งานหนังสือเป็นยังไงกันบ้างคะ เล่าให้ฟังบ้างเน่อ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๑
https://pantip.com/topic/40221749
###
บทที่ ๑๒
นาร์คูลเล่าทุกอย่างให้มุสฟัง
แต่เพราะความอ่อนด้อยในการสื่อสารของเขา เราจึงไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม นอกจากสิ่งที่เขาเคยบอกกับผมมาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี อย่างน้อยเราก็พอรู้เลาๆ ว่ามุสมีต้นกำเนิด...ทว่าต้นกำเนิดของเขา ไม่ได้อยู่ในมิติที่เขารู้จัก
“ข้าไม่เคยไปที่มิตินั้น” มุสบอกกับผมในคืนนั้น หลังจากที่ผมต้องลากมุสออกจากเรือนประดิษฐ์ให้กลับมาสงบสติอารมณ์ที่บ้านของซาห์ เนื่องจากคุยไปคุยมาแล้วมุสทำท่าจะกินเชลยของเราเข้าไป
“แต่...เขาบอกว่าเขารู้จักนาย” ผมถามเสียงเบาหวิว พลางชำเลืองมองสีหน้าเขา ซึ่งกำลังนั่งชันเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้นห้องพักริมหน้าต่าง ผมก็นั่งอยู่ข้างตัวเขา พยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของเขา ผมว่าเขาน่าจะตกใจกับสิ่งที่รู้มาพอสมควร
“เขาว่าเขารู้จักนิสเซ่ ไม่ใช่ข้า” หมอนั่นว่า คิ้วขมวดจนแทบชิดติดกัน
แต่เขาว่านายคือนิสเซ่... ผมนึกเถียงอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
อย่างไรก็ตาม คำพูดของนาร์คูลยังคลุมเครือและขัดแย้งกันอยู่ ประการแรก เขาไม่ได้บอกว่าตนเองรู้ได้อย่างไรว่าชื่อจริงของมุสคือนิสเซ่ ...หรือบางทีอาจจะบอก แต่พวกผมฟังไม่รู้เรื่องก็ได้... อีกประการหนึ่ง เขาว่าตัวเขาเองก็ไม่เคยพบนิสเซ่ในมิติที่เขาจากมา ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเข้าใจผิด
“แล้วนายจะทำยังไงกับเขา” ผมถามขึ้นเบาๆ เพื่อนผมไม่ได้ตอบ เขาทำเสียงขึ้นจมูกแล้วเชิดหน้าไปทางหนึ่ง เดาได้เลยว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมจึงลองเสนอดู “ปล่อยไปไหม”
“ได้ยังไง!” หมอนั่นตะโกนใส่จนผมต้องอุดหูหลับตาปี๋ “กว่าจะจับมาได้แทบแย่ นายจะให้ปล่อยไปง่ายๆ อย่างนั้นรึ”
ผมลืมตาขึ้นมองเขา นัยน์ตาสีทับทิมดูร้อนรน และดูเหมือน...เต็มไปด้วยคำถาม
“ช่างเถอะ” เขาหลบสายตา หันไปทางอื่น “ข้าจะพาเจ้ากลับมิติ”
“แต่...”
“บอกให้กลับก็กลับสิ น่ารำคาญจริง!”
---
บรรยากาศการจากลาในวันรุ่งขึ้นเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมของพวกคนกระปุ๊กลุก และคนที่ร้องหนักที่สุดก็คือซา
“เอาน่า ไว้วันหลังให้มุสพามาเยี่ยมอีกก็ได้” ผมปลอบ ‘เพื่อนใหม่’ พลางลูบหลังเขาเบาๆ ในตอนที่เขาโผเข้ามากอดผม
“จริงหรือ ท่านมุสจะพาเพื่อนใหม่มาอีกจริงๆ หรือ” เขาเอ่ยแล้วหันไปมองมุสเป็นเชิงถาม หมอนั่นก็เชิดหน้าไปทางอื่นตามระเบียบ ทำเอาซายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
ผมปลอบซากับคนอื่นๆ อีกสักพัก ท่านบาบาก็เดินเข้ามาในลานกลางหมู่บ้านที่พวกเรารวมตัวกันอยู่ พร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ในมือ
“ในนี้แผ่นยาแก้แพ้แล้วก็ยาฉีด เผื่อว่าเพื่อนใหม่ต้องใช้” เขาว่าแล้วก็ยื่นส่งกล่องนั้นให้ ผมก็รับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ไม่แน่ใจว่าตัวเองเองจะกล้าฉีดยาแก้แพ้เองหรือไม่
ร่ำลาและร่ำไรอีกครู่ใหญ่แล้วมุสที่กำลังหงุดหงิดกับการรอคอยก็ทนรอไม่ไหวอีกต่อไป เขาเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่าแล้วดึงคอเสื้อด้านหลังของผม ลากเข้าไปในอุโมงค์อันมืดมิด
ผมโผล่ออกมาพร้อมกับแสงสว่างที่ทำให้ห้องของผมกลายเป็นสีขาว ก่อนที่แสงนั้นจะหายไปแล้วบรรยากาศภายในห้องของผมก็กลับมาเป็นปกติ
ผมกวาดตามองไปรอบห้อง รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...
“มีอะไรหรือ” เอธร่าที่ตามผมออกมาจากอุโมงค์แห่งแสงถามขึ้น
“ฉันว่ามันเงียบๆ ผิดปกติ” ผมก้าวออกไปอีกเล็กน้อย หย่อนเป้ที่แบกไว้บนหลังวางลงบนพื้น จากนั้นจึงมองไปรอบๆ ตัว เห็นอ่างน้ำของเจ้าอิมมีน้ำเต็ม แต่กลับไม่เห็นสไลม์อึดถึดตัวนั้น “จริงสิ เจ้าอิมหายไปไหน”
เอธร่าช่วยผมมองหาสักครู่ จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “มันเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกล่องหนรึเปล่า”
“แต่ถ้ามันอยู่ในร่างเจ้าปุยจริง ป่านนี้ก็ต้องกระโดดใส่ฉันแล้ว” ผมว่าไปตามเหตุผล ในเวลาที่มันอยู่ในร่างจิ้งจอกล่องหน มันจะกระโดดโลดเต้นได้ ไม่อึดถึดเหมือนเวลาอยู่ในร่างสไลม์ ดังนั้นเวลาที่ผมกลับจากโรงเรียน มันก็มักจะดีใจ กระโจนเข้าใส่ผมจนรับไว้แทบไม่ทัน
“แล้วมันจะหายไปไหนได้ล่ะ” หมอนั่นยังพยายามช่วยผมหา ในขณะที่ปีกใหญ่ที่ขาวกลางหลังปัดไปมา แทบจะกวาดผมล้ำหน้าคว่ำ
“เอ่อ...นายกลับไปจัดการกับนาร์คูลก่อนก็ได้ ฉันอยู่บ้านแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละ” ผมยืนยัน...ผมไม่ได้ไล่
“ก็ได้” หมอนั่นบอก แล้วก็สร้างอุโมงค์สีดำขึ้นกลางห้อง แต่ก่อนไป เขาหันกลับมามองผมนิดหนึ่ง เหมือนจะดูให้แน่ใจ แล้วจึงกระโดดเข้าไปในอุโมงค์นั้น
ผมถอนหายใจยาว หันกลับมาในห้องอันว่างเปล่าอีก
“เจ้าอิม” ผมเรียกหามัน แต่ไม่มีเสียงตอบ ผมจึงเรียกเตียงออกมา ดูว่ามันเข้าไปติดอยู่ในเตียงแคปซูลหรือเปล่า ในเตียงก็ไม่มี ในผนังห้องที่เป็นตู้เสื้อผ้าก็ไม่มี
ผมพยายามยืนนึก บางที...ถึงจะไม่น่าเป็นไปได้...แต่พ่อกับแม่ผมอาจจะเอามันออกไปจากห้องไปก็ได้
ผมสั่งเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้อง ในบ้านผมก็ว่างเปล่า
หรือพ่อกับแม่จะไปทำงาน... ผมออกคำสั่งถามเวลากับสายรัดข้อมือสีชมพูบนข้อมือของผม มันบอกว่าเป็นเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พ่อกับแม่จะยังไม่กลับจากที่ทำงาน
แล้วพวกเขาหายไปไหนกับหมด... ผมนึกอยู่ในใจ แล้วจึงเดินเข้าไปในครัว แม่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ผมจึงหมุนตัวกลับ เดินไปที่ห้องทำงานพ่อ ออกคำสั่งเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้อง แต่ห้องทำงานของพ่อก็ไม่มีใครอยู่ ผมหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
ตอนที่ผมเริ่มรู้สึกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมก็ได้ยินสัญญาณจากสายรัดข้อมือ แต่มันไม่ได้มาจากอันสีชมพูบนข้อมือผม
ผมเดินมองหาต้นเสียง แล้วก็พบสายรัดข้อมืออันหนึ่งวางทิ้งอยู่บนพื้นในห้องกลางบ้าน มันเป็นสายรัดข้อมือสีเขียวรุ่นเก่า...เป็นเส้นที่เกล็ดแก้วโปรแกรมให้มันส่งข้อมูลเก่าของผมไปยังเครือข่ายนั่นเอง
จำได้ว่าวันที่พรากจากมัน เป็นวันที่เอธร่าพาผมข้ามไปยังมิติดึกดำบรรพ์ ตอนนั้นผมเอาสายรัดข้อมือเส้นนี้กับเส้นสีเทาที่เป็นของผม ฝากเกล็ดแก้วเอาไว้ ...หรือว่าเกล็ดแก้วจะเอามาคืนให้พ่อแม่ผม
แต่...ทำไมไม่เอาเส้นสีเทามาคืนเล่า
อย่างไรก็ดี ผมหยิบสายรัดข้อมืออันนั้นขึ้นมา แล้วออกคำสั่งเปิดข้อความที่ส่งเข้ามาหาผม สายรัดข้อมือก็ฉายภาพโฮโลแกรมของชายหน้าตาเคร่งขรึมผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นคนที่เคยคาดโทษผมไว้เมื่อตอนที่กลับจากมิติของปราบแดนนั่นเอง
เขากระแอมขึ้นสองครั้ง แต่เริ่มด้วยการเรียกชื่อจริงของผมซึ่งเป็นตัวเลขยาวเหยียด จากนั้นก็เอ่ยคำพูดทำให้ผมต้องตื่นกลัวจนตัวชา “...หากเธอเห็นข้อความนี้ แสดงว่าเธอคงกลับมาจากมิติใดมิติหนึ่งใจจักรวาลนี้แล้ว เวลานี้พ่อแม่และเพื่อนของเธอถูกนำตัวมาสอบสวน เรายังพบตัวเชื้อโรคในห้องของเธอและนำมันมากักกันไว้แล้วด้วย หากเธอได้รับข้อความนี้แล้ว รีบติดต่อฉันด่วน... ป.ล. ติดต่อฉันคนเดียวเท่านั้น ห้ามติดต่อคนอื่นในศูนย์ฯ หรือบอกเรื่องนี้กับบุคคลอื่นเด็ดขาด” แล้วภาพก็ตัดไป
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นครู่ รอจนรู้สึกตัวแล้วผมก็ผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบออกมา
เจ้าหน้าที่รู้เรื่องการข้ามมิติแล้ว เป็นไปได้อย่างไร เกล็ดแก้วเป็นคนบอกหรือ...
จริงสิ เมื่อครู่คุณเจ้าหน้าที่ก็บอกเองว่านำตัวพ่อแม่กับเกล็ดแก้วไปสอบสวนแล้ว ส่วนเจ้าอิม...ถูกนำไปกักกัน
ผมไม่รู้ว่าสถานที่กักกัน ‘ตัวเชื้อโรค’ เป็นอย่างไร ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงไม่ทำอะไรเจ้าอิมกระมัง มันน่าสงสารตั้งแต่เกิดแล้ว
ผมก้มมองสายรัดข้อมือสีเขียวในมืออีกครั้ง เพิ่งสังเกตเห็นว่ามือตัวเองสั่น ใจผมเองก็กำลังตื่นกลัว ผมกลัวที่จะต้องไปพบเจ้าหน้าที่ กลัวถูกลงโทษ และก็กลัวว่าทุกคนจะเป็นอันตราย ผมควรจะทำอย่างไร
มุส... ทำไมเมื่อครู่ผมต้องไล่เขากลับไปด้วย
---
รุ่งสางมาเยือนอย่างเชื่องช้า
ผมนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องของตัวเองเพียงลำพัง เฝ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดคืน สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรติดต่อกลับไปยังคุณเจ้าหน้าที่หรือไม่
ไม่สิ ผมรู้ว่าผมต้องติดต่อกลับไป อย่างไรก็ต้องทำตามที่เขาบอก แต่ผมไม่มีความกล้าพอ
ผมเหลียวมองไปยังสายรัดข้อมือสองอันที่วางอยู่บนพื้น อันสีเขียวกับสีชมพู จำได้ว่าก่อนที่จะข้ามมิติไปกับเอธร่า ผมตัดสัญญาณเชื่อมต่อจากสายรัดข้อมือสีเทาของผม สลับให้สายรัดข้อมือสีเขียวเชื่อมต่อกับเครือข่ายแทน เพื่อให้มันส่งข้อมูลของผมวนขึ้นไปบนเครือข่าย หลอกเจ้าหน้าที่ว่าผมยังอยู่ในมิตินี้ แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ถึงจับได้
จริงสิ สายรัดข้อมือสีเทาของผมอยู่ที่ไหน หรือว่าเจ้าหน้าที่จะเอาไปตรวจสอบ...
ผมพยายามนึกดูว่าในสายรัดข้อมืออันนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง ผมเพิ่งซื้อมันมาแทนเส้นเก่าตอนที่กลับจากมิติของปราบแดน เพราะตอนนั้นเจ้าหน้าที่สงสัยแล้วว่าทำไมข้อมูลสุขภาพของผมจึงหายไปจากเครือข่าย พ่อกับแม่จึงต้องเอาเส้นเก่าไปทำลาย แล้วบอกกับเจ้าหน้าที่ว่ามันเสีย ทำให้ผมต้องซื้อเส้นนี้มาแทน
แสดงว่าผมยังไม่ได้สวมสายรัดข้อมือเส้นนั้นไปยังต่างมิติ ดังนั้นมันก็คงไม่มีข้อมูลอะไรกระมัง
คิดถึงตรงนี้แล้วผมก็นึกถึงปราบแดนขึ้นมา หรือนักวิจัยผู้นั้นจะเป็นคนบอกต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลับไปยังมิติของตัวเอง แต่เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรเล่า
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็รู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้...ผมต้องติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่คนนั้น
ผมวางสายรัดข้อมือสีเขียวให้หันหน้าไปทางผนังเปล่าภายในห้องของผม ส่วนตนเองขยับไปยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะออกคำสั่งต่อสัญญาณกลับไปยังผู้ฝากข้อความล่าสุด
แต่ทันทีที่ผมได้ยินคนตอบรับการเชื่อมต่อ ผมก็ร้องสั่งให้มันตัดสัญญาณทิ้งเสีย
หัวใจผมเต้นโครมอยู่ในอก รู้สึกอึดอัดราวกับปอดถูกบีบไว้
อึดใจต่อมาสายรัดข้อมือก็ดังขึ้น แสดงว่ามีผู้ต่อสัญญาณเข้ามา ผมสำรวจตัวเองว่ายืนอยู่นอกรัศมีกล้องเรียบร้อยแล้วก็ออกคำสั่งเชื่อมต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองไว้ ไม่ทราบทำไปเพื่ออะไรเหมือนกัน
“ไอดินรึ” ได้ยินเสียงดังมาพร้อมกับภาพโฮโลแกรมสามมิติของเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ผมยืนอยู่ด้านหลังจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา ก็จากน้ำเสียงและทรงผมทางด้านหลังก็พอให้ทราบว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่คนเดิม “เธออยู่ที่ไหนน่ะ ก้าวมาคุยกันหน่อยสิ”
ผมยกมืออีกข้างช่วยปิดปากตัวเองให้แน่นขึ้น ทั้งยังกลั้นลมหายใจ ไม่ยอมตอบกลับไป
“เอาเถอะ เธอคงกลัวละสิ” เจ้าหน้าที่บอกพร้อมกับถอนหายใจยาว “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อหน้าก็ได้”
ผมย่นคิ้วด้วยความแปลกใจในคำพูดนั้น ขณะเดียวกันก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน ผมยังไม่ทันสงสัยว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไร ก็มีคนสั่งเปิดประตูห้องของผม แล้วเจ้าหน้าที่สี่คนก็ก้าวอาดเข้ามา สองคนยึดแขนผมคนละข้าง หิ้วตัวผมออกจากบ้านไป
###
พบกันในอีกสองสัปดาห์นะคะ
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๑๒
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๑ https://pantip.com/topic/40221749
###
บทที่ ๑๒
นาร์คูลเล่าทุกอย่างให้มุสฟัง
แต่เพราะความอ่อนด้อยในการสื่อสารของเขา เราจึงไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม นอกจากสิ่งที่เขาเคยบอกกับผมมาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี อย่างน้อยเราก็พอรู้เลาๆ ว่ามุสมีต้นกำเนิด...ทว่าต้นกำเนิดของเขา ไม่ได้อยู่ในมิติที่เขารู้จัก
“ข้าไม่เคยไปที่มิตินั้น” มุสบอกกับผมในคืนนั้น หลังจากที่ผมต้องลากมุสออกจากเรือนประดิษฐ์ให้กลับมาสงบสติอารมณ์ที่บ้านของซาห์ เนื่องจากคุยไปคุยมาแล้วมุสทำท่าจะกินเชลยของเราเข้าไป
“แต่...เขาบอกว่าเขารู้จักนาย” ผมถามเสียงเบาหวิว พลางชำเลืองมองสีหน้าเขา ซึ่งกำลังนั่งชันเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้นห้องพักริมหน้าต่าง ผมก็นั่งอยู่ข้างตัวเขา พยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของเขา ผมว่าเขาน่าจะตกใจกับสิ่งที่รู้มาพอสมควร
“เขาว่าเขารู้จักนิสเซ่ ไม่ใช่ข้า” หมอนั่นว่า คิ้วขมวดจนแทบชิดติดกัน
แต่เขาว่านายคือนิสเซ่... ผมนึกเถียงอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
อย่างไรก็ตาม คำพูดของนาร์คูลยังคลุมเครือและขัดแย้งกันอยู่ ประการแรก เขาไม่ได้บอกว่าตนเองรู้ได้อย่างไรว่าชื่อจริงของมุสคือนิสเซ่ ...หรือบางทีอาจจะบอก แต่พวกผมฟังไม่รู้เรื่องก็ได้... อีกประการหนึ่ง เขาว่าตัวเขาเองก็ไม่เคยพบนิสเซ่ในมิติที่เขาจากมา ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเข้าใจผิด
“แล้วนายจะทำยังไงกับเขา” ผมถามขึ้นเบาๆ เพื่อนผมไม่ได้ตอบ เขาทำเสียงขึ้นจมูกแล้วเชิดหน้าไปทางหนึ่ง เดาได้เลยว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมจึงลองเสนอดู “ปล่อยไปไหม”
“ได้ยังไง!” หมอนั่นตะโกนใส่จนผมต้องอุดหูหลับตาปี๋ “กว่าจะจับมาได้แทบแย่ นายจะให้ปล่อยไปง่ายๆ อย่างนั้นรึ”
ผมลืมตาขึ้นมองเขา นัยน์ตาสีทับทิมดูร้อนรน และดูเหมือน...เต็มไปด้วยคำถาม
“ช่างเถอะ” เขาหลบสายตา หันไปทางอื่น “ข้าจะพาเจ้ากลับมิติ”
“แต่...”
“บอกให้กลับก็กลับสิ น่ารำคาญจริง!”
---
บรรยากาศการจากลาในวันรุ่งขึ้นเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมของพวกคนกระปุ๊กลุก และคนที่ร้องหนักที่สุดก็คือซา
“เอาน่า ไว้วันหลังให้มุสพามาเยี่ยมอีกก็ได้” ผมปลอบ ‘เพื่อนใหม่’ พลางลูบหลังเขาเบาๆ ในตอนที่เขาโผเข้ามากอดผม
“จริงหรือ ท่านมุสจะพาเพื่อนใหม่มาอีกจริงๆ หรือ” เขาเอ่ยแล้วหันไปมองมุสเป็นเชิงถาม หมอนั่นก็เชิดหน้าไปทางอื่นตามระเบียบ ทำเอาซายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
ผมปลอบซากับคนอื่นๆ อีกสักพัก ท่านบาบาก็เดินเข้ามาในลานกลางหมู่บ้านที่พวกเรารวมตัวกันอยู่ พร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ในมือ
“ในนี้แผ่นยาแก้แพ้แล้วก็ยาฉีด เผื่อว่าเพื่อนใหม่ต้องใช้” เขาว่าแล้วก็ยื่นส่งกล่องนั้นให้ ผมก็รับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ไม่แน่ใจว่าตัวเองเองจะกล้าฉีดยาแก้แพ้เองหรือไม่
ร่ำลาและร่ำไรอีกครู่ใหญ่แล้วมุสที่กำลังหงุดหงิดกับการรอคอยก็ทนรอไม่ไหวอีกต่อไป เขาเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่าแล้วดึงคอเสื้อด้านหลังของผม ลากเข้าไปในอุโมงค์อันมืดมิด
ผมโผล่ออกมาพร้อมกับแสงสว่างที่ทำให้ห้องของผมกลายเป็นสีขาว ก่อนที่แสงนั้นจะหายไปแล้วบรรยากาศภายในห้องของผมก็กลับมาเป็นปกติ
ผมกวาดตามองไปรอบห้อง รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ...
“มีอะไรหรือ” เอธร่าที่ตามผมออกมาจากอุโมงค์แห่งแสงถามขึ้น
“ฉันว่ามันเงียบๆ ผิดปกติ” ผมก้าวออกไปอีกเล็กน้อย หย่อนเป้ที่แบกไว้บนหลังวางลงบนพื้น จากนั้นจึงมองไปรอบๆ ตัว เห็นอ่างน้ำของเจ้าอิมมีน้ำเต็ม แต่กลับไม่เห็นสไลม์อึดถึดตัวนั้น “จริงสิ เจ้าอิมหายไปไหน”
เอธร่าช่วยผมมองหาสักครู่ จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ “มันเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกล่องหนรึเปล่า”
“แต่ถ้ามันอยู่ในร่างเจ้าปุยจริง ป่านนี้ก็ต้องกระโดดใส่ฉันแล้ว” ผมว่าไปตามเหตุผล ในเวลาที่มันอยู่ในร่างจิ้งจอกล่องหน มันจะกระโดดโลดเต้นได้ ไม่อึดถึดเหมือนเวลาอยู่ในร่างสไลม์ ดังนั้นเวลาที่ผมกลับจากโรงเรียน มันก็มักจะดีใจ กระโจนเข้าใส่ผมจนรับไว้แทบไม่ทัน
“แล้วมันจะหายไปไหนได้ล่ะ” หมอนั่นยังพยายามช่วยผมหา ในขณะที่ปีกใหญ่ที่ขาวกลางหลังปัดไปมา แทบจะกวาดผมล้ำหน้าคว่ำ
“เอ่อ...นายกลับไปจัดการกับนาร์คูลก่อนก็ได้ ฉันอยู่บ้านแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วละ” ผมยืนยัน...ผมไม่ได้ไล่
“ก็ได้” หมอนั่นบอก แล้วก็สร้างอุโมงค์สีดำขึ้นกลางห้อง แต่ก่อนไป เขาหันกลับมามองผมนิดหนึ่ง เหมือนจะดูให้แน่ใจ แล้วจึงกระโดดเข้าไปในอุโมงค์นั้น
ผมถอนหายใจยาว หันกลับมาในห้องอันว่างเปล่าอีก
“เจ้าอิม” ผมเรียกหามัน แต่ไม่มีเสียงตอบ ผมจึงเรียกเตียงออกมา ดูว่ามันเข้าไปติดอยู่ในเตียงแคปซูลหรือเปล่า ในเตียงก็ไม่มี ในผนังห้องที่เป็นตู้เสื้อผ้าก็ไม่มี
ผมพยายามยืนนึก บางที...ถึงจะไม่น่าเป็นไปได้...แต่พ่อกับแม่ผมอาจจะเอามันออกไปจากห้องไปก็ได้
ผมสั่งเปิดประตูแล้วก้าวออกจากห้อง ในบ้านผมก็ว่างเปล่า
หรือพ่อกับแม่จะไปทำงาน... ผมออกคำสั่งถามเวลากับสายรัดข้อมือสีชมพูบนข้อมือของผม มันบอกว่าเป็นเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พ่อกับแม่จะยังไม่กลับจากที่ทำงาน
แล้วพวกเขาหายไปไหนกับหมด... ผมนึกอยู่ในใจ แล้วจึงเดินเข้าไปในครัว แม่ไม่ได้อยู่ที่นั่น ผมจึงหมุนตัวกลับ เดินไปที่ห้องทำงานพ่อ ออกคำสั่งเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในห้อง แต่ห้องทำงานของพ่อก็ไม่มีใครอยู่ ผมหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่เห็นใครเลยสักคน
ตอนที่ผมเริ่มรู้สึกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมก็ได้ยินสัญญาณจากสายรัดข้อมือ แต่มันไม่ได้มาจากอันสีชมพูบนข้อมือผม
ผมเดินมองหาต้นเสียง แล้วก็พบสายรัดข้อมืออันหนึ่งวางทิ้งอยู่บนพื้นในห้องกลางบ้าน มันเป็นสายรัดข้อมือสีเขียวรุ่นเก่า...เป็นเส้นที่เกล็ดแก้วโปรแกรมให้มันส่งข้อมูลเก่าของผมไปยังเครือข่ายนั่นเอง
จำได้ว่าวันที่พรากจากมัน เป็นวันที่เอธร่าพาผมข้ามไปยังมิติดึกดำบรรพ์ ตอนนั้นผมเอาสายรัดข้อมือเส้นนี้กับเส้นสีเทาที่เป็นของผม ฝากเกล็ดแก้วเอาไว้ ...หรือว่าเกล็ดแก้วจะเอามาคืนให้พ่อแม่ผม
แต่...ทำไมไม่เอาเส้นสีเทามาคืนเล่า
อย่างไรก็ดี ผมหยิบสายรัดข้อมืออันนั้นขึ้นมา แล้วออกคำสั่งเปิดข้อความที่ส่งเข้ามาหาผม สายรัดข้อมือก็ฉายภาพโฮโลแกรมของชายหน้าตาเคร่งขรึมผู้หนึ่ง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นคนที่เคยคาดโทษผมไว้เมื่อตอนที่กลับจากมิติของปราบแดนนั่นเอง
เขากระแอมขึ้นสองครั้ง แต่เริ่มด้วยการเรียกชื่อจริงของผมซึ่งเป็นตัวเลขยาวเหยียด จากนั้นก็เอ่ยคำพูดทำให้ผมต้องตื่นกลัวจนตัวชา “...หากเธอเห็นข้อความนี้ แสดงว่าเธอคงกลับมาจากมิติใดมิติหนึ่งใจจักรวาลนี้แล้ว เวลานี้พ่อแม่และเพื่อนของเธอถูกนำตัวมาสอบสวน เรายังพบตัวเชื้อโรคในห้องของเธอและนำมันมากักกันไว้แล้วด้วย หากเธอได้รับข้อความนี้แล้ว รีบติดต่อฉันด่วน... ป.ล. ติดต่อฉันคนเดียวเท่านั้น ห้ามติดต่อคนอื่นในศูนย์ฯ หรือบอกเรื่องนี้กับบุคคลอื่นเด็ดขาด” แล้วภาพก็ตัดไป
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นครู่ รอจนรู้สึกตัวแล้วผมก็ผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบออกมา
เจ้าหน้าที่รู้เรื่องการข้ามมิติแล้ว เป็นไปได้อย่างไร เกล็ดแก้วเป็นคนบอกหรือ...
จริงสิ เมื่อครู่คุณเจ้าหน้าที่ก็บอกเองว่านำตัวพ่อแม่กับเกล็ดแก้วไปสอบสวนแล้ว ส่วนเจ้าอิม...ถูกนำไปกักกัน
ผมไม่รู้ว่าสถานที่กักกัน ‘ตัวเชื้อโรค’ เป็นอย่างไร ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงไม่ทำอะไรเจ้าอิมกระมัง มันน่าสงสารตั้งแต่เกิดแล้ว
ผมก้มมองสายรัดข้อมือสีเขียวในมืออีกครั้ง เพิ่งสังเกตเห็นว่ามือตัวเองสั่น ใจผมเองก็กำลังตื่นกลัว ผมกลัวที่จะต้องไปพบเจ้าหน้าที่ กลัวถูกลงโทษ และก็กลัวว่าทุกคนจะเป็นอันตราย ผมควรจะทำอย่างไร
มุส... ทำไมเมื่อครู่ผมต้องไล่เขากลับไปด้วย
---
รุ่งสางมาเยือนอย่างเชื่องช้า
ผมนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องของตัวเองเพียงลำพัง เฝ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดคืน สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรติดต่อกลับไปยังคุณเจ้าหน้าที่หรือไม่
ไม่สิ ผมรู้ว่าผมต้องติดต่อกลับไป อย่างไรก็ต้องทำตามที่เขาบอก แต่ผมไม่มีความกล้าพอ
ผมเหลียวมองไปยังสายรัดข้อมือสองอันที่วางอยู่บนพื้น อันสีเขียวกับสีชมพู จำได้ว่าก่อนที่จะข้ามมิติไปกับเอธร่า ผมตัดสัญญาณเชื่อมต่อจากสายรัดข้อมือสีเทาของผม สลับให้สายรัดข้อมือสีเขียวเชื่อมต่อกับเครือข่ายแทน เพื่อให้มันส่งข้อมูลของผมวนขึ้นไปบนเครือข่าย หลอกเจ้าหน้าที่ว่าผมยังอยู่ในมิตินี้ แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ถึงจับได้
จริงสิ สายรัดข้อมือสีเทาของผมอยู่ที่ไหน หรือว่าเจ้าหน้าที่จะเอาไปตรวจสอบ...
ผมพยายามนึกดูว่าในสายรัดข้อมืออันนั้นมีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง ผมเพิ่งซื้อมันมาแทนเส้นเก่าตอนที่กลับจากมิติของปราบแดน เพราะตอนนั้นเจ้าหน้าที่สงสัยแล้วว่าทำไมข้อมูลสุขภาพของผมจึงหายไปจากเครือข่าย พ่อกับแม่จึงต้องเอาเส้นเก่าไปทำลาย แล้วบอกกับเจ้าหน้าที่ว่ามันเสีย ทำให้ผมต้องซื้อเส้นนี้มาแทน
แสดงว่าผมยังไม่ได้สวมสายรัดข้อมือเส้นนั้นไปยังต่างมิติ ดังนั้นมันก็คงไม่มีข้อมูลอะไรกระมัง
คิดถึงตรงนี้แล้วผมก็นึกถึงปราบแดนขึ้นมา หรือนักวิจัยผู้นั้นจะเป็นคนบอกต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะกลับไปยังมิติของตัวเอง แต่เขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรเล่า
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็รู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะหาคำตอบเหล่านี้ได้...ผมต้องติดต่อกลับไปยังเจ้าหน้าที่คนนั้น
ผมวางสายรัดข้อมือสีเขียวให้หันหน้าไปทางผนังเปล่าภายในห้องของผม ส่วนตนเองขยับไปยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะออกคำสั่งต่อสัญญาณกลับไปยังผู้ฝากข้อความล่าสุด
แต่ทันทีที่ผมได้ยินคนตอบรับการเชื่อมต่อ ผมก็ร้องสั่งให้มันตัดสัญญาณทิ้งเสีย
หัวใจผมเต้นโครมอยู่ในอก รู้สึกอึดอัดราวกับปอดถูกบีบไว้
อึดใจต่อมาสายรัดข้อมือก็ดังขึ้น แสดงว่ามีผู้ต่อสัญญาณเข้ามา ผมสำรวจตัวเองว่ายืนอยู่นอกรัศมีกล้องเรียบร้อยแล้วก็ออกคำสั่งเชื่อมต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองไว้ ไม่ทราบทำไปเพื่ออะไรเหมือนกัน
“ไอดินรึ” ได้ยินเสียงดังมาพร้อมกับภาพโฮโลแกรมสามมิติของเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ผมยืนอยู่ด้านหลังจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา ก็จากน้ำเสียงและทรงผมทางด้านหลังก็พอให้ทราบว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่คนเดิม “เธออยู่ที่ไหนน่ะ ก้าวมาคุยกันหน่อยสิ”
ผมยกมืออีกข้างช่วยปิดปากตัวเองให้แน่นขึ้น ทั้งยังกลั้นลมหายใจ ไม่ยอมตอบกลับไป
“เอาเถอะ เธอคงกลัวละสิ” เจ้าหน้าที่บอกพร้อมกับถอนหายใจยาว “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อหน้าก็ได้”
ผมย่นคิ้วด้วยความแปลกใจในคำพูดนั้น ขณะเดียวกันก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน ผมยังไม่ทันสงสัยว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไร ก็มีคนสั่งเปิดประตูห้องของผม แล้วเจ้าหน้าที่สี่คนก็ก้าวอาดเข้ามา สองคนยึดแขนผมคนละข้าง หิ้วตัวผมออกจากบ้านไป
###
พบกันในอีกสองสัปดาห์นะคะ