[CR] 3 ร้านอาหารแนะนำในเชียงใหม่จากความเห็นของผมครับ

สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนรีวิวในลักษณะดังกล่าวมานานแล้ว แม้จะยังเดินทางบ่อยและถี่ แล้วก็มีโอกาสไปชิมนั่นชิมนี่เรื่อย ๆ แต่ที่อยากเขียนกระทู้รีวิวในวันนี้คงเป็นเพราะความตั้งใจที่จะใช้เวลา 34 ชั่วโมงในเชียงใหม่ให้คุ้มค่าที่สุด ไปในร้านที่เคยไปเยือน ร้านที่ชอบ และคิดว่าจะยอม “บอกต่อ” ผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้ทั่ว ๆ ไป หรือผู้ที่เคยไปแต่ร้านที่มักปรากฏตามหน้ารีวิวต่าง ๆ ให้มีโอกาสได้ใช้รีวิวนี้เป็นทางเลือกใหม่ ๆ บ้างก็แล้วกันครับ


34 ชั่วโมงในเชียงใหม่ของผม เริ่มต้นจาก 8 โมงเช้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสายการบินกรุงเทพ ความจริงผมตั้งใจจะไปรับประทานมื้อเช้าที่เชียงใหม่ และเลือกเที่ยวบินตอน 6 โมงเช้าเอาไว้ แต่เที่ยวบินยกเลิกหลัง 15 กันยายน เลยจับพลัดจับผลูได้มารับประทานมื้อเช้าบนเที่ยวบินนี้แทนครับ เร็ว ๆ นี้ มีกระทู้วิพากษ์อาหารของบางกอกแอร์เวยส์อยู่ เอาเข้าจริง ๆ นะครับ วันนี้ผมว่าบางกอกทำออมเล็ตได้รสชาติดีขึ้น คือคงรูป แต่ไม่เหลวหรือแข็งจนเกินไป ไส้กรอก มันฝรั่งตามมาตรฐาน มีผลไม้สองชิ้น (มะละกอและแคนตาลูป) ที่น่าจะเหมาสวนมา เพราะบินทีไรก็เจอคู่นี้ตลอด แต่ก็ไปด้วยดีกับโยเกิร์ต ด้านแดนิชพีชนั้น แนะนำว่าถ้าเสียดายก็คว้านรับประทานเอาแต่พีช ถ้ารับประทานแป้งแดนิชไปด้วยอาจจะรู้สึกเสียดายยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม นับว่ายังคุ้มค่า คุ้มราคาอยู่มาก ยิ่งผนวกกับบริการบนเครื่อง ยิ่งทำให้รู้สึกว่า เวลาผ่านไปเร็วเชียวครับ


ตัดกลับมาที่ร้านแรก อยากจะพาไปรับประทานอาหารตะวันตกที่ดีมาก ๆ แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ น่าจะเห็นในรีวิวพันทิปหรือที่อื่น ๆ น้อยมากอยู่ครับ ร้านชื่อ l’elephant หรือเลเลฟอง แปลไทย ๆ ก็คือร้านช้างนั่นเอง ผมเคยมาทานเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่ร้านจะปิดไปช่วงหนึ่งเพราะปรับปรุงทั้งตัวร้านแล้วก็เชฟที่ไปเรียนเพิ่มเติม มาหนนี้ก็เลยไม่พลาดที่จะแวะเวียนกลับมาที่นี่อีกครั้งครับ


ตามความเห็นของผม ถ้าสั่งแบบตามสั่งจากเมนูหรืออาลาคาร์ท ร้านนี้จะถือว่าราคาสูงมาก (ซึ่งก็เป็นแบบนี้ในทุก ๆ ร้านที่ให้บริการแบบ fine dining ในเชียงใหม่) แต่ถ้าสั่งเป็นอาหารชุด จะมีหลายราคา ถ้าเป็นแบบ 5 คอร์สอลังการ มีสองราคาคือหย่อนพันกับพันกลาง ๆ ให้เลือกครับ แต่ถ้าเป็นมื้อเที่ยงจะมีชุดประหยัด 2 คอร์สราคา 420 และ 3 คอร์สราคา 470 ให้เลือก ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ผมลองในวันนี้ครับ


อาหาร 3 คอร์ส จะประกอบด้วย จานเรียกน้ำย่อย ซึ่งจะมีให้เลือก 2 จาน (ตับบดแบบฝรั่งเศส หรือไข่ต้มยางมะตูม) หรือจะเลือกสลัดก็ได้ ซึ่งมีให้เลือก 4 แบบ (ซีซาร์ คาปรีเซ ฯลฯ) หรือจะเป็นซุปประจำวันซึ่งก็สามารถเลือกได้ 4 แบบ เช่นกันครับ


เมื่อเลือกเสร็จจะมีตะกร้าขนมปังมาบริการพร้อมเนย ถ้าขนมปังอร่อยจนจัดการหมด ก็จะมีมาบริการเพิ่มอีกตะกร้าแบบไม่หวง ในบรรดาขนมปังผมว่า ขนมปัง olive and sundried tomato อร่อยสุดครับ นอกจากขนมปัง ที่นี่จะบริการน้ำเปล่าฟรีครับ บริกรคอยรินเติมให้ตลอด และยังมีเครื่องดื่มต้อนรับอีกหนึ่งแก้วเป็นน้ำมะม่วงครับ


ผู้ร่วมโต๊ะของผมทั้งสองท่านเลือกซุปปูเหมือนกัน อารมณ์ของซุปปูให้นึกถึงซุปลอปสเตอร์ (Lobster bisque) แต่เปลี่ยนจากกุ้งเป็นปู ความหอม ข้น ทำออกมาได้ใกล้เคียงกัน มีปูลอยหน้ามาสัก 3 ก้อนใหญ่แบบไม่ใช่เศษปู  


ส่วนของผมเลือกแบบธรรมดาที่สุดเป็น devilled egg ในเมนูเขียนว่าเป็นไข่ต้มยางมะตูม แต่ตอนที่ยกมา ผมคิดว่าน่าจะเข้าขั้นไข่ลวกมากกว่า แต่ก็เป็นไข่ลวกที่พิเศษมาก เพราะสามารถเอาส้อมดุนส่วนด้านล่างเพื่อตักเข้าปากได้ โดยที่ไข่แดงยังไม่สุกแต่ก็ไม่แตกหล่นร่วงไหลเยิ้มออกมาครับ มากับซอสมาโยรสเผ็ดที่ผมว่าตัดกับความมันและกึ่งคาวของไข่ลวกได้ดี โรยมาด้วยอัลมอนด์และเบคอนบิทอีกหน่อย ขณะที่เครื่องเคียงอีกอย่างที่ต้องชมคือหน่อไม้ฝรั่งเลือกต้นที่ไม่ใหญ่พอปรุงแล้วจะสามารถรับประทานได้ทุกส่วน ไม่มีเสี้ยนหรือเส้นแข็ง ๆ ปนครับ


จานหลัก ปกติจะมีให้เลือกจำนวน 8 อย่าง ตั้งแต่ธรรมดา ๆ อย่างสปาเกตตี้เบค่อนไปจนถึงเมนูดี ๆ อื่นที่ผมไม่ได้เลือก เช่น สตูว์ลิ้นวัว ทูน่าบริกหรือทูน่าในแป้งพัฟ กุ้งตัวใหญ่ผัดกระเทียมซอสไวน์ขาว แซลมอนย่าง ขณะที่จานที่เราเลือกมาลอง มี 3 จาน ดังนี้ครับ

จานแรกของผมเอง เป็นเมนูฝรั่งเศสพื้นฐาน คือเบอฟบูร์กิยง หรือเนื้อตุ๋นแบบฝรั่งเศส ส่วนที่ใช้จะต้องติดเอ็นหน่อย ๆ เวลาตุ๋นจะออกมานุ่มและชุ่มฉ่ำ ร้านเลเลฟองทำออกมาได้ดีตั้งแต่ระดับความนุ่มที่ไม่ต้องออกแรงกดมีดมาก ตัวน้ำเครื่องตุ๋นทำออกมาได้อร่อย เช่นเดียวกับพาสต้าหลากสีที่เคียงมาปรุงมาแบบอัลเดนเต้ที่แท้จริงครับ


จานที่สองที่อร่อยมากไม่แพ้กันคือซี่โครงหมูย่าง ซึ่งจะต้องนำไปหมักและรมควันก่อน ความรู้สึกที่ได้รับประทานแรก ๆ คือ เนื้อนุ่มและร่อนมาก แบบที่อาหารย่างควรจะเป็น ไม่ได้นุ่มแบบยุ่ยคล้ายสตูว์ หอมกลิ่นแอ๊ปเปิ้ลอ่อน ๆ กับซอสบาร์บีคิวที่ทามา ที่เด็ดสุดจริง ๆ คงเป็นพริกหนุ่มย่างที่ตกแต่งมาด้านบน เพราะทานคู่กับซี่โครงหมูแล้วจะชูรสชาติขึ้นมากไปอีกครับ


จานที่สาม เป็นปลากะพงย่าง ย่างจนส่วนหนังกรอบจนกัดแล้วมีเสียง ถ้าชอบก็จัดการหมด แต่ถ้าไม่ชอบแบบบางคนก็เลิกส่วนหนังกรอบนี้ขึ้น แล้วแยกไว้ต่างหากก็ได้ครับ จานนี้มาในซอสมาตรฐานคือเลมอนบัตเตอร์ ซึ่งเหมือนเนยจะกลบมะนาว ตัวแตงกวาฝานบางที่รองด้านล่างอย่างประณีตนั้นมีกลิ่นและรสอมเปรี้ยวเล็ก ๆ ชัดเจน ส่วนผักที่ให้รับประทานด้วยกันก็เป็นหน่อไม้ฝรั่งและบรัสเซลส์สเปราท์ที่เข้ากันดีกับปลากะพงครับ ถ้ามีข้อติก็คือ ร้านน่าจะทราบวิธีการปรุงบรัสเซลส์สเปราท์ให้ขมน้อยลงกว่านี้ได้อีกครับ นอกจากรสชาติดีแล้ว serving ของจานนี้ใหญ่มากจนน่าตกใจ และต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะจัดการได้หมดครับ


ถ้าอาหารคาวจานใหญ่มาก อาหารหวานคอร์สสุดท้ายคงถือได้ว่า minimalist ที่สุด เพราะถ้วยเล็กมากประหนึ่งถ้วยน้ำจิ้ม มีให้เลือกระหว่าง เครมบูเล พานนาคอตตา และช็อกโกแลตมูส หรือจะรับกาแฟก็ได้ เอาจริง ๆ เครมบูเลชาเอิร์ลเกรย์ที่เพื่อนผมสั่งมา รสชาติอยู่ที่มาตรฐาน ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้หวือหวาอะไร


แล้วของหวานที่ผมอยากแนะนำคืออะไร คำตอบก็คือ ไอศกรีมครับ ที่นี่เป็นแบบโฮมเมดอย่างแท้จริง มีวันหนึ่ง ๆ ประมาณ 5 – 6 รส ทั้งแบบไอศกรีมและเชอร์เบต ผมเองจำได้ไม่ทั้งหมด ที่จำได้แน่ ๆ คือมีรสคาเฟ่ลาเต้ด้วยแต่ไม่ได้สั่ง เพื่อนผมเลือกรสดาร์ค ช็อกโกแลต อร่อยถึงขั้นเพื่อนผมยอมโหวตให้ติด 1 ใน 3 ของไอศกรีมที่ดีที่สุดจากหลาย ๆ ที่ที่เคยชิมมา ส่วนผมเลือกรสที่ดูบ้านที่สุดอย่าง คัสตาร์ต แอ๊ปเปิ้ล ซึ่งบริกรจะพูดอย่างนี้ตลอด หากใครไม่คุ้นภาษาอังกฤษคงจะนึกว่ามันคือไอศกรีมแอ๊ปเปิ้ลที่ผสมคัสตาร์ตลงไปด้ววย แต่ความจริงไม่ใช่นะครับ เพราะผมถามกลับพนักงานทันทีว่า มันคือ “ไอศกรีมน้อยหน่า” ใช่หรือไม่ ทันทีที่ทราบว่าใช่ ก็ไม่ลังเลที่จะสั่งมา บทสรุปของถ้วยนี้ก็คือ ไอศกรีมน้อยหน่าอร่อยไม่น้อยหน้าของหวานจานอื่น ๆ เลยครับ รับประทานแล้วสดชื่น อุณหภูมิของไอศกรีมคือพอดี ตัดแล้วเท็กซ์เจอร์ยังแน่น แต่ไม่ได้แข็งทำร้ายฟัน ตัวรสน้อยหน่าทำออกมาได้อมหวานแซมเปรี้ยว ลงตัวครับ


มาถึงช่วงสุดท้าย ด้วยบริการแบบที่เรียกว่า “ไร้ที่ติ” และอหาหารคุณภาพขนานี้ 3 คน จ่ายไปทั้งสิ้น 1,452 บาท ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นค่าบริการและค่าขนมปังครับ ถ้าท่านถนัดการคำนวณอาจจะย้อนไปดูราคาต่อหัว แล้วจะพบว่าค่าบริการของที่นี่คิดเป็นสัดส่วนที่ถูกเอามาก (ถ้าไม่ได้คิดเลขผิด) ปิดท้ายร้านนี้ แนะนำว่านอกจากรับประทานแล้ว ลองดูการตกแต่งร้านรอบ ๆ ที่ออกแนวอาร์ทมาก ๆ มีงานศิลป์ซีดีเพลงสากลฟังสบาย ๆ ให้เลือกซื้อหา และท้ายสุด ห้องน้ำที่นี่อลังการมากมายครับ ห้ามพลาดที่จะแวะเข้าไปชมด้วยประการทั้งปวงครับ


ข้อมูลจำเพาะ

ร้านอาหาร l’elephant เลขที่ 7 ถนนศิริมังคลาจารย์ซอย 11 เปิดทุกวันทั้งมื้อกฃลางวันและค่ำ ยกเว้นวันจ้นทร์ ถ้ามาทางนิมมานจะตัดออกมาทางซอย 17 ก็ได้ครับ เว็บไซต์ของร้านคือ https://www.lelephantchiangmai.com/ ครับ

หมายเหตุ ร้านอาหารตะวันตกอื่น ๆ ที่ผมชื่นชอบและมีโอกาสแวะเวียนไปในหนอื่น ๆ และคิดว่าอยากจะแนะนำ มีอีก 3 ร้าน ซึ่งราคาอาหารตามสั่งจากเมนูแพงพอฟัดพอเหวี่ยงกับ เลเลฟองต์ครับ
ร้านแรกคือ le crystal อยู่แถวป่าตัน ออกแนวทางการ ไปทานบุฟเฟ่ต์บรันช์สุดสัปดาห์อาจจะคุ้มสุด ร้านที่สองคือ David's Kitchen ร้านนี้ขายตอนค่ำอย่างเดียว อยู่แถววัดเกตุใกล้บริติชเคาน์ซิล
ร้านที่สาม ซึ่งน่าจะถือเป็น old school มาก ๆ ของเชียงใหม่ก็คือร้าน Le Coq D'or แถวหนองหอยบนถนนเกาะกลาง ที่แยกมาจากเส้นเชียงใหม่ - ลำพูนสายเก่า
ชื่อสินค้า:   จังหวัดเชียงใหม่
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่