บ้านใกล้เรือนเคียง บทที่9-10

กระทู้คำถาม
ขอโทษด้วยค่ะรีบลงไปหน่อยกดเลือกประเภทกระทู้ผิดแล้วลืมแก้ค่ะเพิ่งเห็นตอนโพสหมดแล้ว ร้องไห้
รอบนี้มาลงช้าแบบไร้ข้อแก้ตัวเลยค่ะ รู้สึกผิดมากๆ บอกได้แค่ขอโทษจริงๆค่ะ
กระทู้ก่อน
บทนำ-บท2https://pantip.com/topic/36040912
บท3-4https://pantip.com/topic/36061736
บท5-6https://pantip.com/topic/36100650
บท7-8https://pantip.com/topic/36123447

บทที่ 9 บ้านเก่า

         “คุณกฤษณา” เสียงกวีเรียกฉันให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ฉันลุกขึ้นมานั่งในสภาพงัวเงียอยู่บนเตียง สมองที่กำลังเบลอทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงความจำภาพในสมองที่ไม่มีอารมณ์ร่วมให้นึกถึง เสียงที่ดังมาตลอดเมื่อวานนั้นเงียบไปแล้ว มีแต่เสียงเคาะหน้าต่างเรียกจากคนที่อยู่ข้างนอก

         “คุณกฤษณา! เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

         ฉันหันไปขานรับ “ค่ะ...ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร” แล้วฉันก็รีบเดินไปคว้าเสื้อคลุมก่อนออกไปหาเขา

         “มีอะไรเหรอคะ มาหาฉันแต่เช้าเชียว”

         กวีขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำถามของฉันก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มขำ “สิบเอ็ดโมงแล้วนะครับ”

         “เอ๊ะ...” ฉันหันไปดูนาฬิกา จะเที่ยงอยู่แล้วนี่ฉันตื่นสายขนาดนี้อีกแล้วเหรอ แถมยังใกล้เที่ยงแล้วด้วย...

         “เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

         ฉันสั่นศีรษะตอบ “แค่คิดว่าตัวเองตื่นสายอีกแล้วน่ะค่ะ...”

         “เจอเรื่องทำให้นอนไม่หลับเหรอครับ”

         คำถามของเขาฟังดูเหมือนรู้ว่าฉันเจออะไรมา

         “นิดหน่อยค่ะ แต่ก็หายไปแล้ว ว่าแต่เมื่อวานคุณไปข้างนอกมาหรือคะ ฉันไปหาคุณแล้วไม่เจอ”

         “ใช่ครับ แล้วที่ไปหานี่มีธุระอะไรเหรอครับ” สีหน้าของกวีแสดงความกังวลตอนตอบคำถามฉัน ทำไม? แต่ฉันก็ไม่ถามเขา

         “ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหมคะ”

         “ตามสบายเถอะครับ ผมไม่หิว”

         ฉันพยักหน้ารับไม่ว่าอะไร กวีหมุนตัวทำทีจะเดินออกประตูรั้วไปแต่เจ้าสวยแมวในบ้านเดินออกไปคลอเคลียที่ขาเขาจึงนั่งลงเล่นกับมัน

         “เล่นพวกเค้าก่อนก็ได้นะคะ” ฉันบอกก่อนจะกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว และจึงทำอะไรทาน

         ครู่หนึ่งฉันก็ทำกับข้าวเสร็จ ได้ข้าวผัดไข่ธรรมดาจานหนึ่งก็เอามาวางบนโต๊ะเล็กกลางห้องนั่งเล่น พอมองผ่านประตูออกไปก็เห็นกวียังเล่นแมวอยู่ แถวดูเหมือนมันจะเพิ่มขึ้นมาหลายตัวเสียด้วย เห็นดังนั้นฉันจึงนึกได้ว่าลืมเรื่องสำคัญ...

          ฉันออกไปเทอาหารให้แมว  

          “มิน่า ยังไม่กินข้าวนี่เอง พวกเค้าจะกินผมอยู่แล้ว” กวีแซว

          ฉันหัวเราะเบาๆ ”พวกเค้าดูชอบคุณนะคะ”

          กวีนั่งยองกับพื้นมองดูฝูงแมวด้วยรอยยิ้มสนุกสนานเหมือนเด็กๆจนฉันนึกเอ็นดู

          “เอ่อ ผมรบกวนรึเปล่าครับ” กวีหันมาถามทำให้ฉันสะดุ้งเพราะเผลอมองเขาอยู่นาน

          “เปล่าค่ะ เห็นคุณสนุกดี ตามสบายเถอะค่ะ” แล้วฉันก็กลับไปนั่งกินข้าวที่ตั้งทิ้งไว้ บ้าจังเรา...มองตั้งนานจนเขารู้สึกตัว พอคิดอย่างนั้นหน้าก็ร้อนขึ้นมาแปลกๆ มือก็รีบเอาช้อนตักข้าวใส่ไป

          จนข้าวพร่องไปเกินครึ่งจาน เสียงกวีก็ดังขึ้น

          “ผมได้ยินเสียงแมวร้อง เดี๋ยวไปดูก่อนนะ”

          “เอ๊ะ...อ่า...ค่ะ” แมวร้องเหรอ? ฉันรีบกินข้าวจนหมดก่อนจะตามเขาไป กวีไม่อยู่ที่หน้าบ้านฉันแล้ว เหลือแต่ฝูงแมวที่ยังกินอาหารอยู่ แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตว่า เจ้าบีแมวท้องแก่ตัวเดียวในบ้านหายไป รึว่าเสียงแมวจะเป็น...

          คิดไม่ทันจบเสียงแมวร้องก็ดังแว่วมาฉันจึงมองหาต้นเสียง ลองเดินอ้อมไปดูหลังบ้านก็ไม่ใช่ พอกลับมาหน้าบ้านกวีก็มาเรียกพอดี

          “ทางนั้นครับ” กวีชี้ไปทางขวามือของบ้านฉัน “อยู่บ้านข้างๆ” แล้วเขาก็เดินนำฉันจึงรีบตามไป

          บ้านข้างๆฉันมีหญ้าขึ้นรกจนน่ากลัวว่าจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่แต่เสียงแมวก็ดึงดูดให้ฉันเดินลุยเข้าไปมากกว่าจะถอยหลังกลับ กวีที่เดินนำคอยแหวกหญ้าให้เป็นทางเดิน เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวบ้าน

          “อยู่ในบ้านเหรอคะ” ฉันถามเมื่อเห็นกวีพยายามเปิดประตูที่ใส่แม่กุญแจอยู่

          “ครับ เสียงดังมาจากข้างใน” เขามีสีหน้าเคร่งเครียด “ท่าจะเปิดยาก มีแม่กุญแจด้วย...”

          บ้านหลังนี้มัน...บ้านของ...

          “ฉันว่าฉันมีกุญแจนะคะ”

          “เอ๊ะ...” กวีทำหน้าตกใจหันมามองฉัน

          “รอแปปหนึ่งนะคะ” ฉันบอกก่อนจะกลับไปบ้าน เอาพวงกุญแจที่น้าให้มามาดู ในพวงกุญแจมีกุญแจบ้านหลังนี้...กับบ้านเก่าของฉัน บ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถ้าจำไม่ผิด บ้านที่ได้ยินเสียงแมวเป็นบ้านคนรู้จักของพ่อแม่ที่เคยฝากบ้านไว้ตั้งแต่ก่อนฉันเกิดอีก แต่จำได้ว่าตอนเด็ก ครอบครัวฉันเคยไปเปิดบ้านหลังนั้นเพื่อกินเลี้ยงกันหลายๆคน ถ้าเข้าใจไม่ผิด เราน่าจะมีกุญแจเก็บไว้อยู่...

          ฉันตรงไปที่บ้านหลังตรงข้ามใช้กุญแจไขแม่กุญแจตรงรั้วแต่จะเลื่อนประตูเปิดก็ยากมากเพราะประตูสูงใหญ่เลยศีรษะแถมล้อมยังขึ้นสนิมทำให้ฝืด

          “มาผมช่วย” เสียงนุ่มๆดังข้างหูพร้อมมือหน้าที่เอื้อมมาจับขอบประตูและแรงที่ช่วยขยับประตูจนเลื่อนเปิดได้

          “ขอบคุณค่ะ...”

          ภาพที่เห็นหลังประตูรั้วคือบ้านของฉันที่สภาพคล้ายคลึงในความทรงจำฉันมาก มันแทบไม่เปลี่ยนไปเลย เพราะพื้นที่รอบบ้านปูซีเมนต์เกือบเต็มพื้นที่จึงไม่มีหญ้าขึ้นให้รกเหมือนบ้านอื่น หน้าต่างทั้งบานพับและบานเกล็ดยังปิดสนิท ประตูบ้านยังคงมีแม่กุญแจ ส่วนโรงรถนั้นว่างเปล่า มีเพียงเศษใบไม้แห้งกองๆอยู่ ที่เปลี่ยนไปที่สุดเห็นจะเป็นต้นไม้ที่ทรุดโทรมไม่งอกงามเหมือนเมื่อก่อนที่มีแม่คอยดูแลพวกมัน...

          ภาพในความทรงจำที่ซ้อนทับอยู่ทำให้ฉันเศร้าขึ้นมาแปลกๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องพวกนั้น ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อรำลึกอดีต... คิดจบฉันก็เดินไปไขแม่กุญแจออก แม้จะฝืดบ้างแต่ก็ยังปลดล็อกได้ ทันทีที่เปิดประตูกลิ่นอับในบ้านก็โชยออกมาก่อนจะฟุ้งกระจายเมื่อประตูเปิดเหล็กดัดอีกชั้นออก  

          แสงสว่างจากข้างนอกส่องให้เห็นในบ้านที่กว้างกว่าที่บ้านที่ฉันอยู่ปัจจุบัน บ้านหลังนี้มีห้องรับแขกด้านซ้ายมีห้องแยกไปสี่ห้อง ซึ่งมันเคยเป็นห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำหนึ่งส่วนอีกห้องเป็นห้องพระ แต่ตอนนี้ของที่หลงเหลือในบ้านมีเพียงเครื่องเรือนไม้พวกเตียงหรือชั้นวางของที่ชิ้นใหญ่เกินกว่าจะย้ายไปที่อื่นได้มันจึงถูกทิ้งไว้ที่นี่

          “ยังเก็บกุญแจไว้ที่นี่อีกเหรอครับ” เสียงถามจากกวีดังตามหลังฉันที่เดินเข้ามาสำรวจในบ้าน

          “ก็...เท่าที่ฉันจำได้...ของเล็กๆน้อยๆที่ไม่สำคัญเราก็ทิ้งไว้ที่นี่ ตามลิ้นชักตู้...”

          ฉันตรงไปที่ตู้โชว์เปิดดูลิ้นชักและค้นๆดูทีละชั้นรอบแรกยังไม่เจอ แต่ค้นอีกรอบพอเทของออกมาดูก็เห็น

          “น่าจะใช่ดอกนี้” ฉันโชว์กุญแจที่มีพวกกุญแจเป็นไม้กะสลักรูปนกฮูก

          “ครับ เดี๋ยวลองเอาไปไขดู

          ฉันยื่นกุญแจให้กวีพร้อมกับหันไปมองรอบๆตามประสาคนเคยอาศัยที่อยากสำรวจสถานที่เก่าๆของตนเอง
          “ผมเพิ่งทราบว่าคุณเคยอยู่ที่นี่”

          “ฉันคิดว่าไม่สำคัญน่ะค่ะ เลยไม่ได้บอก” ฉันตอบแค่นั้นเพราะเห็นบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจไป ก่อนหน้านี้มัวแต่คิดถึงกุญแจจึงลืมสังเกตไป บนพื้นมีกล่องโฟมใส่ข้าวที่แห้งกรังสี่กล่อง แก้วสีใบ และขวดเหล้าอีกสามขวด

          “ทำไม มีของพวกนี้ล่ะ”

          “อะไรเหรอครับ”

          ฉันชี้ให้เขาดูแทนคำตอบขณะที่สาตเพ่งพินิจดูของตรงหน้า กล่องโฟมแต่ละใบใส่ข้าวแห้งๆมีราขึ้นและช้อนยังวางคาอยู่ ส่วนขวดเหล้าสองขวดยังไม่ได้เปิด อีกขวดที่เปิดแล้วว่างเปล่าเช่นเดียวกับแก้วสามใบที่ไม่มีอะไรอยู่

          “เหมือนมีคน...แอบเข้ามา...” ฉันพึมพำไปในใจก็เต้นรัวขึ้นมา... กลัว...ใครที่ไหนเข้ามาอยู่ในบ้านฉันเหรอ...

          “ดูเหมือนนานแล้ว เขาไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะครับ” น้ำเสียงกวีเหมือนกำลังปลอบ

          ฉันเม้มริมฝีปาก ความจริงก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอก ทิ้งบ้านไปตั้งนาน ประตูก็ไม่ได้แน่นหนาอะไร จะมีคนแอบเข้ามาอยู่ก็ไม่แปลก แต่มันก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี

          ว่าแต่ เข้ามาประตูไหนนะ ต้องตรวจดูให้ดีเผื่อจะได้ทำประตูใหม่ที่ป้องกันคนกว่านี้

          “ฉันจะตรวจดูบ้านหน่อยค่ะ คุณไปก่อนก็ได้นะคะ”

          กวีสั่นศีรษะยิ้มๆเป็นคำตอบว่าเขาไม่ไป ฉันจึงเดินนำไป บ้านฉันมีชั้นเดียวแต่หลังใหญ่เพราะมีการต่อเติมบ้านไปข้างหลังทำให้ตัวบ้านยาว ยิ่งเดินเข้าไปก็เหมือนลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากห้องรับแขกมีประตูเชื่อมไปห้องโถงที่มีห้องนอนอีกสองห้อง ห้องน้ำหนึ่งห้อง ต่อจากห้องโถงมีประตูไปห้องครัวซึ่งอยู่ท้ายสุดของบ้าน ประตูเข้าบ้านมีสามบานคือ ประตู้เข้าจากห้องครัว ห้องโถงและหน้าบ้าน

          “มีรอยงัดตรงนี้ แต่มันใส่กลอนข้างในนี่นา” ฉันพูดหลังจากตรวจประตูห้องครัวเป็นบานสุดท้าย “หรือว่างัดประตูหน้าด้วย แต่แม่กุญแจก็อยู่ดีนี่...หรือใช้กุญแจผีนะ?...”

          ฉันสันนิษฐานได้แค่นั้น เสียงกวีก็ดังแทรกขึ้น “ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ รีบออกไปอย่างนั้น ถ้าออกประตูหน้าบ้านไม่น่าเสียเวลาล็อกแม่กุญแจอีกรอบ”

          “คุณรู้ได้ยังไงว่าเค้ารีบคะ?”

          “กลับไปดูที่หน้าบ้านสิ”

          เราจึงกลับมาที่ห้องรับแขกละกวีก็ชี้ให้ดูกล่องข้าวกับขวดเหล้าบนพื้น “คุณว่ายังไงล่ะ?”

          ฉันมองอย่างไม่เข้าใจเท่าไร ก็แค่กล่องข้าวเหลือ กับขวดเหล้ามันจะบอก...เอ๊ะ? “ข้าวเหลือกับขวดเหล้า พวกเค้ากินไม่หมด...แถมเหล้ายังเหลือเต็มๆตั้งสองขวด”

          กวีพยักหน้า “ผมว่าเค้าทิ้งของพวกนี้ระหว่างที่กำลังล้อมวงกินอยู่ด้วยซ้ำ เผลอๆขวดเหล้าเปล่ากับแก้วมันน่าจะยังไม่หมดแต่แค่แห้งไปหมดแล้วเท่านั้นเอง”

          ฉันหันไปมองอย่างฉงนกับคำพูดของกวี

          “ผมเดาเอาครับ” เขารีบพูดราวกับรู้ว่าฉันสงสัยอะไร

          “แต่ประตูล็อกจากข้างใน พวกเขาไม่ได้ออกไปทางนั้น แล้วถ้าไม่ใช่ประตูหน้า พวกเขาออกทางไหน...”

          จบคำถามฉันกวีก็เงียบ บรรยากาศเย็นยะเยือกอย่างประหลาดก่อตัวขึ้นมา พร้อมความคิดที่ผุดวาบในหัว

          หรือไม่ได้ออกไป...

          “อย่างกับว่า...” เสียงของกวีหยุดความคิดที่เริ่มฟุ้งซ่านของฉันไว้แต่ประโยคต่อมากลับยิ่งตอกย้ำความคิดนั้น “อยู่ๆพวกเขากำลังกินข้าวแล้วก็หายตัวไปเฉยๆเลยนะครับ”

          ได้ยินดังนั้นฉันยิ่งอึ้ง คนทั้งคนจะหายไปเฉยๆได้อย่างไร ความคิดนั้นมันเป็นไปได้ แต่ทำไม ฉันกลับเถียงไม่ออกนะ...

          ปัง! เสียงประตูหน้าผิดกระแทกเข้ามาจนฉันสะดุ้งสุดตัว  

          “สีหน้าไม่ค่อยดีนะครับ คุณกฤษณา...”

          “ก็...คุณพูด...น่ากลัวหน่อยๆ” ฉันยกมือขึ้นลูกคอตัวเองด้วยความรู้สึกกังวลที่ปะทุขึ้นมา รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลซึม... “ไม่เป็นไรหรอกค่ะรีบไปหาแมวดีกว่านะ”

          “โอเคครับ”

          แล้วเราสองคนก็ออกมาจากบ้าน ฉันใส่แม่กุญแจล็อกประตูไว้เหมือนเดิม ลมพัดแรกตอนที่เราเดินออกมาได้ ยินเสียงพึมพำจากกวีเบาๆว่า “พายุจะมาอีกรึเปล่านะ” แต่ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร พอล็อกประตูเสร็จหันมากวีก็ยืนรออยู่ เขาทำท่าผายมือเหมือนจะให้ฉันเดินไปก่อน ฉันจึงนำไป

          ปัง!

          เสียงกระแทก...ฉันหันไปทันที แต่กวีกลับมาบังไว้

          “รีบไปเถอะครับ”

          “เอ่อ ค่ะ...” ฉันยอมเดินหน้าต่อไป แม้ยังคงได้ยินเสียงกระแทกไล่หลังมาจากในบ้าน เสียงเหมือนประตูถูกกระแทก จากในบ้านที่ไม่มีใคร...

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่