[ไซไฟ-แฟนตาซี] Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์ EP.4

Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
ผู้แต่ง: Pakkie Davie


คำโปรย:
        ท่ามกลางภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน ไฟสงครามที่กำลังก่อตัว
        องค์กรลึกลับในสหรัฐอเมริกาและพวกไร้ถิ่นเริ่มออกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า

        In-D (อินดี้)
        ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุแผนการทำลายล้างมนุษยชาติเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ

        ในขณะเดียวกัน รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก เด็กหนุ่มผู้ครอบครอง In-D โดยชอบธรรม
        ก็เริ่มตระหนักได้ว่า ภัยร้ายกำลังมาเยือน
        เขาจึงต้องหาทางหยุดยั้งศัตรูจากการคุกคามนั้น

        แล้วเขาจะต้องทำเช่นไร?
        การต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกับองค์กรลี้ลับจะจบลงอย่างไร?
        In-D จะถูกแย่งชิงไปหรือไม่?

        ติดตามการผจญภัยของรีลอยด์ได้ที่นี่


##################

ลิงค์ตอนก่อน
ตอนที่ 0 - Blue Whale
https://pantip.com/topic/36571053
ตอนที่ 1 - Bully
https://pantip.com/topic/36594368
ตอนที่ 2 - Revenge
https://pantip.com/topic/36634732
ตอนที่ 3 - Traces
https://pantip.com/topic/36672185

##################


ตอนที่ 4
Hideout

     งง... งงไปหมดแล้ว

     ทุกสิ่งที่ได้ยินเมื่อสองชั่วโมงก่อนทำให้ผมสับสนราวกับโดนลูกฟุตบอลกระแทกหน้าจนสติหลุด รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่รถบรรทุกวิ่งข้ามสะพานแห่งสิงโตเข้าสู่ใจกลางเมืองเซ็นต์ ออกัสตินแล้ว

     คุณลุงเฮนรี่(ซึ่งเจอกันระหว่างทาง)ส่งพวกเราที่ป้อมปราการหิน ผมและเจโรมกล่าวลาก่อนจะเดินเลียบไปตามถนนจนถึงวิทยาลัยแฟล็กเลอร์  บรรยากาศรอบสถานที่เงียบสนิทในช่วงวันหยุด ไม่มีนักเรียนสักคนบริเวณนี้ ถนนรอบด้านไม่มีใครใช้สัญจร มันช่างวังเวงเสียจนได้ยินเสียงลมพัดหวิวๆ

     ผมเงยหน้าชำเลืองมองอาคารเรียนสีครีมโอ่อ่าราวกับปราสาทสลักด้วยลวดลายสีส้มงดงามประณีต สังเกตหน้าต่างในอาคารเรียน ภายในห้องพักครูมืดสนิท กอปรกับความวังเวงรอบวิทยาลัยยิ่งทำให้ผมรู้สึกครั่นคร้ามจนขนลุกชัน “พวกเรามาทำอะไรที่นี่”

     “มาร์แชลอยู่ที่นี่”

     “เขาเป็นอาจารย์เหรอ”

     “ไม่ใช่หรอก เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์”

     “เขาสร้างนายขึ้นมาจริงเหรอ”

     “ใช่”

     “อืม”จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรอก ทว่าสีหน้าของเจโรมแลดูจริงจังเสียเหลือเกิน “ถ้าหากนายเป็นแอนดรอยด์จริงๆ ทำไมนายต้องไปโรงเรียน”

     “เฝ้าดูนายไง”

     “ฉันเนี่ยนะ”

     “ใช่ มาร์แชลส่งฉันไปที่โรงเรียนเพื่อคอยสังเกตพฤติกรรมของนาย”

     “พฤติกรรมของฉันน่ะเหรอ”ยิ่งฟังยิ่งน่าสงสัย ผมจึงกล่าวต่อ“นายย้ายเข้าเรียนที่บูนไฮสคูลมาพร้อมกับฉัน แล้วฉันก็เจอมาร์แชลหลังจากนั้นไม่กี่เดือน”

     “ใช่ เขารู้จักนายก่อนวันที่นายเจอกับเขาบนสะพานในแฟล็กเลอร์ บีช”

     “ถ้าอย่างนั้น วันนั้น...”ผมนึกตรอง “วันที่ฉันอยู่บนสะพาน”

     “ทุกอย่างในวันนั้นเกิดจากความบังเอิญ” เจโรมกล่าวแทรก “บังเอิญที่พวกคุณโจนส์ตามหามาร์แชลเจอ บังเอิญที่นายอยู่บนสะพานในจังหวะที่มาร์แชลกำลังหาทางหลบหนี บังเอิญที่นายเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างพอดี บังเอิญที่นายตกลงไปในก้นแม่น้ำพร้อมๆกับมาร์แชล และบังเอิญที่พวกคุณโจนส์สืบจนรู้ว่าคนที่ตกลงไปในแม่น้ำพร้อมกับมาร์แชลคือนาย”

     “แล้วยังไง”

     “แล้วยังไงน่ะเหรอ”เจโรมสูดหายใจ “หลังจากวันนั้น นายก็ตกเป็นเป้าหมายของพวกคุณโจนส์ด้วยยังไงล่ะ”

     ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม “พวกเขาต้องการอะไรจากฉัน”

     “มาร์แชลคนเดียวที่รู้คำตอบ”

     ผมกรอกตาฟังพลางนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์วันนั้น

     “เราไม่ควรพูดเรื่องนี้กลางถนน รีบตามมาเถอะ”

     “โอเค”ผมเดินทอดน่อง หันมองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครนอกจากพวกเราเดินเตร็ดเตร่กันเพียงลำพัง

     เจโรมเดินจูงไรเจลไปบนทางเท้า เลี้ยวไปยังประตูหน้าวิทยาลัย รูปปั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้า พวกเราเดินผ่านไปโดยไม่มียามเฝ้าสักคน

     บริเวณสวนภายในตกแต่งสวยงามประดับด้วยน้ำพุตรงตำแหน่งใจกลางลานกว้าง ผมกับไรเจลยืนรออยู่ตรงนั้นในขณะที่เจโรมเดินตรงไปยังทางเข้าลอบบี้ โดยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเปิดประตูออกมาต้อนรับ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาพูดอะไรกันแต่ทั้งสองหันมาจดจ้องมองผมตาไม่กระพริบระหว่างสนทนา


Ponce de Leon Hall, Flagler College (เผลอลบไฟล์ภาพที่ถ่ายเก็บไว้เองทิ้งหมด แง ... ใช้ภาพในเน็ตพลางๆ)


     สักพักอาจารย์วัยชราก็เดินลับสายตาไป ส่วนเจโรมก็โบกมือเรียกผม

     “มาร์แชลฝากกุญแจไว้ให้นายด้วย”

     “หืม”

     “เก็บรักษามันไว้เท่าชีวิตล่ะ”เจโรมยักไหล่ “อาจารย์ราฟาเอลบอกว่าตอนนี้มาร์แชลไม่อยู่ที่นี่”

     “เขาออกไปไหน”

     “ไม่รู้”

     “เขาจะกลับมาเมื่อไหร่”

     “ฉันไม่รู้ เขาไม่ได้บอก”

     “ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรกันต่อ”

     “ฉันไม่รู้”

     ยิ่งฟังคำตอบยิ่งชวนหงุดหงิด ผมกอดอกสบตามองอีกฝ่ายจริงจัง หากหมอนี่ตอบว่า ‘ไม่...’ อีกครั้ง ผมจะต่อยเขา

     “ฉันส่งข้อความลับให้กับเขาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”

     “นายส่งข้อความอะไรให้กับเขา”

     “ฉันบอกว่าพวกเราถูกตามล่า และมาร์แชลก็บอกเองว่าเขาจะรอพวกเราที่นี่”

     “แล้วจู่ๆเขาก็หายตัวไปแบบนี้น่ะเหรอ” ผมถอนหายใจ

     เจโรมโน้มตัวกระซิบ “เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่มานานหลายเดือนแล้ว เราจะลงไปที่ชั้นใต้ดิน บางทีมาร์แชลอาจจะทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ให้พวกเรา”

     ผมสัมผัสได้ถึงความลึกลับบางอย่างภายใต้น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้น ขณะที่เด็กเนิร์ดเดินทอดน่องผ่านโดมสูงสลักลายวิจิตรตระการตาภายในลอบบี้ เขาจูงไรเจลขึ้นบันไดไปด้วยอย่างหน้าตาเฉยทั้งๆที่ป้ายด้านข้างเขียนกำกับว่า ‘ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในอาคารเรียน’

     พวกเราเดินผ่านสนามหญ้าฝั่งตะวันตกของโรงเรียน ก่อนจะหยุดลงตรงใจกลางศาลากาซีโบหลังคาสีส้มแดง เจโรมสลับสายตามองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงใช้ขาเตะไปตามพื้น

     “นายกำลังทำอะไร”

     “เปิดประตู”เจโรมกล่าวจบก็ทาบฝ่ามือลงบนพื้น มีเสียงตอบรับอัตโนมัติดังสะท้อนกลับมาให้ชวนสะดุ้ง

     ‘รหัสถูกต้อง’

     ฉ่า

     แสงสีเขียววาบขึ้นมาจากกรอบบนพื้น แมรีบเลื่อนแขนบังความสว่างจ้านั้น อีกวินาทีถัดมาประตูบานสี่เหลี่ยมจัตุรัสก็ค่อยๆเลื่อนออก เผยให้เห็นขั้นบันไดทอดยาวลงไปยังชั้นใต้ดิน “นี่เป็นเส้นทางลับใช่ไหม”

     “ใช่”เขาตอบพลางกวักมือเรียกให้ผมตามลงไป

     “นายเป็นใครกันแน่เจโรม”

     อีกฝ่ายหันกลับมาเหลือบหางตามองผมครั้งหนึ่ง เขายักไหล่ตอบ

     “นายคือแอนดรอยด์จริงเหรอ”

     แทนที่เจโรมจะบอกทันที เขากลับเดินนำผมไปจนถึงห้องกระจกแห่งหนึ่ง เมื่อเปิดสวิตช์ ผมก็เห็นอุปกรณ์ทดลองและเครื่องจักรขนาดใหญ่ด้านในเต็มไปหมด สถานที่แห่งนี้เสมือนหนึ่งห้องทดลองในหนังภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ อีกมุมหนึ่งก็มีกองเศษกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของสมการทางเคมีฟิสิกส์ ถัดออกไปไม่ไกลก็จะเห็นกระดานดำตั้งอยู่ริมห้อง ถ้าหากผมจำสิ่งที่เรียนในคลาสฟิสิกส์ไม่ผิด ผมคิดว่าภาพร่างบนกระดานคือกาลอวกาศ

     ในขณะเดียวกันนั้นเอง หุ่นยนต์ตัวหนึ่งก็เดินตรงมาหา ทำให้ผมต้องหันมองด้วยความสนใจ บนแถบหน้าจอเล็กๆบนส่วนหัวของหุ่นยนต์ปรากฏคำว่า ‘สวัสดี รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก’

     “ว้าว เจ๋งชะมัด”

     เจโรมเดินไปยังห้องทดลองอีกฝั่ง เขาเลื่อนมือเข้าไปข้างในเครื่องแสกน แล้วสิ่งที่ปรากฏบนจอนั้นก็ทำให้ผมตะลึงงัน

     “นายไม่ใช่คน”

     “ฉันบอกนายแล้ว มาร์แชลสร้างฉันขึ้นมา ตอนนี้คงเชื่อสักทีสินะ”

     ผมอ้าปากค้าง มองรอบกายพร้อมอุทานลั่นอย่างประหลาดใจ “นายเป็นแอนดรอยด์จริงๆเหรอเนี่ย”

     “มาร์แชลเป็นคนชุบชีวิตของฉันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฉันต้องขอบคุณเขา” เจโรมบอกพลางปล่อยให้ไรเจลวิ่งข้ามไปยังห้องครัว กลิ่นอาหารลอยฟุ้ง มีเสียงซ่าๆคล้ายเสียงพูดจากวิทยุดังแว่วๆ

     ‘ทำการตรวจสอบสิ่งมีชีวิต ... ปิ๊บๆ ... สุนัขพันธุ์ไซบีเรี่ยนฮัสกี้ ตัวผู้ อายุสองปีสี่เดือน ... กำลังเตรียมอาหาร กำลังเตรียมอาหาร’

     สิ้นเสียงนั้นเครื่องจักรในห้องครัวก็เริ่มทำงาน มีภาพเมนูอาหารหลากหลายประเทศปรากฏอยู่บนกระดาน จังหวะที่ผมหันหลังกลับ แขนเครื่องจักรก็เหวี่ยงผ่านไปยังตู้ใส่ของบนผนังเพื่อหยิบชามออกมา ส่วนไรเจลกระดิกหางรอมื้อเที่ยง ไม่สิ สำหรับมันคงต้องเรียกว่ามื้อบ่ายต่างหาก“มาร์แชลเป็นคนประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้เหรอ”

     “ใช่ ฉันช่วยเขาด้วยบางส่วน”เจโรมบอกพลางเดินไปด้านหลังเคาท์เตอร์ เขาเปิดฝาประตูบนพื้นแล้วจึงไต่ลงไปยังชั้นใต้ดินชั้นที่สอง “ตามฉันมา”

    vvvvv ต่อๆๆๆๆ อิๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่