พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๗

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ ขออภัยที่มาช้านะคะ พอดีที่เท็กซัสเจอพายุหิมะถล่มไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วค่ะ คนเขียนก็เพิ่งขุดหิมะออกมาจากรูได้ เฮ้อ! รอดไปที

ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๖ https://pantip.com/topic/40518380

###

บทที่ ๗

นาร์คูลให้เราปลอมตัว

เขาหาเสื้อผ้าสีดำของพวกอินูเวมาให้เปลี่ยน คนในฐานนี้ไม่ค่อยสนใจกันและกันอยู่แล้ว พอใส่เสื้อผ้าคล้ายกันก็ไม่เป็นที่สังเกต

นาร์คูลพาเรามายังห้องที่พวกอินูเวทำการทดสอบไฮซานก่อนหน้านี้ ทำทีเป็นว่าเข้ามาซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งไฮซานอิมวิ่งชนถล่มทลายด้วยความดีใจในตอนที่เจอผม

เราเลือกเข้าไปตรวจสอบอุปกรณ์หน้าตาคล้ายจานกลมขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ได้ด้วยฐานสี่เหลี่ยม ซึ่งวางอยู่ในมุมอับของห้อง ห่างจากบริเวณที่ไฮซานอิมถูกกลุ่มอินูเวล้อมอยู่พอสมควร (เพราะหากให้เจ้าอิมเห็นผม มันคงกระโจนใส่อีกแน่ๆ) รอบๆ ห้องนั้นยังมีนาร์คูลอื่นๆ ยืนยามอยู่อีกสี่คน คงเพื่อป้องกันเจ้าอิมถล่มห้องหนีไปอีก

ระหว่างที่แสร้งทำเป็นง่วนอยู่กับอุปกรณ์รอคอยจังหวะและหาทางช่วยเจ้าอิมอยู่นั้น ผมได้ยินอินูเวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “มันเปลี่ยนร่างได้ขอรับ แต่ตอนนี้มันไม่ทำอะไรเลย ดูเหมือนมันจะฟังคำสั่งเด็กนั่นคนเดียว”

“ลองเอาแส้เฆี่ยนมันดู” เสียงในอากาศสั่ง

หัวใจผมหล่นตุบยามได้ยินคำสั่งนั้น สายตาจ้องเขม็งไปยังคนชุดดำคนหนึ่งที่ถือแส้อยู่ในมือ

คนผู้นั้นลงแส้ ไฮซานอิมก็ขยับหลบแล้วตะปบปลายแส้ไว้ คนผู้นั้นพยายามดึงแส้กลับ ยื้อยุดอยู่สักครู่ไฮซานอิมก็ปล่อยแส้ ทำให้เขาหงายหลังล้มลง

ดีมากเจ้าอิม... ผมนึกพร้อมกับยิ้มอยู่ในใจ

“นั่นคือเจ้าอิมหรือ” เวิร์นกระซิบถาม เสียงไม่เบาเท่าตอนอยู่ในห้องที่คุมขังแล้ว เพราะยามนั้นมีเสียงจากพวกอินูเวรอบตัวเจ้าอิมและเสียงจากเครื่องมือ ซึ่งช่วยกลบเสียงพวกเราไปได้

“ใช่ครับ มันแข็งแรง กำลังดี และวิ่งเร็วมาก” ผมตอบพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติม ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดหาวิธีใช้ความสามารถของเจ้าอิมเพื่อช่วยให้พวกเราหนี “แต่มันแพ้นาร์คูล มันพุ่งผ่านพลังของอินูเวได้ แต่ผ่านพลังของนาร์คูลไม่ได้”

“ถ้าแตะถูกแล้วจะเจ็บปวดรึเปล่า”

ผมผงกศีรษะเป็นคำตอบ

“นั่นไม่ใช่เป็นแค่พลัง แต่มันผสมเวทมตร์ที่ทำให้อินูเวควบคุมนาร์คูลได้ มันอยู่ในห่วงที่สวมรอบคอนาร์คูล พวกนาร์คูลสามารถใช้เวทมนตร์นั้นได้โดยการหันเหพลังออกไป แต่มันก็ยังถูกเวทมนตร์นั้นกักขังอยู่นั่นเอง”

ผมมองกลับไปที่นาร์คูล (ของเรา) มองไปที่ห่วงคอเขา จำได้ว่าเขาเคยขอให้ผมช่วยปลดมันออก แต่ผมช่วยไม่ได้ พลัง...เวทมนตร์นั่นดีดผมเสียจนกระเด็นตอนที่ผมพยายามดึงมัน

“แปลว่าถ้าเราปลดห่วงคอนาร์คูลออกได้ พวกเขาก็จะเป็นอิสระ”

เวิร์นพยักหน้ารับ “แต่ข้าไม่รู้ว่าจะปลดห่วงคอนั้นได้ยังไง”

ผมขบริมฝีปากตัวเอง ถ้าแบบนั้นก็แสดงว่าเราปลดปล่อยนาร์คูลไม่ได้

“เป้าหมายของเราในตอนนี้คือช่วยเจ้าอิม” เวิร์นเตือนผม “ส่วนเรื่องช่วยนาร์คูล เราค่อยคิดกันอีกที”

---

“จำได้ว่ามันเปลี่ยนเป็นนกพ่นไฟได้” อินูเวคนหนึ่งบอกเพื่อน

“ถ้าอย่างนั้นลองจุดไฟเผาดูดีรึเปล่า” อีกคนบอก

“แต่ถ้าจุดที่นี่ ฐานจะถูกไฟไหม้เอาน่ะสิ”

“นั่นสิ”

พวกเขากำลังหาทางทรมานเจ้าอิมเพื่อให้มันเปลี่ยนร่าง แต่พวกเขาต้องการให้มันเปลี่ยนร่างเพื่ออะไรกันแน่...

“ยังไงก็ต้องเสี่ยงกัน เราต้องรู้ให้ได้ว่ามันเปลี่ยนร่างได้ยังไง ไม่อย่างนั้นตัวที่เราทดลองอยู่ก็ไม่สมบูรณ์สักที”  

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเตรียมน้ำดับไฟ”

“นั่นละๆ เจ้าให้คนไปเอาน้ำมา ส่วนเจ้าไปเอาเชื้อเพลิง”

ตกลงกันได้แล้ว พวกอินูเวที่เหลือก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ ผมจึงได้โอกาสเดินไปหาเจ้าอิม ทำที่เหมือนไปดูเครื่องมือที่อยู่ใกล้ๆ

“เจ้าอิม” ผมกระซิบเรียกมัน ม้าอุ้งเท้าสิงโตก็บิดหู แล้วหันไปมามองหาผม พอเห็นผมแล้วมันก็ยกขาหน้า สลับกับขาหลัง กระโดดไปมา

“เจ้าทำอะไรน่ะ!”​ อินูเวคนหนึ่งหันมาเห็นเข้าจึงร้องเตือนคนอื่นๆ ทำให้นาร์คูสี่คนที่ยืนยามอยู่กรูกันเข้ามาด้วย สองคนก้าวอาดมาทางด้านหน้า อีกสองคนอยู่ทางด้านหลัง ทั้งหมดยื่นแขนที่พันไว้ด้วยแสงสีดำมาทางผมกับไฮซานอิม

ตอนนั้นเอง จานขนาดใหญ่ใบหนึ่งก็กลิ้งมาตัดทางนาร์คูลสองคนที่ด้านหน้า จากนั้นมันก็เอนล้มลงเกือบทับพวกเขา

เวิร์นเป็นคนกลิ้งจานใบนั้นมา แล้วใช้เวทมตร์ควบคุมให้มันล้มในจังหวะและทิศทางที่ต้องการ

ขณะที่นาร์คูลสองคนทางด้านหน้าเสียจังหวะจู่โจมเพราะมัวแต่ะกระโดดหลบจาน ผมกับไฮซานอิมก็วิ่งตรงไปทางประตูเพื่อสมทบกับเวิร์น โดยที่นาร์คูลของเราซึ่งยืนอยู่ข้างเวิร์น ใช้พลังผลักอินูเวที่ขวางทางอยู่กระเด็นไป เกลี่ยทางให้เราหนีได้โดยสะดวก

...ซึ่งนั่นเป็นการบอกพวกอินูเวกรายๆ ว่าหนึ่งในนาร์คูลอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาแล้ว

“ระวัง!” เวิร์นร้องเตือน ขณะเดียวกันนาร์คูลของเราก็ปล่อยแสงสีดำพุ่งเฉียดข้างตัวผมไปทางด้านหลัง ผมหันกลับไปมองก็เห็นแสงนั้นปะทะกับแสงสีดำอีกสองสายซึ่งมาจากนาร์คูลสองคนที่ไล่ตามผมมาในตอนแรกนั้นเอง

แต่หนึ่งสู้สองไม่ได้ แสงสีดำที่นาร์คูลของเราปล่อยออกไปถูกดีดกลับ ทำให้ร่างเขาทรุดลง

เวิร์นเห็นท่าไม่ได้การณ์ เขาจึงใช้พลังจากแสงสีแดงจากแหวนที่นิ้วหัวแม่มือดึงเครื่องมือขนาดใหญ่มาขวางนาร์คูลสองคนนั้นไว้

“ไป! เร็ว!” เขาเร่ง ในขณะที่ผมกับเจ้าอิมมาถึงประตู แล้วก็ดันพวกเราออกไป “บันได ไปทางบันได!” เขาร้องบอกอีก นาร์คูลของเราจึงวิ่งนำไปตามทางเดิน

พวกนั้นยังคงตามมา นาร์คูลสองคนแรกที่ถูกจานมหึมาล้มใส่ก็ลุกขึ้นได้แล้วตามมาเช่นกัน พวกเขาพุ่งพลังใส่เรา แต่เวิร์นที่รั้งท้ายอยู่คอยกันไว้ให้ บางครั้งก็ใช้พลังปะทะเข้าตรงๆ บางครั้งก็ดึงสิ่งของตามรายทางมาขวางไว้

เขาบอกให้เราวิ่งลงมาถึงชั้นล่างสุดเพื่อออกไปทางประตูหน้า แต่ระยะทางระหว่างบันไดกับประตูทางออกไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วระหว่างทางยังมีอะไรรอเราอยู่อีกก็ไม่รู้

“นาร์คูล!” คนที่นำอยู่หน้าสุดร้องพร้อมกับชะงักเท้า ผมยั้งเท้าไม่ทันจึงชนเขา ไฮซานอิมที่ตามมาด้านหลังผมก็กระโดดข้ามตัวผมไปข้างหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ส่วนเวิร์นชลอฝีเท้าทัน

เบื้องหน้าเราเป็นนาร์คูลกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งยืนกระจายเป็นแผงขวางทางเดินอยู่

...และยังมีอีกสี่คนที่กำลังตามเรามา

“เอายังไงดี” ผมถามโดยไม่ได้คิดว่าจะได้คำตอบ

ทันใดนั้น นาร์คูลของเราก็ปล่อยแสงสีดำไปทางด้านข้าง ผนังหินก็ระเบิดเป็นโพรง เขาพุ่งตัวเข้าไปในโพรงนั้น คนอื่นๆ จึงตามเข้าไปด้วย

ห้องนั้นค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจากโพรงที่นาร์คูลพังเข้ามา กับแสงสีฟ้าเรืองจากแท่งแคปซูลทรงกระบอกขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางห้อง แสงสีฟ้านั้นทำให้ผมนึกถึงมุสขึ้นมา...ไม่รู้ว่าเวลานี้เขาอยู่ที่ไหน

แวบแรกที่มองไปยังแคปซูลแท่งแรก ผมเห็นสายระโยงระยางที่รวมกันเป็นกระจุกอยู่ตรงกลาง แต่ยังไม่ทันสังเกตชัดว่ามันคืออะไรแน่ เวิร์นก็ดึงผมให้ไปหลบอยู่หลังเครื่องอะไรบางอย่างพร้อมกับนาร์คูลของเรา ส่วนเจ้าอิมเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกล่องหน กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนผม ก่อนจะเลือนหายไปในความมืดขณะที่ฝูงนาร์คูลตามเข้ามา

พวกนั้นเข้ามาแล้วก็ยืนนิ่งไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังปรับสายตาให้เข้ากับความมืด แล้วจึงเริ่มมองหาเรา

พวกเขาแยกย้ายกันมองหา แต่ไม่ได้ค้นหา แต่ละคนไม่รื้อ ไม่หยิบจับอะไรเลย

“เป็นยังไงบ้าง เจอรึเปล่า” เสียงโอลีนยังคงตามมาหลอกหลอนถึงในห้องนี้ ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าคนประเภทไหนกันแน่ถึงติดลำโพงไว้ทั่วฐานแบบนี้

“ไม่เจอ” ฝูงนาร์คูลตอบโดยพร้อมเพรียง

“หาต่อไป แต่ระวัง...ทุกอย่างในห้องนี้เสียหายไม่ได้เด็ดขาด”

“รับทราบ” ฝูงนาร์คูลรับโดยพร้อมเพรียงอีก

ถึงพวกเขาจะมองหาเราไม่เจอ แต่ก็ไม่ออกไปไหน หากไม่มีคำสั่งจากโอลีนก็คงไม่มีใครกล้าออกจากห้องกระมัง

“เจ้าอิมล่ะ”​ เวิร์นกระซิบถาม เสียงเบายิ่งกว่าตอนอยู่ในห้องขังอีก

ผมเอามือลูบหัวเจ้าปุยอิมที่ไม่มีใครมองเห็น “อยู่นี่ครับ มันอยู่ในร่างจิ้งจิกล่องหน”

“ล่องหน...” เวิร์นทวนคำอย่างใช้ความคิด ครู่ต่อมาจึงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้แล้วว่าจะล่อพวกนั้นออกไปอย่างไร” ว่าแล้วเขาก็กระซิบบอกแผนกับเรา

“มัน...ไม่เสี่ยงไปหรือครับ” ผมท้วง

“ตอนนี้เราทุกคนก็เสี่ยงกันหมด” เวิร์นบอก พลางมองมาที่มือของผมซึ่งยังลูบหัวเจ้าปุยอิมอยู่ “มันเป็นทางออกทางเดียวที่ข้าคิดได้ในตอนนี้”

ผมกอดเจ้าอิมแน่นเข้านิดหนึ่ง แล้วจึงปล่อยมันลงพื้น ผมไม่เห็นว่ามันไปไหน แต่ผมรู้ว่ามันเข้าใจแผนของเวิร์น

รออยู่ไม่นานนัก เราก็ได้ยินเสียงโครมคราม ตามมาด้วยเสียงน้ำดับเพลิง

“พวกมันอยู่ข้างนอก ตามไป! เร็ว!” โอลีนร้องสั่ง ฝูงนาร์คูลก็กรูกันออกไปตามคำสั่ง

พอพวกนั้นออกไปแล้วเราก็ออกจากที่ซ่อน ผมถอนหายใจแต่ยังไม่รู้สึกโล่งเท่าใดนัก ผมมองไปที่โพรงซึ่งพวกนาร์คูลเพิ่งออกไป

...เจ้าปุยอิมจะกลับเข้ามารึยังนะ

“โน่น ประตู” นาร์คูลของเรากระซิบบอก พลางชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามของห้อง

“เดี๋ยวก่อน เราต้องรอเจ้าอิมก่อน” ผมเอ่ย พยายามระวังระดับเสียงของตัวเองเช่นกัน

ตอนนั้นเองร่างจิ้งจอกสีน้ำตาลเลือนรางก็ปรากฏขึ้นที่หน้าโพรง มันกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนผมแล้วก็เลือนหายไปอีก

“ไปกันได้แล้ว” เวิร์นบอกพร้อมกับวางมือที่บ่าของผม แล้วดันผมให้รีบเดิน โดยเฉพาะตอนที่เราเดินผ่านแท่งแคปซูลที่ตั้งอยู่กลางห้อง

ระหว่างนั้นผมอดหันไปมองแท่งแคปซูลเหล่านั้นไม่ได้ มันมีอยู่ห้าแท่ง แต่ละแท่งล้วนมีสายระโยงระยาง ในแท่งแรก ผมเห็นสายเหล่านั้นเชื่อมต่อกับ...ก้อนเนื้อที่ลอยอยู่ในของเหลวเรืองแสงสีฟ้ากลางแท่งแคปซูล

แท่งที่สอง สายเหล่านั้นเชื่อมโยงกับ...เด็กทารก

ในแท่งที่สาม เป็นเด็กอายุราวห้าขวบ แท่งที่สี่เป็นเด็กอายุสักสิบขวบ หน้าตาละม้ายคล้ายกับ...

มุส!

ผมถลาไปยังแท่งแคปซูลนั้น ยกแขนทั้งสองเกาะกระจกหนาของแคปซูล ปล่อยเจ้าอิมให้กระโดดลงจากอ้อมแขน

เพื่อนผมอยู่ในแคปซูลแท่งที่ห้า ลอยอยู่กลางของเหลวเรืองแสงสีฟ้า ดวงตาสีทับทิมปิดสนิทเหมือนคนนอนหลับ หรือไม่ก็...ตาย!

ไม่...เขาต้องยังไม่ตาย หากเขาตายแล้วจริงๆ พวกนั้นคงไม่เก็บเขาไว้แบบนี้

“มุส!” ผมร้อง มือกำแน่น ทุบกระจกแคปซูลราวกับจะให้มันแตกคามือ เวิร์นจึงต้องเข้ามาลากผมออกไป พลางเอามือปิดปากผมไว้

“พวกมันยังอยู่ในห้องนิสเซ่ ไปเร็ว! เร็ว!” เสียงโอลีนดังขึ้น คงร้องสั่งพวกนาร์คูลที่เราให้เจ้าอิมล่อออกไปก่อนหน้านี้ ทว่าเสียงผมกลับทำให้โอลีนรู้ตัว

“เราต้องรีบหนีแล้ว ไป!” เวิร์นบอกพร้อมกับลากตัวผม...แทบอุ้มผมออกไปจากที่นั่น

“แต่...มุส พวกนั้นจับมุสไว้ ต้องช่วยเขาก่อน”

“ไม่ใช่ตอนนี้!” เวิร์นกระแทกเสียง ขณะเดียวกันก็โยนผมออกไปทางประตูที่นาร์คูลของเราเปิดรอไว้ ตัวผมกระแทกกับพื้นหินแล้วไถลไปอีกเล็กน้อย

ผมเจ็บ แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกตัว...

เราสู้นาร์คูลทั้งฝูงไม่ได้ และหากเราถูกจับไปในตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสช่วยมุสอีก เราต้องออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน

ผมดันตัวลุกขึ้น หันมองไปทางบานประตูที่ค่อยๆ แง้มปิดลง แล้วจึงก้าวเท้าตามเวิร์นกับนาร์คูลไป

###

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่