ไอดินถูกจับรอบสอง คราวนี้มีเจ้าอิมพ่วงมาด้วย จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามอ่านข้างล่างนี้เลยค่ะ
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๔
https://pantip.com/topic/40487718
###
บทที่ ๕
พวกนาร์คูลไม่ได้นำผมไปขังไว้ที่ห้องขังเดิม
พวกเขาแยกผมกับไฮซานอิม พาผมขึ้นลิฟต์ ไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง
ห้องนั้นกว้างกว่าห้องขังเดิมของผม แต่ยังไม่กว้างเท่ากับห้องที่เขาเอาเจ้าอิมไปทดสอบ แสงในห้องนั้นค่อนข้างสลัว ตอนแรกผมจึงไม่เห็นว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นในมุมมืดของห้อง รอจนเขาร้องเรียก ผมจึงเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“เวิร์น!” เขาถูกจับมาจริงๆ ด้วย “แล้วมุสละครับ”
อดีตอินูเวลุกยืนขึ้น ผมจึงเห็นว่าเขาถูกโซ่ล่ามทั้งมือเท้า “ข้าไม่รู้” เขาตอบพร้อมส่ายหน้า “ข้าถูกจับมาตอนที่รอพวกเจ้าอยู่นอกฐาน”
ใจผมชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง หากมุสไม่ถูกจับก็ยังมีความหวัง
นาร์คูลสองคน (หรือไม่ก็คนที่หน้าเหมือนนาร์คูล ผมสับสนไปหมดแล้ว) นำผมไปล่ามไว้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง จากนั้นพวกเขาก็ออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู
“คุณถูกจับมาได้ยังไงครับ คุณมีเวทมนตร์นี่” ถามพลางมองไปที่มือของเขา จำได้ว่าเขาสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือ แหวนซึ่งมักจะเรืองแสงสีแดงในยามที่เขาใช้เวทมนตร์ แต่ยามนี้มันไม่อยู่แล้ว
เขาส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก คล้ายมีแววเย้ยนิดๆ “พวกมันส่งนาร์คูลออกไปทั้งฝูง เวทมตร์ของข้าจะทำอะไรได้”
อา...พวกเขาเรียกว่านาร์คูลจริงๆ สรุปแล้วนาร์คูลไม่ใช่ชื่อคนหรือ
“จริงสิ ทำไมพวกเขา...หน้าตาเหมือนกันหมดละครับ”
คราวนี้เวิร์นขำเบาๆ “พวกเขาเป็นร่างโคลน ก็ต้องเหมือนกันน่ะสิ”
“ร่างโคลน!”
“ใช่ นาร์คูลเป็นรหัสของหุ่นชีวิภาพรุ่นนี้”
“หุ่นชีวภาพ!” เสียงผมยิ่งทียิ่งดัง เวิร์นก็ยิ่งหัวเราะขบขัน “พวกเขา...ไม่ใช่คนหรือครับ”
เวิร์นทำท่าขบคิด “นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน คงแล้วแต่ว่าเจ้าจะนิยามคำว่า ‘คน’ อย่างไรกระมัง” เขาบอกแล้วหันมามองผม ครั้นเห็นว่าผมยังอ้าปากงุนงงอยู่จริงอธิบายต่อไป “พวกเขาอาจจะมีต้นกำเนิดไม่เหมือนเจ้า แต่ก็มีความคิด มีความรู้สึกเหมือนเจ้านั่นละ”
ผมนึกถึงตอนที่นาร์คูล (คนที่ผมเจอในต่างมิติ) ขอให้ผมช่วยถอดห่วงคอออกให้ ถึงจะเป็นร่างโคลนหรืออะไรก็ตาม เขาก็ยังต้องการอิสรภาพอยู่นั่นเอง
“แล้วต้นกำเนิดของพวกเขา ไม่เหมือนผมยังไงหรือครับ”
“ก็...ต้นแบบเริ่มแรกของพวกเขาเกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม ปรับปรุงสายพันธุ์ให้มีความสามารถอย่างที่ต้องการ พอได้ต้นแบบที่เสถียรดีแล้วจึงค่อยนำมาโคลน”
“เอ่อ ครับ” ผมรับคำเบาๆ ทั้งที่ยังจับความไม่ค่อยได้ แต่แวบหนึ่งนั้นผมนึกถึงยายเกล็ดแก้วขึ้นมา แล้วก็เด็กสมบูรณ์แบบที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผมอีกหลายๆ คน พวกเขาก็เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้เป็นคนฉลาด แล้วก็มีสุขภาพดี
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เกิดจากความต้องการของพ่อแม่ ไม่ใช่เพื่อการทดลองแล้วนำมาใช้งานแบบนี้
“เพราะอย่างนี้ ข้าถึงได้เลิกเป็นอินูเว” เขาเอ่ยลอยๆ สายตาก็ตวัดมองขึ้นไปในอากาศ เหมือนไม่ได้พูดกับผม
“คุยกันเสร็จรึยัง” เสียงเดิมดังขึ้นโดยไม่เห็นตัว ในห้องนั้นคงมีลำโพงกระมัง
สีหน้าเวิร์นยามได้ยินเสียงนั้นเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมจนเคร่งเครียด ดวงตาของเขายังดูเหมือนมีแววเคียดขึ้งอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขามีความแค้นอะไรกัน
“จริงสิ ข้าต้องยินดีต้อนรับเจ้ากลับบ้านนะ เวิร์น” เสียงนั้นคล้ายเย้ยหยันอยู่ในที
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านข้า!”
“เอาเถอะ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม อย่างไรเจ้าก็กลับมาแล้ว”
“ต่อให้ข้ากลับมาก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ช่วยได้สิ ข้ามีงานให้เจ้าช่วย”
“งานอะไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ ซาฮาร์ไม่ได้บอกอะไรข้าทั้งนั้น”
”งานที่ข้าจะให้ช่วยไม่เกี่ยวกับซาฮาร์” เสียงโอลีนที่ผ่านลำโพงมาขรึมลง แต่แล้วก็กลับเย้ยหยันขึ้นอีก “ไม่สิ จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ใช่ ยังมีเกี่ยวบ้างนิดหน่อย”
“งานอะไร” มือของเขาเกร็งกำเป็นหมัด ทำให้โซ่ที่ล่ามอยู่สั่นเล็กน้อย บังเกิดเสียงดังเบาๆ
“ไว้ถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” โอลีนว่า จากนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ตามมาก็ตัดหายไป
ผมชำเลืองมองไปทางเวิร์น เขาขบกรามแน่นพยายามสะกดอารมณ์ ผมจึงนั่งเงียบอยู่ ไม่พูดอะไร ทั้งที่ผมอยากรู้แทบตายว่าซาฮาร์คือใคร แล้วเขาไม่ได้บอกอะไรกับเวิร์นหรือ
ผ่านไปสักพักใหญ่ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังรำลึกความหลัง “ซาฮาร์คือเพื่อนของข้าที่ตายไป เขาเคยเป็นมือขวาของโอลีน เป็นคนเก่ง แต่...” เขาหยุดไปเล็กน้อย “ความเก่งนั้นกลับฆ่าเขา”
ผมไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้รู้สึกตกใจ ไม่แปลกใจ...อันที่จริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกอย่างไรดี
“ตอนที่ข้าเลิกเป็นอินูเวแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น ข้าชวนซาฮาร์ไปด้วย ตอนแรกเขาลังเล แต่พอเห็นความสะเพร่าและการไร้ความรับผิดชอบอินูเวภายใต้การนำของโอลีน เขาจึงยอมเลิก และขอให้ข้าช่วยเขาหนี”
“ลาออกเฉยๆ ไม่ได้หรือครับ ทำไมต้องหนีด้วย”
เขาเหยียดมุมปากออก เหมือนจะเป็นรอยยิ้ม แต่ก็มีแววประชดประชัน “อินูเวน่ะ เป็นแล้วเป็นเลย ลาออกไม่ได้หรอก โอลีนเองก็ไม่ยอมให้ใครเดินจากไปง่ายๆ ด้วย มีแต่ต้องหนีเท่านั้นละ”
“แล้วตอนนั้นพวกคุณหนีไปที่ไหน ไปอยู่เมืองใต้ดินหรือครับ” ผมสงสัย
ในมิติของผม การหลบหนีสายตาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในกระแสเลือดของแต่ละคนมีหุ่นยนต์ชีวภาพขนาดเท่าเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เอาไว้ตรวจสอบร่างกาย แล้วส่งข้อมูลมาที่สายรัดข้อมือ เพื่อส่งต่อผ่านเครือข่ายไปยังศูนย์สุขภาพพร้อมกับพิกัดของคนๆ นั้น ซึ่งในเวลาที่ผมข้ามมิติ ข้อมูลของผมจะหายไปจากเครือข่าย และทำให้ผมถูกจับได้ว่าข้ามมิตินั่นเอง
“ตอนนั้นยังไม่มีเมืองใต้ดินหรอก” เวิร์นตอบพร้อมกับรอยยิ้ม คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆ “เมืองใต้ดินสร้างขึ้นหลังจากนั้นสักปีหรือสองปีกระมัง”
“แล้วทำไม...ซาฮา...ถึงตัดสินใจหนีละครับ” ผมพยายามเอ่ยชื่อนั้นให้ถูกต้อง แต่ชื่อคนที่นี่ออกเสียงยากเหลือเกิน
เวิร์นนิ่งคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่จึงเอ่ยตอบ “เพราะแผ่นดินไหวใหญ่ในครั้งนั้น” เขาหยุด ถอนหายใจยาวแล้วจึงเล่าต่อ เขาบอกว่าตอนที่เกิดแผ่นดินไหว เขากำลังอยู่ในช่วงหลบซ่อนตัวจากอินูเว โชคดีที่เขาหนีไปยังเมืองห่างไกล จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด (แต่อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศของโลกก็แปรปรวนจนไม่มีใครอยู่บนผิวโลกได้อีกต่อไป) หลังจากนั้นไม่นานซาฮาร์ก็ติดต่อเขา บอกว่ากำลังหนีออกจากฐานอินูเว เวิร์นจึงชวนเขามาอยู่ด้วย (ตอนนั้นเวิร์นยังไม่พบชาเวียร์)
ตอนที่เวิร์นพบเขานั้น ซาฮาร์ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เวิร์นก็ไม่ได้ถาม กระทั่งผ่านไปร่วมเดือน ซาฮาร์จึงบอกเขา บอกว่าแผ่นดินไหวในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะการทดลองของพวกเขาเอง
ซาฮาร์ไม่ได้เล่ารายละเอียด บอกแค่ว่ามันเป็นการทดลองข้ามมิติ บอกว่าตนเองห้ามโอลีน รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ร่วมในการทดลองนี้แล้วแต่ไม่มีใครฟัง ทุกคนในที่นั้น ยกเว้นเขากับโอลีนล้วนตายระหว่างการทดลอง หลังจากนั้นโอลีนก็สั่งให้ปิดฐาน เขาจึงรีบหนีออกมาเสียก่อน
“เขา...รู้สึกผิดอยู่เสมอ” เวิร์นบอกพลางก้มหน้ามองที่พื้น “พอโอลีนรู้ว่าเขาหนีไปก็ให้คนออกตามหามาตลอด ระหว่างนั้นเมืองทั้งหลายก็เริ่มได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนเริ่มอพยพลงไปอยู่ใต้ดิน มีการสร้างเมืองใต้ดิน ข้ากับซาฮาร์ก็ย้ายตามคนเหล่านั้นไปด้วย”
เวิร์นเล่าว่า เมืองใต้ดินในตอนแรกไม่ได้เป็นเมืองเหมือนอย่างที่เห็นในเวลานี้ ผู้คนยังปรับตัวไม่ได้ อาหารขาดแคลน น้ำในแหล่งน้ำหลายแห่งมีภาวะเป็นกรด ต้องปรับสภาพน้ำกัน (และทำให้รสชาดเปลี่ยนจนผมดื่มไม่ลง) ช่วงนั้นโอลีนยังคงตามหาซาฮาร์ บางครั้งก็หาพวกเขาพบ แต่ทุกครั้งซาฮาร์จะช่วยให้พวกเขาหลบหนีได้เสมอ
“มีครั้งหนึ่ง ระหว่างต่อสู้กัน ข้าถูกทำร้ายบาดเจ็บปางตาย ซาฮาร์ช่วยให้ข้าหนีรอดมาได้ แต่เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น บวกกับความกดดันที่ต้องหลบหนี และอาการซึมเศร้าที่มีมาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย” เสียงเวิร์นในตอนท้ายเบาหวิว
ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่น้ำลายยังไม่กล้ากลืน ครู่ต่อมาจึงได้ยินเวิร์นถอนหายใจยาว เหมือนรู้สึกโล่งขึ้นที่ได้ระบายอะไรออกมาบ้าง ไหล่ทั้งสองที่เกร็งไว้ในตอนแรกก็ตกลง
“ทำไมโอลีน...ถึงต้องตามหาซาฮาร์ด้วยละครับ” ผมเลียบเคียงถาม
“เขาต้องการให้ซาฮาร์กลับไปทำการทดลองให้เสร็จสิ้น”
“การข้ามมิติน่ะหรือครับ พวกเขาก็ทำได้แล้วนี่ นาร์คูลก็ข้ามมิติได้”
เวิร์นส่ายหน้า “อินูเวหาทางสร้างนาร์คูลขึ้นมาหลังจากที่ซาฮาร์ตายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนาร์คูลก็ยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่พวกเขาต้องการ”
“คุณสมบัติอะไรหรือครับ”
“เขาพาคนอื่นข้ามมิติไม่ได้”
ผมนึกทบทวนตามคำพูดของเวิร์น และเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นความจริง นาร์คูลไม่เคยพาใครข้ามมิติ มีแต่...เผลอสับหัวมังกรระหว่างข้ามมิติเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...
“โอลีนต้องการข้ามมิติหรือครับ!”
เวิร์นไม่ตอบคำถามนั้น เขามองมาที่ผม แต่ผมอ่านสายตาของเขาไม่ออกเลย
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ
พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๕
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๔ https://pantip.com/topic/40487718
###
บทที่ ๕
พวกนาร์คูลไม่ได้นำผมไปขังไว้ที่ห้องขังเดิม
พวกเขาแยกผมกับไฮซานอิม พาผมขึ้นลิฟต์ ไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง
ห้องนั้นกว้างกว่าห้องขังเดิมของผม แต่ยังไม่กว้างเท่ากับห้องที่เขาเอาเจ้าอิมไปทดสอบ แสงในห้องนั้นค่อนข้างสลัว ตอนแรกผมจึงไม่เห็นว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นในมุมมืดของห้อง รอจนเขาร้องเรียก ผมจึงเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“เวิร์น!” เขาถูกจับมาจริงๆ ด้วย “แล้วมุสละครับ”
อดีตอินูเวลุกยืนขึ้น ผมจึงเห็นว่าเขาถูกโซ่ล่ามทั้งมือเท้า “ข้าไม่รู้” เขาตอบพร้อมส่ายหน้า “ข้าถูกจับมาตอนที่รอพวกเจ้าอยู่นอกฐาน”
ใจผมชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง หากมุสไม่ถูกจับก็ยังมีความหวัง
นาร์คูลสองคน (หรือไม่ก็คนที่หน้าเหมือนนาร์คูล ผมสับสนไปหมดแล้ว) นำผมไปล่ามไว้ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง จากนั้นพวกเขาก็ออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู
“คุณถูกจับมาได้ยังไงครับ คุณมีเวทมนตร์นี่” ถามพลางมองไปที่มือของเขา จำได้ว่าเขาสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือ แหวนซึ่งมักจะเรืองแสงสีแดงในยามที่เขาใช้เวทมนตร์ แต่ยามนี้มันไม่อยู่แล้ว
เขาส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก คล้ายมีแววเย้ยนิดๆ “พวกมันส่งนาร์คูลออกไปทั้งฝูง เวทมตร์ของข้าจะทำอะไรได้”
อา...พวกเขาเรียกว่านาร์คูลจริงๆ สรุปแล้วนาร์คูลไม่ใช่ชื่อคนหรือ
“จริงสิ ทำไมพวกเขา...หน้าตาเหมือนกันหมดละครับ”
คราวนี้เวิร์นขำเบาๆ “พวกเขาเป็นร่างโคลน ก็ต้องเหมือนกันน่ะสิ”
“ร่างโคลน!”
“ใช่ นาร์คูลเป็นรหัสของหุ่นชีวิภาพรุ่นนี้”
“หุ่นชีวภาพ!” เสียงผมยิ่งทียิ่งดัง เวิร์นก็ยิ่งหัวเราะขบขัน “พวกเขา...ไม่ใช่คนหรือครับ”
เวิร์นทำท่าขบคิด “นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน คงแล้วแต่ว่าเจ้าจะนิยามคำว่า ‘คน’ อย่างไรกระมัง” เขาบอกแล้วหันมามองผม ครั้นเห็นว่าผมยังอ้าปากงุนงงอยู่จริงอธิบายต่อไป “พวกเขาอาจจะมีต้นกำเนิดไม่เหมือนเจ้า แต่ก็มีความคิด มีความรู้สึกเหมือนเจ้านั่นละ”
ผมนึกถึงตอนที่นาร์คูล (คนที่ผมเจอในต่างมิติ) ขอให้ผมช่วยถอดห่วงคอออกให้ ถึงจะเป็นร่างโคลนหรืออะไรก็ตาม เขาก็ยังต้องการอิสรภาพอยู่นั่นเอง
“แล้วต้นกำเนิดของพวกเขา ไม่เหมือนผมยังไงหรือครับ”
“ก็...ต้นแบบเริ่มแรกของพวกเขาเกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม ปรับปรุงสายพันธุ์ให้มีความสามารถอย่างที่ต้องการ พอได้ต้นแบบที่เสถียรดีแล้วจึงค่อยนำมาโคลน”
“เอ่อ ครับ” ผมรับคำเบาๆ ทั้งที่ยังจับความไม่ค่อยได้ แต่แวบหนึ่งนั้นผมนึกถึงยายเกล็ดแก้วขึ้นมา แล้วก็เด็กสมบูรณ์แบบที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผมอีกหลายๆ คน พวกเขาก็เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้เป็นคนฉลาด แล้วก็มีสุขภาพดี
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เกิดจากความต้องการของพ่อแม่ ไม่ใช่เพื่อการทดลองแล้วนำมาใช้งานแบบนี้
“เพราะอย่างนี้ ข้าถึงได้เลิกเป็นอินูเว” เขาเอ่ยลอยๆ สายตาก็ตวัดมองขึ้นไปในอากาศ เหมือนไม่ได้พูดกับผม
“คุยกันเสร็จรึยัง” เสียงเดิมดังขึ้นโดยไม่เห็นตัว ในห้องนั้นคงมีลำโพงกระมัง
สีหน้าเวิร์นยามได้ยินเสียงนั้นเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมจนเคร่งเครียด ดวงตาของเขายังดูเหมือนมีแววเคียดขึ้งอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขามีความแค้นอะไรกัน
“จริงสิ ข้าต้องยินดีต้อนรับเจ้ากลับบ้านนะ เวิร์น” เสียงนั้นคล้ายเย้ยหยันอยู่ในที
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านข้า!”
“เอาเถอะ จะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม อย่างไรเจ้าก็กลับมาแล้ว”
“ต่อให้ข้ากลับมาก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ช่วยได้สิ ข้ามีงานให้เจ้าช่วย”
“งานอะไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ ซาฮาร์ไม่ได้บอกอะไรข้าทั้งนั้น”
”งานที่ข้าจะให้ช่วยไม่เกี่ยวกับซาฮาร์” เสียงโอลีนที่ผ่านลำโพงมาขรึมลง แต่แล้วก็กลับเย้ยหยันขึ้นอีก “ไม่สิ จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ใช่ ยังมีเกี่ยวบ้างนิดหน่อย”
“งานอะไร” มือของเขาเกร็งกำเป็นหมัด ทำให้โซ่ที่ล่ามอยู่สั่นเล็กน้อย บังเกิดเสียงดังเบาๆ
“ไว้ถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” โอลีนว่า จากนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ตามมาก็ตัดหายไป
ผมชำเลืองมองไปทางเวิร์น เขาขบกรามแน่นพยายามสะกดอารมณ์ ผมจึงนั่งเงียบอยู่ ไม่พูดอะไร ทั้งที่ผมอยากรู้แทบตายว่าซาฮาร์คือใคร แล้วเขาไม่ได้บอกอะไรกับเวิร์นหรือ
ผ่านไปสักพักใหญ่ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังรำลึกความหลัง “ซาฮาร์คือเพื่อนของข้าที่ตายไป เขาเคยเป็นมือขวาของโอลีน เป็นคนเก่ง แต่...” เขาหยุดไปเล็กน้อย “ความเก่งนั้นกลับฆ่าเขา”
ผมไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้รู้สึกตกใจ ไม่แปลกใจ...อันที่จริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกอย่างไรดี
“ตอนที่ข้าเลิกเป็นอินูเวแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น ข้าชวนซาฮาร์ไปด้วย ตอนแรกเขาลังเล แต่พอเห็นความสะเพร่าและการไร้ความรับผิดชอบอินูเวภายใต้การนำของโอลีน เขาจึงยอมเลิก และขอให้ข้าช่วยเขาหนี”
“ลาออกเฉยๆ ไม่ได้หรือครับ ทำไมต้องหนีด้วย”
เขาเหยียดมุมปากออก เหมือนจะเป็นรอยยิ้ม แต่ก็มีแววประชดประชัน “อินูเวน่ะ เป็นแล้วเป็นเลย ลาออกไม่ได้หรอก โอลีนเองก็ไม่ยอมให้ใครเดินจากไปง่ายๆ ด้วย มีแต่ต้องหนีเท่านั้นละ”
“แล้วตอนนั้นพวกคุณหนีไปที่ไหน ไปอยู่เมืองใต้ดินหรือครับ” ผมสงสัย
ในมิติของผม การหลบหนีสายตาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในกระแสเลือดของแต่ละคนมีหุ่นยนต์ชีวภาพขนาดเท่าเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เอาไว้ตรวจสอบร่างกาย แล้วส่งข้อมูลมาที่สายรัดข้อมือ เพื่อส่งต่อผ่านเครือข่ายไปยังศูนย์สุขภาพพร้อมกับพิกัดของคนๆ นั้น ซึ่งในเวลาที่ผมข้ามมิติ ข้อมูลของผมจะหายไปจากเครือข่าย และทำให้ผมถูกจับได้ว่าข้ามมิตินั่นเอง
“ตอนนั้นยังไม่มีเมืองใต้ดินหรอก” เวิร์นตอบพร้อมกับรอยยิ้ม คราวนี้เป็นรอยยิ้มจริงๆ “เมืองใต้ดินสร้างขึ้นหลังจากนั้นสักปีหรือสองปีกระมัง”
“แล้วทำไม...ซาฮา...ถึงตัดสินใจหนีละครับ” ผมพยายามเอ่ยชื่อนั้นให้ถูกต้อง แต่ชื่อคนที่นี่ออกเสียงยากเหลือเกิน
เวิร์นนิ่งคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่สักครู่จึงเอ่ยตอบ “เพราะแผ่นดินไหวใหญ่ในครั้งนั้น” เขาหยุด ถอนหายใจยาวแล้วจึงเล่าต่อ เขาบอกว่าตอนที่เกิดแผ่นดินไหว เขากำลังอยู่ในช่วงหลบซ่อนตัวจากอินูเว โชคดีที่เขาหนีไปยังเมืองห่างไกล จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด (แต่อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศของโลกก็แปรปรวนจนไม่มีใครอยู่บนผิวโลกได้อีกต่อไป) หลังจากนั้นไม่นานซาฮาร์ก็ติดต่อเขา บอกว่ากำลังหนีออกจากฐานอินูเว เวิร์นจึงชวนเขามาอยู่ด้วย (ตอนนั้นเวิร์นยังไม่พบชาเวียร์)
ตอนที่เวิร์นพบเขานั้น ซาฮาร์ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง ดูเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เวิร์นก็ไม่ได้ถาม กระทั่งผ่านไปร่วมเดือน ซาฮาร์จึงบอกเขา บอกว่าแผ่นดินไหวในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะการทดลองของพวกเขาเอง
ซาฮาร์ไม่ได้เล่ารายละเอียด บอกแค่ว่ามันเป็นการทดลองข้ามมิติ บอกว่าตนเองห้ามโอลีน รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ร่วมในการทดลองนี้แล้วแต่ไม่มีใครฟัง ทุกคนในที่นั้น ยกเว้นเขากับโอลีนล้วนตายระหว่างการทดลอง หลังจากนั้นโอลีนก็สั่งให้ปิดฐาน เขาจึงรีบหนีออกมาเสียก่อน
“เขา...รู้สึกผิดอยู่เสมอ” เวิร์นบอกพลางก้มหน้ามองที่พื้น “พอโอลีนรู้ว่าเขาหนีไปก็ให้คนออกตามหามาตลอด ระหว่างนั้นเมืองทั้งหลายก็เริ่มได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้คนเริ่มอพยพลงไปอยู่ใต้ดิน มีการสร้างเมืองใต้ดิน ข้ากับซาฮาร์ก็ย้ายตามคนเหล่านั้นไปด้วย”
เวิร์นเล่าว่า เมืองใต้ดินในตอนแรกไม่ได้เป็นเมืองเหมือนอย่างที่เห็นในเวลานี้ ผู้คนยังปรับตัวไม่ได้ อาหารขาดแคลน น้ำในแหล่งน้ำหลายแห่งมีภาวะเป็นกรด ต้องปรับสภาพน้ำกัน (และทำให้รสชาดเปลี่ยนจนผมดื่มไม่ลง) ช่วงนั้นโอลีนยังคงตามหาซาฮาร์ บางครั้งก็หาพวกเขาพบ แต่ทุกครั้งซาฮาร์จะช่วยให้พวกเขาหลบหนีได้เสมอ
“มีครั้งหนึ่ง ระหว่างต่อสู้กัน ข้าถูกทำร้ายบาดเจ็บปางตาย ซาฮาร์ช่วยให้ข้าหนีรอดมาได้ แต่เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น บวกกับความกดดันที่ต้องหลบหนี และอาการซึมเศร้าที่มีมาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย” เสียงเวิร์นในตอนท้ายเบาหวิว
ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่น้ำลายยังไม่กล้ากลืน ครู่ต่อมาจึงได้ยินเวิร์นถอนหายใจยาว เหมือนรู้สึกโล่งขึ้นที่ได้ระบายอะไรออกมาบ้าง ไหล่ทั้งสองที่เกร็งไว้ในตอนแรกก็ตกลง
“ทำไมโอลีน...ถึงต้องตามหาซาฮาร์ด้วยละครับ” ผมเลียบเคียงถาม
“เขาต้องการให้ซาฮาร์กลับไปทำการทดลองให้เสร็จสิ้น”
“การข้ามมิติน่ะหรือครับ พวกเขาก็ทำได้แล้วนี่ นาร์คูลก็ข้ามมิติได้”
เวิร์นส่ายหน้า “อินูเวหาทางสร้างนาร์คูลขึ้นมาหลังจากที่ซาฮาร์ตายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนาร์คูลก็ยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่พวกเขาต้องการ”
“คุณสมบัติอะไรหรือครับ”
“เขาพาคนอื่นข้ามมิติไม่ได้”
ผมนึกทบทวนตามคำพูดของเวิร์น และเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นความจริง นาร์คูลไม่เคยพาใครข้ามมิติ มีแต่...เผลอสับหัวมังกรระหว่างข้ามมิติเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...
“โอลีนต้องการข้ามมิติหรือครับ!”
เวิร์นไม่ตอบคำถามนั้น เขามองมาที่ผม แต่ผมอ่านสายตาของเขาไม่ออกเลย
###
ติดตามต่อสัปดาห์หน้านะคะ