Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
ผู้แต่ง: Pakkie Davie

คำโปรย:
ท่ามกลางภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน ไฟสงครามที่กำลังก่อตัว
องค์กรลึกลับในสหรัฐอเมริกาและพวกไร้ถิ่นเริ่มออกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า
In-D (อินดี้)
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุแผนการทำลายล้างมนุษยชาติเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ
ในขณะเดียวกัน รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก เด็กหนุ่มผู้ครอบครอง In-D โดยชอบธรรม
ก็เริ่มตระหนักได้ว่า ภัยร้ายกำลังมาเยือน
เขาจึงต้องหาทางหยุดยั้งศัตรูจากการคุกคามนั้น
แล้วเขาจะต้องทำเช่นไร?
การต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกับองค์กรลี้ลับจะจบลงอย่างไร?
In-D จะถูกแย่งชิงไปหรือไม่?
ติดตามการผจญภัยของรีลอยด์ได้ที่นี่
##################
ลิงค์ตอนก่อน
ตอนที่ 0 - Blue Whale
https://pantip.com/topic/36571053
ตอนที่ 1 - Bully
https://pantip.com/topic/36594368
##################
ตอนที่ 2
Revenge
ไม่มีใครเกิดมาเป็นคนนิสัยห่ามๆหรือกล้าบ้าบิ่นมุทะลุตั้งแต่เกิดหรอก สิ่งแวดล้อมต่างหากทำให้คนเราเปลี่ยนไป จากดีเป็นเลว และจากที่เคยเลวก็ดีได้
ในอดีตผมเคยเป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบการใช้ชีวิตสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ผมเคยเป็นนักกีฬาเยาวชนที่มีชื่อเสียงในฟลอริด้า... แต่แล้วทุกอย่างก็พังย่อยยับเพียงเพราะความอิจฉาของคนใกล้ตัวคอยกีดกันทำลายชีวิตซึ่งกำลังก้าวหน้า
ผมถูกหักหลัง ถูกซ้อม ถูกรังแก ถูกเพื่อนทั้งห้องกลั่นแกล้ง นับเป็นความเจ็บปวดที่ไม่เคยลืมเลือน
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาผมกลายเป็นคนที่หวาดระแวงต่อการเข้าสังคม และเกลียดชังพวกตีสองหน้า ผมเริ่มใช้กำลังในการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของพวกอันธพาลในโรงเรียน ยิ่งผมมีทักษะศิลปะการต่อสู้ดีอยู่แล้ว ผมจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางถูกใครทำร้ายได้อีก... แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เด็กบางคนมองว่าการทะเลาะกับผมเป็นเรื่องท้าทาย และบางคนก็วางพนันเพื่อให้ได้ต่อยผมสักหมัด นั่นคือสาเหตุที่ผมยังคงถูกกลั่นแกล้งทุกวี่วัน
ปึง
“หยุด”
ปึง
“ขอร้อง รีลอยด์”
เสียงร่ำไห้คร่ำครวญนั้นทำให้ผมยั้งหมัดไว้ ก่อนจะถอยเท้าออกมา ส่วนแซ็คยังคงยืนพิงกำแพงตัวสั่นอยู่ที่เดิม
ดูมันสิ... เพียงแค่ผมต่อยกำแพงจนเป็นรอยร้าว มันก็กลัวจนแทบจะฉี่รดกางเกงแล้ว เฮ้อ... พวกเก่งแต่ปาก
“ฉันจะไม่แกล้งนายอีกแล้ว ฉันสัญญา”
ผมหรี่ตาข่มขู่จับจ้องมองมันด้วยความขุ่นเคือง มือหนึ่งก็กระชากคอเสื้อเข้าใกล้ “นายสัญญาแล้วนะ”
“ครับ สัญญาครับ ปล่อยฉันเถอะ”
“ดี” ผมสะบัดมือออก ทันทีที่หันหลังให้เท่านั้น เวรแซ็คก็หยิบหินปาใส่แล้วก็วิ่งหายไปเสียอย่างนั้น ถ้าหากอาจารย์ไม่เดินผ่านมาล่ะก็ ผมคงตามไปกระทืบมันจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว เด็กๆทยอยกันกลับบ้าน ส่วนผมก็เดินเตร่ไปตามถนนอีสต์ เคลีย์เพื่อรอรถเมล์ เป็นจังหวะเดียวกันเมื่อรถลีมูซีนคันสีดำวิ่งผ่านไปยังประตูโรงเรียน ทุกคนหันมองเป็นสายตาเดียว... คุณคงเดาได้ไม่ยากว่าพ่อบ้านกับรถลีมูซีนคันนั้นมารับใคร เพราะมีเพียงคนเดียวในโรงเรียนที่จะทำอะไรได้เวอร์วังอลังการแม้กระทั่งนั่งรถกลับบ้าน... แต่ช่างมันเถอะ รถเมล์เข้ามาจอดเทียบป้ายพอดี ผมจึงรีบขึ้นไปนั่งด้านหลังสุด จากนั้นแล้วก็หยิบหูฟัง เปิดเพลงเบาๆ เคล้าบรรยากาศเย็นๆ หลุดเข้าสู่ภวังค์ เลิกสนใจมนุษย์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาสองสามปี ไม่รู้ว่าผมใช้เวลากับตัวเองมากสักแค่ไหน รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่มีเพื่อนในชีวิตสักคน... ผมลาออกจากทีมฟุตบอล ลาออกจากการมีตัวตนในห้องเรียน ลาออกจากสังคม ลาออกจากทุกสิ่งที่ผมเคยสนุกกับมัน
ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ...
ระหว่างที่ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดอันแสนน่าเบื่อหน่ายกับเพลงซึ่งวนซ้ำเป็นรอบที่สอง รถเมล์ก็จอดตรงป้ายใกล้ๆสำนักงานรัฐบาลท้องถิ่นพอดี ในตอนนั้นเองสายตาก็หันไปเห็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเก่ากลุ่มหนึ่งทยอยเดินเข้ามาในรถ ผมจดจ้องเด็กหนุ่มหัวขิง ผมแสกกลางคนนั้นนานนับนาที... เขาคือวินด์ มิชคิน อดีตเพื่อนรักเพียงคนเดียวผู้ที่หักหลังอีกทั้งลากผมไปซ้อมด้านหลังโรงเรียนในช่วงซัมเมอร์สมัยเกรดแปด เขาคือคนที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป และพรรคพวกของเขาอีกสามคนก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องย้ายโรงเรียนด้วยเช่นกัน
จู่ๆก็รู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดเดิน นัยน์ตาสีเทาของผมประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเทาของอีกฝ่าย เกิดความกดดันในบรรยากาศชนิดที่ว่าหากผมทนนั่งมองหมอนั่นต่อไปอีกสักนาที รถเมล์คันนี้คงกลายเป็นลานสงคราม
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบจ้ำอ้าวออกจากรถก่อนที่ประตูจะปิดลง
“รีลอยด์!” เสียงตะโกนอันเคยคุ้นที่ไม่อยากได้ยินนัก
“ตามมันไป”
“จับมัน!”
“เร็วเข้า”
เด็กนักเรียนจากโรงเรียนเก่าทั้งสี่คนไล่กวดผมบนทางเท้า ถ้าหากว่าบริเวณนี้ไม่มีเหล่าเจ้าหน้าที่สัญจรไปมา ผมบอกคุณได้เลยว่า คืนนี้พวกเราคงต่อยตีกันจนเลือดตกยางออก... แต่ในเมื่อสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้สู้กันนัก ผมก็แค่วิ่งหาตำแหน่งเหมาะๆห่างไกลจากสายตาของตำรวจเท่านั้นเอง
“หยุดนะรีลอยด์ ถ้ายังไม่อยากตาย!”
ผมไม่ฟังเสียงของหมาจิ้งจอกหรอก พวกมันเจ้าเล่ห์นัก... ระหว่างที่เด็กเวรทั้งสี่ยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ ผมก็กระโดดข้ามถนนหนีไปโดยไม่สนใจเสียงแตรเช่นกัน
ปี๊น
คุณไม่ต้องห่วง สกิลการเอาตัวรอดของผมสูงมากหากเทียบกับสมัยเกรดแปด ผมปีนป่ายอาคารหรือกระโดดหมุนตัวไปตามสิ่งกีดขวางได้อย่างไม่ยากเย็น แทบจะพูดได้ว่าปากัวร์เป็นทักษะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการทะเลาะวิวาทล้วนๆ
“กลับมานี่นะ!”
ผมสับเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เลี้ยวตรงมุมถนน กระโดดข้ามรถยนต์ตัดสู่สนามหญ้าในสวนสาธารณะเลค อีโอล่า บริเวณนี้มีผู้คนมากมายเดินเล่นในช่วงเย็น บางกลุ่มก็นั่งปิกนิกใต้ต้นไม้ บางกลุ่มก็ออกกำลังกายบนทางเดินในสวน ส่วนผมก็กระโดดเข้าไปกลางสนามเด็กเล่น วิ่งซอกแซกผ่านผืนทรายเพื่อหาเส้นทางหลบหนี ทว่าเหล่าอันธพาลก็ไม่ยอมเลิกรา พวกมันติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
“จะหนีไปไหน รีลอยด์!”นั่นเป็นเสียงของบี(B - Bitch) ไม่สิ... ดอนน่าต่างหาก ผมไม่เคยเรียกชื่อจริงของเธออีกเลยหลังจากผมโดนกระทืบเมื่อสามปีก่อน
“ออกไป!” บีผลักเด็กผู้หญิงคนหนึ่งล้มลง ในเวลาเดียวกันเอ(A - Ass) หรือวิลเลี่ยมก็สะดุดหน้าคะมำบนผืนทรายในจังหวะที่เหล่าเด็กๆวิ่งเข้าไปชน ทำเอาผมขำพรืด
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!!”ซี(C - Cock)ชี้นิ้วอวบอูมใส่ผม ชื่อจริงๆของเขาคือฟรานซิส
ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว จู่ๆวินด์ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเหวี่ยงหมัดใส่ แต่วืดไป “ว่าไงไอ้เวร”
“ไงวินด์ คิดถึงฉันบ้างไหม”
วินด์ขมวดคิ้ว กัดฟันกรอด จดจ้องผมด้วยสีหน้าขึ้นโกรธ รีบยืนทรงตัวทำท่าจะต่อยผมอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมจับหมัดเขาไว้แน่นแล้วเหวี่ยงตัวคู่ต่อสู้ทุ่มลงพื้นดังตึง ทำเอาวินด์จุกเจ็บจนร้องไม่ออก สะใจดีชะมัด
ขณะที่ผมกำลังรอให้วินด์ลุกขึ้น ซีก็รีบเข้ามาเสริมเสียก่อน ผมจึงต้องถอยห่างเป็นฝ่ายตั้งรับ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังวิ่งไปตามทางเดินในสวน
“อย่าหนีนะ!”
พวกมันคิดว่าผมหนีน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ... ผมกระหยิ่มยิ้ม ก่อนจะค่อยๆชะลอฝีเท้าริมทะเลสาบบริเวณท่าเทียบเรือหงส์ มีครอบครัวสองสามกลุ่มกำลังทยอยขึ้นไปนั่งบนเรือ ผมตัดสินใจถลาตัวแย่งเรืออย่างว่องไวในจังหวะที่พวกเขากำลังจะนำเรือออกจากท่า ขอโทษทีนะ... ผมต้องทำตามแผนน่ะ
Lake Eola - Orlando, USA *ไปเดินเล่นเมื่อเดือนที่แล้ว ร้อนฉิบ*
ในตอนนั้น เมื่อพวกอันธพาลวิ่งมาถึงท่าเรือ ผมก็อยู่ไกลเกินกว่าระยะที่พวกมันจะเอื้อมแล้ว
แต่...
คุณคิดว่ามันจะจบแค่นั้นเหรอ... คุณคิดว่าพวกมันจะรออยู่บริเวณริมน้ำ จนกว่าเจ้าหน้าที่เรียกให้ผมเข้าฝั่ง แล้วพวกมันก็หาทางรุมสกรัมตรงริมตลิ่งน่ะเหรอ
ไม่มีทาง ผมรู้จักนิสัยพวกอันธพาลกลุ่มนี้ดี พวกมันคงไม่ใช้สมองขนาดเท่ามดวางแผนอะไรแบบนั้น สิ่งที่พวกมันทำก็คือรีบขึ้นเรือหงส์อีกคันตามผมมายังไงล่ะ พวกงี่เง่าเอ๊ย... อยากหัวเราะแบบปีศาจร้ายใส่หน้าพวกมันจริงๆ
ขณะเผลอยิ้ม สายตาก็ยังคงจดจ้องหนุ่มสาวสามคนกระโดดลงไปบนหงส์เรือ ส่วนวินด์ผู้เป็นหัวโจกยังคงยืนอยู่ที่ชายฝั่งมองดูอยู่ห่างๆ
เอาล่ะ ถึงเวลาคิดบัญชีสักที... ผมยืนขึ้นทรงตัวบนเรือ มือหนึ่งจับหัวหงส์ไว้ รอให้คู่อริเข้ามาใกล้
“จับมัน!!”
“แกตายแน่ รีลอยด์!!”
ดูสีหน้าเหมือนยักษ์เขียวของพวกมันสิ น่าขำดีชะมัด
เมื่อเรือทั้งสองใกล้จะชนกัน ผมก็กระโดดขึ้นไปยืนบนเรือของพวกมัน
“เฮ้ย!”
“ว้าย!”
ในจังหวะที่เรือโคลงเคลงและทุกคนเสียหลัก ผมก็พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อซีคนแรก ตัวมันใหญ่และหนักชะมัด แต่เอาเหอะ...
ผัวะ
ผมปล่อยหมัดใส่เต็มแก้มอ้วนจนใบหน้าอีกฝ่ายสะบัด จากนั้นก็รีบผลักมันกระเด็นหล่นน้ำไปคนแรก
ตูม
ง่ายๆ... ไม่ต้องออกแรงเยอะ
“จัดการมัน ดอนน่า!”เอร้องบอกขณะพยายามยืนขึ้น
บีได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดทำท่าจะคว้าตัวผมไว้ ผมจึงกระทืบให้เรือโคลง จนเธอเป็นฝ่ายเสียการทรงตัว ผมผลักเธอนิดหน่อย หญิงสาวตัวเล็กๆก็หล่นลงไปในน้ำเสียงดังตูม
“ไอ้เวรรีลอยด์”เอตะโกนลั่นเหวี่ยงแขนหมายจะชก ผมเบี่ยงตัวหลบซ้ายทีขวาที มองดูการโจมตีเงอะๆงะๆนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา ยิ่งทำให้เอโกรธจนต้องพุ่งตัวจับผมกระแทกกับหัวหงส์
ตึง
“อัดมันให้เละ วิลเลี่ยม!”
“จัดการมันเลย!”
ทั้งบีและซีที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนเรือต่างตะโกนเชียร์เพื่อน
ผัวะ
แรงชกทำให้ผมรู้สึกถึงเบลอไปชั่วครู่
“ฉันไม่ปล่อยแกแน่ รีลอยด์!”
วืด
แต่คราวนี้การโจมตีอีกครั้งไม่ได้แอ้มผมหรอก เอโจมตีพลาด หมัดกระแทกกับหัวหงส์ เขาร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด จังหวะนี้เองผมจึงต่อยเขากลับด้วยแรงอันหนักหน่วงพอๆกันแล้วจึงจับเสื้อเหวี่ยงตัวเขาหล่นลงไปในน้ำทับซีเต็มๆ
ตูม
เฮ้อ... ผมขยับสายตามองเหล่าอันธพาลด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะ
“กลับไปดูดนมแม่ซะ”ว่าจบก็รีบปั่นเรือออกจากตรงนั้นโดยไว ปล่อยให้พวกมันหาทางเข้าฝั่งกันเอง
รู้สึกดีสุดๆ... แกล้งมาก็แกล้งกับ ยุติธรรมดี... นี่แหละ วิถีชีวิตของนักเลง #บางทีมันก็จะเหนื่อยๆหน่อย
การแก้แค้นยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะหัวโจกอย่างวินด์ มิชคินยังคงเดินวนอยู่ตรงท่าเรือ
หึ... เข้ามาสิ ผมจะซ้อมเขาจนปางตาย เหมือนที่เขาปล่อยให้ผมถูกกระทืบอยู่ในตรอกจนเกือบไม่รอดเมื่อสามปีก่อน
เมื่อวินด์เห็นผมเอาชนะพรรคพวกของเขาได้ หนุ่มหัวขิงก็ยิ่งโมโห ผมสีส้มของเขาแทบจะลุกเป็นเปลวไฟหากมันเปลี่ยนสีได้ เขาเริ่มขยับเท้าเข้ามาใกล้
ผมกระโดดขึ้นไปเหยียบท่าเรือ แววตาเต็มไปด้วยความแค้น จังหวะที่เราสองคนปรี่เข้าใส่กันและกันนั้นเอง...
ปึก!!!
ชายหนุ่มปริศนาสองนายก็เดินตัดมาขวางทางวินด์เอาไว้ ส่วนผมก็ชนเข้ากับแขนของชายอีกคนเต็มเปา ทำเอาแทบสะดุด
“สวัสดี คุณไอเลนเบิร์ก”
อารมณ์กรุ่นๆในอกวูบดับไปเสียอย่างนั้น ผมหันมาสนใจคู่สนทนาเบื้องหน้า สบมองชายฉกรรจ์ร่างสูงผมสีน้ำตาลเข้มในชุดสูทสีดำ สวมแว่นฉาบปรอท มีรอยสักเป็นรูปโลโก้ตัววี (V) ข้างลำคอ
“ขอโทษที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ พวกเรามีเวลาไม่มากนัก”
เดี๋ยวก่อนนะ... ผมคิดว่าผมเคยเห็นพวกเขาทั้งสามคน แต่ที่ไหนกัน... ที่ไหนกันนะ
“ผมขอคุยหน่อยได้ไหม คุณไอเลนเบิร์ก”
“คุยอะไร”
“เรื่องส่วนตัว”อีกฝ่ายหยิบยื่นยิ้มไมตรี
วินาทีถัดมา ผมก็เบิกตาอุทาน
นึกออกแล้ว... ผมเคยเจอพวกเขาในวันที่ผมกระโดดน้ำฆ่าตัวตายยังไงล่ะ!
vvvvv ยังไม่จบงับ
[ไซไฟ-แฟนตาซี] Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์ EP.2
ผู้แต่ง: Pakkie Davie
คำโปรย:
ท่ามกลางภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน ไฟสงครามที่กำลังก่อตัว
องค์กรลึกลับในสหรัฐอเมริกาและพวกไร้ถิ่นเริ่มออกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า
In-D (อินดี้)
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุแผนการทำลายล้างมนุษยชาติเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ
ในขณะเดียวกัน รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก เด็กหนุ่มผู้ครอบครอง In-D โดยชอบธรรม
ก็เริ่มตระหนักได้ว่า ภัยร้ายกำลังมาเยือน
เขาจึงต้องหาทางหยุดยั้งศัตรูจากการคุกคามนั้น
แล้วเขาจะต้องทำเช่นไร?
การต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกับองค์กรลี้ลับจะจบลงอย่างไร?
In-D จะถูกแย่งชิงไปหรือไม่?
ติดตามการผจญภัยของรีลอยด์ได้ที่นี่
##################
ลิงค์ตอนก่อน
ตอนที่ 0 - Blue Whale
https://pantip.com/topic/36571053
ตอนที่ 1 - Bully
https://pantip.com/topic/36594368
##################
ตอนที่ 2
Revenge
ไม่มีใครเกิดมาเป็นคนนิสัยห่ามๆหรือกล้าบ้าบิ่นมุทะลุตั้งแต่เกิดหรอก สิ่งแวดล้อมต่างหากทำให้คนเราเปลี่ยนไป จากดีเป็นเลว และจากที่เคยเลวก็ดีได้
ในอดีตผมเคยเป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบการใช้ชีวิตสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ผมเคยเป็นนักกีฬาเยาวชนที่มีชื่อเสียงในฟลอริด้า... แต่แล้วทุกอย่างก็พังย่อยยับเพียงเพราะความอิจฉาของคนใกล้ตัวคอยกีดกันทำลายชีวิตซึ่งกำลังก้าวหน้า
ผมถูกหักหลัง ถูกซ้อม ถูกรังแก ถูกเพื่อนทั้งห้องกลั่นแกล้ง นับเป็นความเจ็บปวดที่ไม่เคยลืมเลือน
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาผมกลายเป็นคนที่หวาดระแวงต่อการเข้าสังคม และเกลียดชังพวกตีสองหน้า ผมเริ่มใช้กำลังในการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของพวกอันธพาลในโรงเรียน ยิ่งผมมีทักษะศิลปะการต่อสู้ดีอยู่แล้ว ผมจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางถูกใครทำร้ายได้อีก... แต่ก็อย่างที่คุณเห็น มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เด็กบางคนมองว่าการทะเลาะกับผมเป็นเรื่องท้าทาย และบางคนก็วางพนันเพื่อให้ได้ต่อยผมสักหมัด นั่นคือสาเหตุที่ผมยังคงถูกกลั่นแกล้งทุกวี่วัน
ปึง
“หยุด”
ปึง
“ขอร้อง รีลอยด์”
เสียงร่ำไห้คร่ำครวญนั้นทำให้ผมยั้งหมัดไว้ ก่อนจะถอยเท้าออกมา ส่วนแซ็คยังคงยืนพิงกำแพงตัวสั่นอยู่ที่เดิม
ดูมันสิ... เพียงแค่ผมต่อยกำแพงจนเป็นรอยร้าว มันก็กลัวจนแทบจะฉี่รดกางเกงแล้ว เฮ้อ... พวกเก่งแต่ปาก
“ฉันจะไม่แกล้งนายอีกแล้ว ฉันสัญญา”
ผมหรี่ตาข่มขู่จับจ้องมองมันด้วยความขุ่นเคือง มือหนึ่งก็กระชากคอเสื้อเข้าใกล้ “นายสัญญาแล้วนะ”
“ครับ สัญญาครับ ปล่อยฉันเถอะ”
“ดี” ผมสะบัดมือออก ทันทีที่หันหลังให้เท่านั้น เวรแซ็คก็หยิบหินปาใส่แล้วก็วิ่งหายไปเสียอย่างนั้น ถ้าหากอาจารย์ไม่เดินผ่านมาล่ะก็ ผมคงตามไปกระทืบมันจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว เด็กๆทยอยกันกลับบ้าน ส่วนผมก็เดินเตร่ไปตามถนนอีสต์ เคลีย์เพื่อรอรถเมล์ เป็นจังหวะเดียวกันเมื่อรถลีมูซีนคันสีดำวิ่งผ่านไปยังประตูโรงเรียน ทุกคนหันมองเป็นสายตาเดียว... คุณคงเดาได้ไม่ยากว่าพ่อบ้านกับรถลีมูซีนคันนั้นมารับใคร เพราะมีเพียงคนเดียวในโรงเรียนที่จะทำอะไรได้เวอร์วังอลังการแม้กระทั่งนั่งรถกลับบ้าน... แต่ช่างมันเถอะ รถเมล์เข้ามาจอดเทียบป้ายพอดี ผมจึงรีบขึ้นไปนั่งด้านหลังสุด จากนั้นแล้วก็หยิบหูฟัง เปิดเพลงเบาๆ เคล้าบรรยากาศเย็นๆ หลุดเข้าสู่ภวังค์ เลิกสนใจมนุษย์ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาสองสามปี ไม่รู้ว่าผมใช้เวลากับตัวเองมากสักแค่ไหน รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่มีเพื่อนในชีวิตสักคน... ผมลาออกจากทีมฟุตบอล ลาออกจากการมีตัวตนในห้องเรียน ลาออกจากสังคม ลาออกจากทุกสิ่งที่ผมเคยสนุกกับมัน
ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ...
ระหว่างที่ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิดอันแสนน่าเบื่อหน่ายกับเพลงซึ่งวนซ้ำเป็นรอบที่สอง รถเมล์ก็จอดตรงป้ายใกล้ๆสำนักงานรัฐบาลท้องถิ่นพอดี ในตอนนั้นเองสายตาก็หันไปเห็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเก่ากลุ่มหนึ่งทยอยเดินเข้ามาในรถ ผมจดจ้องเด็กหนุ่มหัวขิง ผมแสกกลางคนนั้นนานนับนาที... เขาคือวินด์ มิชคิน อดีตเพื่อนรักเพียงคนเดียวผู้ที่หักหลังอีกทั้งลากผมไปซ้อมด้านหลังโรงเรียนในช่วงซัมเมอร์สมัยเกรดแปด เขาคือคนที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป และพรรคพวกของเขาอีกสามคนก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องย้ายโรงเรียนด้วยเช่นกัน
จู่ๆก็รู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดเดิน นัยน์ตาสีเทาของผมประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเทาของอีกฝ่าย เกิดความกดดันในบรรยากาศชนิดที่ว่าหากผมทนนั่งมองหมอนั่นต่อไปอีกสักนาที รถเมล์คันนี้คงกลายเป็นลานสงคราม
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบจ้ำอ้าวออกจากรถก่อนที่ประตูจะปิดลง
“รีลอยด์!” เสียงตะโกนอันเคยคุ้นที่ไม่อยากได้ยินนัก
“ตามมันไป”
“จับมัน!”
“เร็วเข้า”
เด็กนักเรียนจากโรงเรียนเก่าทั้งสี่คนไล่กวดผมบนทางเท้า ถ้าหากว่าบริเวณนี้ไม่มีเหล่าเจ้าหน้าที่สัญจรไปมา ผมบอกคุณได้เลยว่า คืนนี้พวกเราคงต่อยตีกันจนเลือดตกยางออก... แต่ในเมื่อสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้สู้กันนัก ผมก็แค่วิ่งหาตำแหน่งเหมาะๆห่างไกลจากสายตาของตำรวจเท่านั้นเอง
“หยุดนะรีลอยด์ ถ้ายังไม่อยากตาย!”
ผมไม่ฟังเสียงของหมาจิ้งจอกหรอก พวกมันเจ้าเล่ห์นัก... ระหว่างที่เด็กเวรทั้งสี่ยังคงไล่ตามอย่างไม่ลดละ ผมก็กระโดดข้ามถนนหนีไปโดยไม่สนใจเสียงแตรเช่นกัน
ปี๊น
คุณไม่ต้องห่วง สกิลการเอาตัวรอดของผมสูงมากหากเทียบกับสมัยเกรดแปด ผมปีนป่ายอาคารหรือกระโดดหมุนตัวไปตามสิ่งกีดขวางได้อย่างไม่ยากเย็น แทบจะพูดได้ว่าปากัวร์เป็นทักษะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการทะเลาะวิวาทล้วนๆ
“กลับมานี่นะ!”
ผมสับเท้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เลี้ยวตรงมุมถนน กระโดดข้ามรถยนต์ตัดสู่สนามหญ้าในสวนสาธารณะเลค อีโอล่า บริเวณนี้มีผู้คนมากมายเดินเล่นในช่วงเย็น บางกลุ่มก็นั่งปิกนิกใต้ต้นไม้ บางกลุ่มก็ออกกำลังกายบนทางเดินในสวน ส่วนผมก็กระโดดเข้าไปกลางสนามเด็กเล่น วิ่งซอกแซกผ่านผืนทรายเพื่อหาเส้นทางหลบหนี ทว่าเหล่าอันธพาลก็ไม่ยอมเลิกรา พวกมันติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
“จะหนีไปไหน รีลอยด์!”นั่นเป็นเสียงของบี(B - Bitch) ไม่สิ... ดอนน่าต่างหาก ผมไม่เคยเรียกชื่อจริงของเธออีกเลยหลังจากผมโดนกระทืบเมื่อสามปีก่อน
“ออกไป!” บีผลักเด็กผู้หญิงคนหนึ่งล้มลง ในเวลาเดียวกันเอ(A - Ass) หรือวิลเลี่ยมก็สะดุดหน้าคะมำบนผืนทรายในจังหวะที่เหล่าเด็กๆวิ่งเข้าไปชน ทำเอาผมขำพรืด
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!!”ซี(C - Cock)ชี้นิ้วอวบอูมใส่ผม ชื่อจริงๆของเขาคือฟรานซิส
ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว จู่ๆวินด์ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเหวี่ยงหมัดใส่ แต่วืดไป “ว่าไงไอ้เวร”
“ไงวินด์ คิดถึงฉันบ้างไหม”
วินด์ขมวดคิ้ว กัดฟันกรอด จดจ้องผมด้วยสีหน้าขึ้นโกรธ รีบยืนทรงตัวทำท่าจะต่อยผมอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมจับหมัดเขาไว้แน่นแล้วเหวี่ยงตัวคู่ต่อสู้ทุ่มลงพื้นดังตึง ทำเอาวินด์จุกเจ็บจนร้องไม่ออก สะใจดีชะมัด
ขณะที่ผมกำลังรอให้วินด์ลุกขึ้น ซีก็รีบเข้ามาเสริมเสียก่อน ผมจึงต้องถอยห่างเป็นฝ่ายตั้งรับ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังวิ่งไปตามทางเดินในสวน
“อย่าหนีนะ!”
พวกมันคิดว่าผมหนีน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ... ผมกระหยิ่มยิ้ม ก่อนจะค่อยๆชะลอฝีเท้าริมทะเลสาบบริเวณท่าเทียบเรือหงส์ มีครอบครัวสองสามกลุ่มกำลังทยอยขึ้นไปนั่งบนเรือ ผมตัดสินใจถลาตัวแย่งเรืออย่างว่องไวในจังหวะที่พวกเขากำลังจะนำเรือออกจากท่า ขอโทษทีนะ... ผมต้องทำตามแผนน่ะ
ในตอนนั้น เมื่อพวกอันธพาลวิ่งมาถึงท่าเรือ ผมก็อยู่ไกลเกินกว่าระยะที่พวกมันจะเอื้อมแล้ว
แต่...
คุณคิดว่ามันจะจบแค่นั้นเหรอ... คุณคิดว่าพวกมันจะรออยู่บริเวณริมน้ำ จนกว่าเจ้าหน้าที่เรียกให้ผมเข้าฝั่ง แล้วพวกมันก็หาทางรุมสกรัมตรงริมตลิ่งน่ะเหรอ
ไม่มีทาง ผมรู้จักนิสัยพวกอันธพาลกลุ่มนี้ดี พวกมันคงไม่ใช้สมองขนาดเท่ามดวางแผนอะไรแบบนั้น สิ่งที่พวกมันทำก็คือรีบขึ้นเรือหงส์อีกคันตามผมมายังไงล่ะ พวกงี่เง่าเอ๊ย... อยากหัวเราะแบบปีศาจร้ายใส่หน้าพวกมันจริงๆ
ขณะเผลอยิ้ม สายตาก็ยังคงจดจ้องหนุ่มสาวสามคนกระโดดลงไปบนหงส์เรือ ส่วนวินด์ผู้เป็นหัวโจกยังคงยืนอยู่ที่ชายฝั่งมองดูอยู่ห่างๆ
เอาล่ะ ถึงเวลาคิดบัญชีสักที... ผมยืนขึ้นทรงตัวบนเรือ มือหนึ่งจับหัวหงส์ไว้ รอให้คู่อริเข้ามาใกล้
“จับมัน!!”
“แกตายแน่ รีลอยด์!!”
ดูสีหน้าเหมือนยักษ์เขียวของพวกมันสิ น่าขำดีชะมัด
เมื่อเรือทั้งสองใกล้จะชนกัน ผมก็กระโดดขึ้นไปยืนบนเรือของพวกมัน
“เฮ้ย!”
“ว้าย!”
ในจังหวะที่เรือโคลงเคลงและทุกคนเสียหลัก ผมก็พุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อซีคนแรก ตัวมันใหญ่และหนักชะมัด แต่เอาเหอะ...
ผัวะ
ผมปล่อยหมัดใส่เต็มแก้มอ้วนจนใบหน้าอีกฝ่ายสะบัด จากนั้นก็รีบผลักมันกระเด็นหล่นน้ำไปคนแรก
ตูม
ง่ายๆ... ไม่ต้องออกแรงเยอะ
“จัดการมัน ดอนน่า!”เอร้องบอกขณะพยายามยืนขึ้น
บีได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดทำท่าจะคว้าตัวผมไว้ ผมจึงกระทืบให้เรือโคลง จนเธอเป็นฝ่ายเสียการทรงตัว ผมผลักเธอนิดหน่อย หญิงสาวตัวเล็กๆก็หล่นลงไปในน้ำเสียงดังตูม
“ไอ้เวรรีลอยด์”เอตะโกนลั่นเหวี่ยงแขนหมายจะชก ผมเบี่ยงตัวหลบซ้ายทีขวาที มองดูการโจมตีเงอะๆงะๆนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา ยิ่งทำให้เอโกรธจนต้องพุ่งตัวจับผมกระแทกกับหัวหงส์
ตึง
“อัดมันให้เละ วิลเลี่ยม!”
“จัดการมันเลย!”
ทั้งบีและซีที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนเรือต่างตะโกนเชียร์เพื่อน
ผัวะ
แรงชกทำให้ผมรู้สึกถึงเบลอไปชั่วครู่
“ฉันไม่ปล่อยแกแน่ รีลอยด์!”
วืด
แต่คราวนี้การโจมตีอีกครั้งไม่ได้แอ้มผมหรอก เอโจมตีพลาด หมัดกระแทกกับหัวหงส์ เขาร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด จังหวะนี้เองผมจึงต่อยเขากลับด้วยแรงอันหนักหน่วงพอๆกันแล้วจึงจับเสื้อเหวี่ยงตัวเขาหล่นลงไปในน้ำทับซีเต็มๆ
ตูม
เฮ้อ... ผมขยับสายตามองเหล่าอันธพาลด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะ
“กลับไปดูดนมแม่ซะ”ว่าจบก็รีบปั่นเรือออกจากตรงนั้นโดยไว ปล่อยให้พวกมันหาทางเข้าฝั่งกันเอง
รู้สึกดีสุดๆ... แกล้งมาก็แกล้งกับ ยุติธรรมดี... นี่แหละ วิถีชีวิตของนักเลง #บางทีมันก็จะเหนื่อยๆหน่อย
การแก้แค้นยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะหัวโจกอย่างวินด์ มิชคินยังคงเดินวนอยู่ตรงท่าเรือ
หึ... เข้ามาสิ ผมจะซ้อมเขาจนปางตาย เหมือนที่เขาปล่อยให้ผมถูกกระทืบอยู่ในตรอกจนเกือบไม่รอดเมื่อสามปีก่อน
เมื่อวินด์เห็นผมเอาชนะพรรคพวกของเขาได้ หนุ่มหัวขิงก็ยิ่งโมโห ผมสีส้มของเขาแทบจะลุกเป็นเปลวไฟหากมันเปลี่ยนสีได้ เขาเริ่มขยับเท้าเข้ามาใกล้
ผมกระโดดขึ้นไปเหยียบท่าเรือ แววตาเต็มไปด้วยความแค้น จังหวะที่เราสองคนปรี่เข้าใส่กันและกันนั้นเอง...
ปึก!!!
ชายหนุ่มปริศนาสองนายก็เดินตัดมาขวางทางวินด์เอาไว้ ส่วนผมก็ชนเข้ากับแขนของชายอีกคนเต็มเปา ทำเอาแทบสะดุด
“สวัสดี คุณไอเลนเบิร์ก”
อารมณ์กรุ่นๆในอกวูบดับไปเสียอย่างนั้น ผมหันมาสนใจคู่สนทนาเบื้องหน้า สบมองชายฉกรรจ์ร่างสูงผมสีน้ำตาลเข้มในชุดสูทสีดำ สวมแว่นฉาบปรอท มีรอยสักเป็นรูปโลโก้ตัววี (V) ข้างลำคอ
“ขอโทษที่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ พวกเรามีเวลาไม่มากนัก”
เดี๋ยวก่อนนะ... ผมคิดว่าผมเคยเห็นพวกเขาทั้งสามคน แต่ที่ไหนกัน... ที่ไหนกันนะ
“ผมขอคุยหน่อยได้ไหม คุณไอเลนเบิร์ก”
“คุยอะไร”
“เรื่องส่วนตัว”อีกฝ่ายหยิบยื่นยิ้มไมตรี
วินาทีถัดมา ผมก็เบิกตาอุทาน
นึกออกแล้ว... ผมเคยเจอพวกเขาในวันที่ผมกระโดดน้ำฆ่าตัวตายยังไงล่ะ!
vvvvv ยังไม่จบงับ