[ไซไฟ-แฟนตาซี] Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์ EP.3

Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
ผู้แต่ง: Pakkie Davie


คำโปรย:
        ท่ามกลางภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน ไฟสงครามที่กำลังก่อตัว
        องค์กรลึกลับในสหรัฐอเมริกาและพวกไร้ถิ่นเริ่มออกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า

        In-D (อินดี้)
        ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุแผนการทำลายล้างมนุษยชาติเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ

        ในขณะเดียวกัน รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก เด็กหนุ่มผู้ครอบครอง In-D โดยชอบธรรม
        ก็เริ่มตระหนักได้ว่า ภัยร้ายกำลังมาเยือน
        เขาจึงต้องหาทางหยุดยั้งศัตรูจากการคุกคามนั้น

        ติดตามการผจญภัยของรีลอยด์ได้ที่นี่

##################

ลิงค์ตอนก่อน
ตอนที่ 0 - Blue Whale
https://pantip.com/topic/36571053
ตอนที่ 1 - Bully
https://pantip.com/topic/36594368
ตอนที่ 2 - Revenge
https://pantip.com/topic/36634732


##################


     Traces

     

     ผมเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเคยใช้กลวิธีที่เรียกว่า ‘การแถ’ กับใครสักคนที่คุณต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ ผมเองก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ อาจจะใช้ทักษะนั้นบ่อยกว่าสักหน่อย

     “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าหากแกก่อเรื่องอีกครั้ง ฉันจะทำยังไง”

     “ผมไม่ได้ก่อเรื่องนะพ่อ” แถครั้งที่หนึ่ง

     “ฉันรู้ว่าแกไปทำอะไรมา”

     “ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่หยอกล้อกันเล่นๆ” แถครั้งที่สอง

     “แค่หยอกล้อกันเล่นๆน่ะเหรอ... แกทะเลาะกับเด็กโรงเรียนเก่าที่สวนสาธารณะเมื่อวันศุกร์! แกคิดว่าฉันโง่หรือไง!”

     “ไม่ได้ทะเลาะสักหน่อย ผมแค่แกล้งผลักพวกเอบีซีตกน้ำ” แถครั้งที่สาม

     “แกพูดว่าอะไรนะ”

     “เปล่า”ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ การแถคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆหากผมไม่รีบเปลี่ยนประเด็น “คุณคริสเตียนฟ้องพ่อใช่ไหม... เลวชะมัด”

     “ใครจะบอกฉันไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่ฉันจะกลับไปที่ออแลนโด้แล้วก็เตะก้นแกต่อหน้าเด็กทั้งโรงเรียน”

     หึ... เกลียดจริงๆ เกลียดตัวเองที่ต้องกลัวคำขู่ของพ่อ ต่อให้เขาเกษียรก่อนกำหนดจากกองทัพอากาศสหรัฐแล้ว แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงแข็งแรงกำยำมากพอที่จะต่อยผมจนกระเด็นได้ คุณลองนึกถึงนักแสดงที่ชื่อเจสัน โมมัวตอนที่เขาไม่ยิ้มสิ นั่นล่ะพ่อผม

     “ไรเจลเป็นยังไงบ้าง” พ่อถามทันทีที่ได้ยินเสียงหมาเห่า

     “มันสบายดี”

     “อย่าลืมให้อาหารไรเจลด้วยนะ”

     “ให้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังเดินเล่นกับมัน... ไรเจล ทักพ่อหน่อยสิ”

     โฮ่ง

     เจ้าหมาไซบีเรียนฮัสกี้ช่างประจบส่ายหางไปมา เห่าเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือ มันรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร… พ่อส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ทุกทีที่พูดถึงลูกรักขนพองๆแล้วเสียงของพ่อมักจะอ่อนลงเสมอ

     สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าการถูกกระทืบคือการที่พ่อจะพาไรเจลกลับไปที่ แฟล็กเลอร์ บีช... เขารู้ดีว่าผมรักคู่หูสี่ขาตัวนี้มากแค่ไหน และพ่อก็พร้อมจะพรากไรเจลไปจากผมทุกเมื่อ หากผมไม่หยุดสร้างวีรกรรมเลวๆเอาไว้ในออแลนโด้... ขอบอกคุณตรงนี้เลยว่า ผมไม่ยอม!!!

     “ผมจะวางสายล่ะ” รีบตัดสายดีกว่าปล่อยให้พ่ออ้อยอิ่งกับเสียงครางหงิงๆของไรเจล

     “เดี๋ยวก่อน ฉันยังคุยกับแกไม่จบ”

     เฮ้อ...

     “แกไปก่อเรื่องอะไรอีกใช่ไหม สารภาพมาเดี๋ยวนี้”

     “ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”เบื่อชะมัด ครั้งนี้ผมไม่ได้แถนะ... คุณก็รู้ดีว่าผมไม่ทำร้ายใครก่อน

     “เอสเทนโทรมาเมื่อตะกี้นี้”

     “เอสเทน” ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินชื่อนั้น... รีบเลื่อนตัวนั่งข้างถนน


Orlando Property - หมู่บ้านในฟลอริด้าก็ประมาณนี้ล่ะฮะ


     มีใครบ้างจะไม่ตกใจกับชื่อของเอสเทน นิลบาเล็ต รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และที่สำคัญ... เขาคือพี่ชายคนเดียวของแอ็กนิส นิลบาเล็ตด้วย บางทีคนที่แอ็กนิสบอกว่าสนใจในตัวผมอาจจะเป็นพี่ชายของเขาก็ได้

     แต่ว่า... ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นเอสเทน นิลบาเล็ต

     ผมขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปม ไม่มีเหตุผลอะไรในโลกนี้ที่ผู้มีอำนาจอย่างเอสเทน นิลบาเล็ตต้องหันมาสนใจผม เขาไม่ควรรู้จักผมเลยด้วยซ้ำ

     “เอสเทนคุยอะไรกับพ่อ”

     “เขาแค่ถามว่าแกเป็นอย่างไรบ้าง”

     ผมเอียงคอสงสัย... “แล้วพ่อบอกเขาว่ายังไง”

     “บอกเท่าที่ฉันรู้มาจากลูกน้อง”

     คุณคริสเตียนสินะ...

     “เอสเทนวางสายไปตอนที่ฉันบอกว่ามีคนแปลกหน้าในชุดสูทสีดำสามคนวิ่งไล่แกไปตามถนนในออแลนโด้”

     “อ่อ... ”

     “ทำไมเอสเทนถึงต้องติดต่อมาหาฉันด้วยเรื่องนี้”

     “ผมไม่รู้”

     พ่อส่งเสียงข่มขู่ในลำคอ  

     “ผมไม่รู้จริงๆ ผมเจอน้องชายของเขาเมื่อวันก่อน”

     “แกทะเลาะกับแอ็กนิสหรือเปล่า”

     “เปล่า เราเจอกันในโรงอาหาร ทักทายกันตามปกติ” หากบอกพ่อว่าพวกเราพูดถึงเกมปลาวาฬสีน้ำเงิน เขาคงไม่พอใจอีกแน่ๆ

     พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง...

     “ระวังตัวหน่อย พ่อเป็นห่วง อย่าก่อเรื่องให้มากนัก”

     ผมเผยยิ้มบาง ไม่รู้ว่าควรดีใจกับคำพูดนั้นดีหรือไม่ แต่เอาเถอะ... นั่นคือการแสดงความรักที่ชัดเจนที่สุดจากพ่อของผมแล้วล่ะ

     “ผมรู้แล้ว”

     “ดูแลตัวเองดีๆ พ่อจะอาบแดดล่ะ”

     “โอเค ขอให้ตัวสุก”ว่าจบก็วางสาย ผมลุกขึ้น เรียกไรเจลให้เดินตามมา

     วันนี้อากาศดีตั้งแต่เช้าตรู่ ผมจึงพาหมาออกมาเดินออกกำลังกายรอบๆหมู่บ้าน

     หลายปีแล้วที่ผมต้องอาศัยอยู่ในออแลนโด้เพียงลำพัง ส่วนพ่อกับแม่เดินทางไปมาทุกเดือนระหว่างแฟล็กเลอร์ บีชและไมอามี่ เนื่องจากบ้านพักตากอากาศกับธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่นั่น ความเป็นอิสระนี่เองที่ทำให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอจนบางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาที่พ่อต้องโทรมาดุ

     หึ... ก็ทำได้แค่ดุนั่นแหละ

     “ไรเจล”

     โฮ่ง... มันเห่าตอบ

     คราวนี้ผมปล่อยให้มันวิ่งไปบนทางเดินเท้า ไรเจลส่ายจมูกดมฟุดฟิดตามพุ่มไม้ ส่วนผมก็ฝึกปากัวร์ตีลังกาบนผืนหญ้า บ้างก็ม้วนตัวกลางอากาศหลายตลบ บางครั้งก็ไต่ไปตามขอบกำแพง ก่อนหน้านี้ผมเคยกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บริเวณสวนหลังบ้านของครอบครัวไอเก้นเบอรี่เพื่อนำอาหารไปให้ลูกนกโดยที่ไม่มีใครจับได้ นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ห้อยโหนปีนป่ายเดินข้ามลังคาชาวบ้านอย่างสนุกสนาน (ผมคงจะทำแบบนี้ต่อไป ถ้าหากคุณไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อล่ะก็นะ)

     “ไรเจล”

     ทุกครั้งที่ผมออกกำลังกาย ไรเจลมักจะเดินวนอยู่ใกล้ๆ หากแต่รอบนี้มันวิ่งข้ามสนามหญ้าแล้วก็หายไปนานนับนาทีจนผมเริ่มเอะใจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจึงเดินไปหา แล้วก็พบว่าเจ้าไรเจลนั่งกระดิกหาง ปล่อยให้คนที่ไม่น่าจะโผล่มาอยู่แถวนี้ลูบหัวอย่างสบายอกสบายใจ

     “เจโรม เมอเว” ผมพึมพำสงสัย พลางก้มมองเด็กเนิร์ดที่ไม่เคยอยากพูดกับผม

     เจโรมรีบลุกขึ้นยืน เขาขยับขาแว่นหันมาจดจ้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ผิดกับแววตาเคลิบเคลิ้มยามที่เขามองไรเจลเสียจริง“สวัสดี”

     “ไง เจโรม นายอยู่แถวนี้เหรอ”

     “เปล่า”

     “แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”

     “ฉันมาหานาย”

     ผมชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างงุนงง ที่น่าสงสัยกว่าก็คือเขารู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่แถวนี้ ครุ่นคิดแล้วก็ได้แต่มองไปรอบกายอย่างประหลาดใจนัก “อ้อ... เล็กเชอร์ของนายสินะ ฉันยังไม่ลอกเลย”

     เจโรมรีบส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนั้น”

     ผมยิ่งสงสัยเข้าไปอีก

     “ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”เขาพูดพลางย่นคิ้ว หันซ้ายหันขวาราวกับกลัวใครฟังบทสนทนาของพวกเราอย่างนั้นแหละ

     ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบจริงๆเพราะท่าทีของเขาแปลกไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่บ้านของฉันก็ได้ อยู่ไม่ไกล”

     “ไม่!”เจโรมโพล่งด้วยแววตาเบิกกว้าง ทำเอาผมแทบสะดุ้ง เขารีบกระชากแขนไว้ผมจึงสะบัดตอบ “อย่ากลับบ้าน ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”

     “ไป ... อะไรนะ”

     “ไปกับฉันตอนนี้”

     “หืม”

     “เราต้องออกจากที่นี่ก่อน ตอนนี้เลย”เจโรมว่าจบก็ดึงสายจูงไปจากมือของผม แล้วก็ลากไรเจลไปด้วย

     “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากนายไม่บอกว่าเพราะอะไร”คราวนี้ผมขู่บ้าง อีกฝ่ายซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนจึงสูดหายใจลึกๆ เด็กเนิร์ดหันมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน

     “พวกเขากำลังเดินทางมาหานายที่นี่”

     “ใคร”

     “คนที่นายเจอเมื่อวันศุกร์”

     ผมเงียบไปครู่หนึ่งเริ่มครุ่นคิด ระหว่างนั้นเองเจโรมก็กระชากแขนผมสุดแรงสั่งให้ผมเดิน “นายเป็นบ้าอะไร เจโรม ปล่อย!”

     เจโรมล้มลงบนพื้นทันทีที่ผมผลักเขาออกห่าง ในตอนนั้นเขาก็หันไปมองสนามหญ้า สังเกตรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้าน

     “ไม่ได้การล่ะ พวกเขาจะมาเอาตัวนายไป”

     “พวกไหน” ผมหันไปมองรถยนต์คันนั้น ทันทีที่สายตาเพ่งมองผ่านกระจกก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทผมตั้งสีดำ แล้วหน้าก็ซีดเผือด “เวรแล้วไง”... นั่นต้องเป็นพาร์คเกอร์แน่ๆ!

     “ตามฉันมารีลอยด์ เราต้องออกจากที่นี่”

     ไม่ต้องรอให้เจโรมเรียกครั้งที่สอง ผมก็วิ่งนำเขาไปจนถึงรถปิ๊กอัพ ไรเจลรีบกระโดดเข้าไปนั่งด้านหลังส่วนผมนั่นด้านหน้า รอให้เจโรมขับรถยนต์หนีออกไปจากหมู่บ้านทันที

     “ขับไปทางนั้น”

     “ไม่ได้”เจโรมพูดโพล่ง เลี้ยวพวงมาลัยไปอีกฟาก “มีรถยนต์อีกคันดักรอนายอยู่”

     ผมไม่เห็นรถยนต์สักคัน

     “มีร่องรอยของยางรถยนต์ยี่ห้อ Nexen Aria AH7 เมื่อสิบห้าวินาทีก่อน”

     “หืม”

     “น่าจะเป็นรถยนต์อีกคันที่ตามมาประกบนาย”

     “เดี๋ยวก่อนนะ... นายเอาอะไรมาพูด”

     เด็กเนิร์ดชะโงกหน้ามองผ่านกระจกชี้นิ้วไปบนพื้นถนน เขาขยับขาแว่นสังเกตบางสิ่ง “ตรงนั้นคือร่องรอยที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นรถยนต์ยี่ห้อ Honda CR-V คันเดียวกับที่ฉันเคยเห็นเมื่อสามวันก่อน”

     ไม่เห็นมีอะไรนอกจากพื้นถนน!! “นายรู้ได้ยังไง”

     เจโรมหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะเชื่อไหมถ้าหากฉันบอกว่า ฉันไม่ใช่คน”

     “...” เราสองคนกระพริบตาปริบๆ ผมต้องประมวลผลคำพูดของเขาครู่หนึ่ง

     “ระบบ AR (Augmented Reality) ฝังอยู่ในสมองของฉัน ฉันมองเห็นในสิ่งคนทั่วไปมองไม่เห็น ฉันเห็นรายละเอียดของวัสดุและสิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งข้อมูลทางการแพทย์ของนายตอนนี้”

     “หา...”

     “ฉันเป็นแอนดรอยด์”

     “...”คุณคิดว่าผมควรจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดไหม

     บรืน

     บทสนทนาหยุดลงเมื่อ รถ Honda CR-V คันดังกล่าวจู่ๆก็พุ่งมาจากด้านหลัง เจโรมสะดุ้งเหยียบคันเร่งอย่างร้อนรน ทำเอาผมแทบจะพุ่งออกจากกระจกหน้ารถ

     “ฟัค!!!!!”ตะโกนลั่นสุดเสียง ผมรีบคาดเข็ดขัดสะบัดหน้ามองรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงวกวนผ่านเส้นทางเล็กๆในหมู่บ้าน รถยนต์อีกคันตามมาไม่ห่าง เสียงล้อหมุนดังสนั่นน่ากลัวพอๆกับแรงเหวี่ยงเมื่อเจโรมหักพวงมาลัย

     “นายจะทำอะไร เจโรม!!!!”

     ไม่ทันที่ผมจะมีโอกาสหันมองด้านหลัง สายตาพลันสังเกตเห็นรถยนต์คันสีดำพุ่งมาทางด้านข้าง เจโรมเบิกตาตื่นตระหนกรีบเหยียบเบรก จนรถยนต์แทบจะเสียหลักพลิก เสียงล้อครูดไปตามพื้นดัง

     เอี๊ยดดดดดดดดดดดด

     รถยนต์คันสีดำจึงหลบขึ้นไปบนทางเท้า พริบตาเดียวกันผมเห็นพาร์คเกอร์นั่งมุ่ยหน้าอยู่ในนั้น อึดใจต่อมารถยนต์  Honda CR-V ก็พุ่งมาด้านหน้า เจโรมต้องขับรถถอยหลังหลีกหนีการตามล่า เราสองคนส่งเสียงร้องตกอกตกใจ ไรเจลเดินวนไปวนมาบนเบาะหลังด้วยความตื่นเต้น

     ผมแหกปากลั่น เลื่อนมือเกาะเพดานรถ

     เจโรมหมุนพวงมาลัยฉวัดเฉวียนหลบหลีกทรอกแซกผ่านซอยเล็กๆหนีการตามล่าออกมาจากหมู่บ้านได้ในที่สึด ในตอนนั้นเองเขาก็รีบเหยียบคันเร่งพุ่งออกไปบนถนนใหญ่ พาร์คเกอร์จึงรีบเข้ามาประกบทางด้านข้างโดยไว ส่วน CR-V ของโจนส์และลิวอิสตามมาด้านหลัง

     “เจโรม เราตายแน่!!!”

     เสียงรถยนต์คำรามลั่น

     “เราตายแน่! เราตายแน่ๆ!!”

     เจโรมไม่สนใจเสียงร้อง หนุ่มแว่นจดจ้องมองถนนเบื้องหน้า เขาเหยียบคันเร่งเต็มกำลัง ความเร็วนั้นแทบจะตรึงร่างผมติดกับเบาะ

     “เจโรม!!!”ผมตะโกนลั่นมองรถยนต์สองสามคันบริเวณสี่แยก “ไฟแดง!!!!”

     เสียงเตือนไม่ได้ช่วยให้เด็กเนิร์ดชะลอความเร็ว เขารีบเปลี่ยนเกียร์ รถยนต์พุ่งทะยานจนแทบจะลอยออกจากพื้นถนน

     ณ วินาทีนั้น สมองของผมโล่งมาก ผมยังไม่อยากตาย!!!!!!

vvv
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่