาลโลกมีโครงการลับอยู่หลายโครงการ...”
อันนี้ผมก็พอรู้ ถึงจะไม่มีใครยืนยันได้ แต่มันก็เป็นเรื่องซุบซิบให้คนเดากันไปต่างๆ นานา ซึ่งพอถึงตอนนี้ ต่อให้ไม่ต้องเดา ผมก็รู้ว่าโครงการหนึ่งในนั้นคืออะไร
“หนึ่งในโครงการนั้นก็คือ การข้ามมิติ”
คราวนี้ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ “มุสไม่ใช่ตัวทดลองหรือต้นแบบให้ใครเอาไปลอกเลียนนะครับ” ผมบอกกึ่งประชด
“ฉันเข้าใจ แล้วเราก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเขาด้วย แค่ต้องการข้อมูลเท่านั้น”
ผมเม้มปากไปอีก ครู่ต่อมาความคิดบางอย่างจึงปรากฏขึ้นในหัว
“ถ้าผมบอก คุณต้องปล่อยพ่อ แม่ เกล็ดแก้ว...เอ้อ แล้วก็เจ้าอิมด้วย ตกลงไหมครับ”
ป้องหล้าเหยียดมุมปากนิดหนึ่ง แล้วจึงผงกศีรษะช้าๆ “ตกลง”
###
พบกันอีกสองสัปดาห์นะคะ
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimension 4) บทที่ ๑๓
ไอดินกับมุสภาคสี่ก็ใกล้จบแล้วเหมือนกันค่ะ หลังจากสัปดาห์นี้แล้วก็เหลืออีกหนึ่งตอนกับบทส่งท้ายเน่อ
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๒ https://pantip.com/topic/40236110
###
บทที่ ๑๓
ห้องนั้นเป็นสีขาวสว่าง
กลางห้องมีโต๊ะโลหะเรียบๆ ตัวหนึ่ง เก้าอี้โลหะสองตัววางอยู่ตรงข้ามกัน
เจ้าหน้าที่หน้าตาเคร่งขรึมนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนผม...นั่งก้มหน้างุดอยู่ตรงข้ามเขา เบื้องหน้าผมมีสายรัดข้อมือสีชมพูกับเป้ที่ผมแบกไปในมิติดึกดำบรรพ์วางอยู่ จำได้ว่าตอนกลับมา ผมทิ้งเป้ใบนั้นไว้บนพื้นห้องแล้วก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย คิดว่าตอนที่พวกเจ้าหน้าที่หิ้วผมมา คงมีใครคนหนึ่งคงหยิบของสองอย่างนี้ติดมือมาด้วย
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก แค่ต้องการข้อมูลนิดหน่อย” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเอ่ยขึ้น ทว่าน้ำเสียงทุ้มลึกนั่น ต่อให้พยายามพูดปลอบอย่างไรก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
คุณเจ้าหน้าที่หน้าเครียดเงียบไปพักหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเพราะมัวแต่ก้มหน้า มีเพียงความรู้สึกว่าสายตาดุดันคู่นั้นยังจ้องมองผมอยู่
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นอีก เขาแนะนำตัวด้วยชื่อจริงที่เป็นตัวเลขยาวเหยียด ก่อนจะบอกให้ผมเรียกเขาว่า ป้องหล้า
“ยังไม่หยุดสั่นอีกรึ” คุณเจ้าหน้าที่ป้องหล้าถาม ผมจึงเพิ่งรู้สึกว่าขาผมสั่นจนโต๊ะเขย่ามาสักพักแล้ว ผมพยายามความคุมตัวเองให้หยุดสั่น แต่มันก็ไม่ยอมหยุดเสียที คุณเจ้าหน้าที่จึงถอนหายใจยาว แล้วลุกจากเก้าอี้ ก้าวไปแง้มเลื่อนประตูห้องเพื่อบอกกล่าวอะไรกับหุ่นผู้ช่วยที่ด้านนอกนิดหนึ่ง จากนั้นจึงกลับมานั่งที่เดิมโดยไม่เอ่ยอะไร
ไม่นานนัก ประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก มีคนก้าวเข้ามาภายในห้อง เอาเก้าอี้โลหะมาวางข้างตัวผม จากนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินมากระแทกนั่งลงที่เก้าอี้นั้น
“หนูบอกแล้ว หนูไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นแบบนี้มีเพียงคนเดียวในโลก เอ๊ย! ในมิตินี้
ผมสะบัดหันไปมองทันที “เกล็ดแก้ว...” ผมครางขึ้น ยายนั่นก็ชำเลืองมองผมด้วยหางตา เชิดหน้าเอ่ยกับคุณเจ้าหน้าที่ป้องหล้าอีก
“หนูไม่รู้จักเขาค่ะ”
“แต่เขาเรียนห้องเดียวกับเธอไม่ใช่รึ”
“แทบไม่เคยคุยกันเลยค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็ว
ผมมองเธอด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ หันกลับมา ก้มหน้ามองมือตัวเองที่วางอยู่บนตักอีก
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง คุณเจ้าหน้าที่จึงค่อยถามขึ้นอีก “เธอจำสายรัดข้อมือเส้นนี้ได้ไหม”
“ไม่เคยเห็นค่ะ” ยายนั่นตอบก่อนที่คุณเจ้าหน้าที่จะถามจบเสียอีก
ได้ยินคุณเจ้าหน้าที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเธอคงไม่สนใจว่าในนี้มีข้อมูลอะไรบ้าง ฉันจะให้คนลบข้อมูลทั้งหมดก็แล้วกัน”
คราวนี้ยายผงซิลิก้าเงียบไป ใจผมก็เต้นเร็วขึ้น
“แปลว่าคุณเองก็ไม่อยากรู้หรือคะว่าในนั้นมีข้อมูลอะไร” ยายนั่นย้อนถาม
คุณเจ้าหน้าที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อีก “ไม่” เขาตอบสั้นๆ แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป ผมจึงชำเลืองขึ้นมอง เห็นสองคนนั้นกำลังจ้องหน้ากันนิ่ง มุมปากของป้องหล้าเหมือนจะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาไม่ยิ้ม ส่วนยายเกล็ดแก้วก็นิ่งขึ้งตามแบบของเธอ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูกลับได้รึยังคะ” ยายนั่นบอกพร้อมกับลุกพรวดขึ้น กระแทกเก้าอี้หงายหลังไป
ป้องหล้าผายมือไปทางประตู เธอเดินไปยืนที่หน้าประตู รอจนมันเปิดเธอก็ก้าวออกไป แต่ก่อนที่ประตูจะเลื่อนปิดลง เธอก็หันมาทางผม ทำปากขมุบขมิบ
‘จะหาทางช่วย’ ผมอ่านได้อย่างนั้น
ป้องหล้าหันมาทางผม “หายสั่นแล้วนี่” เขาบอก ผมจึงรีบก้มหน้ามองมือตัวเองอีก “คราวนี้ตอบคำถามฉันหน่อยก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็หยิบสายรัดข้อมือสีชมพูบนโต๊ะขึ้นมา “ฉันให้คนเปิดดูข้อมูลในนี้แล้ว น่าสนใจทีเดียว...” เขาหยุดนิดหนึ่ง พอเห็นผมนั่งเงียบ เขาจึงเอ่ยต่อ “คนตัวเล็กพวกนี้ อยู่ต่างมิติใช่รึเปล่า”
ผมยังคงเงียบอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นจากโต๊ะ ก้าวมาทางผม
“คนที่จับเธอไปก็ดูเหมือนจะข้ามมิติได้ อืม...ใช่คนที่โผล่มาในมิติเราเมื่อหลายวันก่อนรึเปล่า คนที่ถูกสัตว์แปลกๆ มีปีกสีขาวไล่ตามบนถนนน่ะ”
ผมเม้มปากแน่น มือก็กำเข้าหากันจนข้อนิ้วเป็นสีขาว
“ยังมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง คนที่ชื่อมุสนั่น เป็นคนที่พาเธอข้ามมิติใช่หรือไม่”
“ผม...ไม่...รู้” เสียงผมสั่นเครือ ขณะเดียวกันหยาดน้ำก็ค่อยๆ หยดลงบนมือที่บีบแน่น “ผมไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” ผมร้องออกมาแล้วก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ จากนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นอีก
---
ป้องหล้าขังผมไว้อยู่ในห้องสีขาวนั้น
ระหว่างที่ถูกขังอยู่ ป้องหล้าเข้ามาสอบสวนผมวันละสองสามครั้ง แต่ละครั้งก็นานร่วมชั่วโมง เขาพยายามพูดจาหว่านล้อมให้ผมพูด ถามว่าผมข้ามมิติครั้งแรกเมื่อไหร่ พบกับมุสได้อย่างไร มุสเป็นใครมาจากไหน (ซึ่งผมไม่รู้จริงๆ) ผมไม่ได้บอกอะไรกับเขาเลย ดังนั้นพอถึงวันที่สาม เขาเข้ามาหาผมในตอนเช้า เรียกให้ผมนั่งลงที่โต๊ะ แล้วเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือของตัวเองฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นที่กลางห้องนั้น
“นี่เป็นข้อมูลที่เรามีอยู่” เขาบอก ภาพที่ฉายขึ้นเป็นภาพหนังสือกว่าสิบเล่ม ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนบ้าง บนปกบางเล่มเขียนว่า ‘สัตว์ในเทพนิยายโบราณ’ ‘มังกรกับความเชื่อ’ ‘สัตว์เหล่านี้อยู่ที่ไหน’ ทุกเล่มล้วนเกี่ยวกับสัตว์ในตำนานและเทพนิยายทั้งนั้น “หนังสือเหล่านี้รวบรวมมาจากหลายเขตปกครอง ทั้งหมดพูดถึงสัตว์ในตำนาน เทพนิยาย ซึ่งหลายแหล่งค่อนข้างตรงกันทีเดียว”
จากนั้นเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าอยู่ในเขตปกครองไหน ที่นั่นมีโครงกระดูกสัตว์แปลกๆ มากมาย บางตัวก็ดูคล้ายสัตว์ที่ผมเห็นในมิติดึกดำบรรพ์ของพวกคนกระปุ๊กลุก
“มิติของเราเคยมีสิงโต ช้าง นก เคยมีคนพบฟอสซิลของเสือเขี้ยวดาบ ฉลามเมกะโลดอน ไดโนเสาร์ แล้วก็สัตว์โบราณที่เคยมีชีวิตอยู่นับเป็นร้อยๆ ล้านปี แต่เราไม่เคยเจอกระดูกมังกร ยูนิคอร์น หรือกิเลนเลย” เขาหยุดแล้วหันมาทางผม “แต่มิติของเรามีบันทึกเกี่ยวกับสัตว์พวกนี้ แสดงว่าต้องมีใครเคยเห็นพวกมันที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่ในมิติของเราแล้วบันทึกไว้ ใครสักคนที่เคยไปเยือนต่างมิติ หรือใครสักคนที่เคยมายังมิติของเรา...”
ความสงสัยของเขาก็มีเหตุผล อันที่จริงผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่งรู้จักกับมุส ผมจึงเริ่มสงสัย เกล็ดแก้วเองก็เคยตั้งข้อสังเกตเช่นกัน แต่เรื่องเล่าและตำนานพวกนี้มีมาแต่โบราณ การข้ามมิติจะมีตั้งแต่ตอนนั้นเชียวหรือ
“โชคดีที่เรามีเทคโนโลยีซึ่งสามารถสืบประวัติของทุกคนได้” คุณเจ้าหน้าที่บอกต่อไป “ดังนั้นถ้ามีใครโผล่มาโดยไม่มีประวัติ เราก็จะจับตาดูเป็นพิเศษ” ว่าแล้วเขาก็สั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพสามมิติของชายร่างเล็กผู้หนึ่ง “คนผู้นี้โผล่มาในเขตปกครองที่สองร้อยสิบสี่เมื่อราวสามสิบปีก่อน อยู่เพียงสองสามวันแล้วก็หายไป เราจึงไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขามากนัก”
ป้องหล้าสั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพต่อไป คราวนี้เป็นสาวสวยร่างสูงโปร่ง ด้านข้างมีภาพปีกกับหางนกด้วย “เราพบหญิงสาวคนนี้ในเขตปกครองที่เจ็ดสิบหก เธอดูเหมือนหญิงสาวธรรมดา แต่ความจริงแล้วเธอสามารถสวมปีกหางอย่างในภาพที่ด้านข้างแล้วบินไปในอากาศได้ เธออยู่ในเขตปกครองนั้นได้ราวครึ่งปีเศษก็เสียชีวิต จากการชันสูตรพบว่า ร่างกายของเธอไม่สามารถปรับสภาพให้เข้ากับเขตปกครองนี้ได้ เซลล์ที่เสื่อมสลายไม่สามารถสร้างใหม่ สุดท้ายอวัยวะแต่ละส่วนก็ค่อยๆ หยุดทำงานไป”
เขาหันมาทางผม มุมปากเหยียดเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่คล้ายรอยยิ้ม แล้วจึงสั่งให้สายรัดข้อมือฉายภาพต่อไป ภาพของชายร่างผอมสูงแต่ดูภูมิฐาน ชายที่ผมรู้จักในนาม...ปราบแดน
“เราพบเขาครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนในเขตปกครองที่หกร้อยแปด” ป้องหล้าบอกต่อไป “ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในร่างนี้ และพยายามหลบซ่อนตัวจากผู้คนเพราะเห็นว่ารูปร่างตัวเองแตกต่างจากผู้อื่น ในขณะเดียวกันเขาก็ดูเหมือนพยายามเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในมิติเรา เริ่มเรียนรู้ภาษาจากการลอบฟังผู้คนสนทนากัน ฉกฉวยเสื้อผ้ารัดกุมเพื่อปกปิดร่างกายที่แตกต่างนั้นแล้วออกมาพบปกผู้คน แต่ก็นั่นละ เขาแตกต่างเกินไป คนที่เขาพบล้วนสังเกตเห็นความแตกต่าง สุดท้าย เราจึงต้องยื่นมือเข้าช่วย”
“เรา...หรือครับ”
“ใช่ เรา...รัฐบาลโลก” เขาบอกเรียบๆ แล้วยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าของผม “วางใจได้ มีคนแค่ไม่กี่คนในรัฐบาลโลกที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ด้านนอกนั่นยังไม่รู้เลยว่าพวกเธอถูกจับมาเพราะอะไร”
ผมผงกศีรษะรับ แล้วหันกลับไปที่ภาพโฮโลแกรมของปราบแดน เขาจึงเล่าต่อไป “เราลอบนำศพคนที่เพิ่งเสียชีวิต พร้อมสายรัดข้อมือซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของศพนั้น ไปไว้ใกล้กับบริเวณที่เขาหลบซ่อนอยู่ แล้วเฝ้าดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับศพนั้น ซึ่งสิ่งที่เขาทำก็ทำให้เราตื่นตะลึงไม่น้อย”
“เขาให้ศพนั้นแทนเสื้อผ้า แล้วปลอบเป็นคนผู้นั้นเสียเอง...” ผมครางเบาๆ
“ถูกต้อง” ป้องหล้ายิ้มออกมา คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆ “แต่ก่อนหน้าที่เขาจะสวมศพนั้นแทนเสื้อผ้า เขาต้องเตรียมศพนั้นเสียก่อน ซึ่งเธอคงไม่อยากรู้กระมังว่าเขาเตรียมยังไง”
ผมส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิดเลย
“หลังจากนั้นเราก็ให้คนไปประกบเขา ตีสนิทกับเขา ช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาต้องการ ทำให้เขาได้เป็นนักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านตะวัน ขณะเดียวกันก็เก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานที่เขาทำทั้งหมด จนกระทั่งเขาหุนหันมายังเขตปกครองนี้ เพราะได้ข่าวเพื่อนของเธอ”
เล่าจบแล้วเขาก็หยุดไปครู่ใหญ่ ปล่อยให้ผมใช้ความคิดเงียบๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ต้องรู้ว่างานวิจัยของเขาคืออะไร”
ป้องหล้าผงกศีรษะ “รู้” เขาตอบสั้นๆ
“แล้วคุณก็รู้ว่าทำไมเขาจึงต้องการพบมุส”
เขาผงกศีรษะรับอีก
“แต่พวกคุณต้องการรู้เรื่องของมุสไปเพื่ออะไร” ผมถามจี้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆ
ป้องหล้าเงียบไปสักพักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ แล้วจึงตอบขึ้นช้าๆ “รัฐบาลโลกมีโครงการลับอยู่หลายโครงการ...”
อันนี้ผมก็พอรู้ ถึงจะไม่มีใครยืนยันได้ แต่มันก็เป็นเรื่องซุบซิบให้คนเดากันไปต่างๆ นานา ซึ่งพอถึงตอนนี้ ต่อให้ไม่ต้องเดา ผมก็รู้ว่าโครงการหนึ่งในนั้นคืออะไร
“หนึ่งในโครงการนั้นก็คือ การข้ามมิติ”
คราวนี้ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ “มุสไม่ใช่ตัวทดลองหรือต้นแบบให้ใครเอาไปลอกเลียนนะครับ” ผมบอกกึ่งประชด
“ฉันเข้าใจ แล้วเราก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเขาด้วย แค่ต้องการข้อมูลเท่านั้น”
ผมเม้มปากไปอีก ครู่ต่อมาความคิดบางอย่างจึงปรากฏขึ้นในหัว
“ถ้าผมบอก คุณต้องปล่อยพ่อ แม่ เกล็ดแก้ว...เอ้อ แล้วก็เจ้าอิมด้วย ตกลงไหมครับ”
ป้องหล้าเหยียดมุมปากนิดหนึ่ง แล้วจึงผงกศีรษะช้าๆ “ตกลง”
###
พบกันอีกสองสัปดาห์นะคะ