ตอนใหม่มาแล้วค่ะ
ลิ้งค์ตอนย้อนหลังนะคะ
บทนำ-บท2
https://pantip.com/topic/36040912
บท3-4
https://pantip.com/topic/36061736
บท5-6
https://pantip.com/topic/36100650
สำหรับชี้แจง เอาเป็นว่า ยังเหมือนเดิมทุกตอนค่ะ คอมเม้นท์วิจารณ์ติติงชี้แนะได้หมดค่ะ ผู้เขียนเป็นมือสมัครเล่นยังอยู่ในขั้นที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านรวมถึงสำหรับทุกคำติชมนะคะ
บทที่ 7 ไฟดับ
ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุดตกแม้วันรุ่งขึ้น ฉันทอดไข่ดาวกินกับขนมปังอย่างง่ายๆเป็นอาหารเช้า และเริ่มแต่งนิยาย แมวสี่ตัวในบ้านผลัดกันมานั่งบนตักฉัน สายๆไอเดียที่โลดแล่นเริ่มถึงทางตัน ฉันจึงวางมือและหันมาหยิบการ์ตูนอ่านแทน ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความขี้เกียจจริงๆ
ใกล้เที่ยงฉันก็ได้ยินเสียงเรียก
“คุณกฤษณา!” เสียงเขาน่าฟังแม้เป็นการตะโกน
“กวี” ฉันพึมพำก่อนจะลุกออกไปหาเขา
ร่างสูงยืนเกาะขอบรั้ว ปลายเท้าเขาเขย่งขึ้นมาอย่างไม่จำเป็น ในเมื่อรั้วสูงถึงแค่หน้าอกเขาเท่านั้น
ฉันรีบไปเปิดประตูให้เขา “ทำไมตากฝนตัวเปล่าอย่างนี้ ร่มล่ะคะ”
“ผมลืม” คำตอบของเขาไม่น่าเชื่อ เมื่อลองคิดดูว่า แค่ก้าวออกมาก็เจอฝนแล้ว ทำไมยังลืมได้ว่าจะต้องกางร่ม
“เข้ามาก่อนไหมคะ”
กวีสั่นศีรษะก่อนจะส่งกระดาษเล็กๆให้ฉัน “ผมเอาเบอร์โทรที่จำเป็นมาให้”
“อะไรคะ? ตำรวจ?” ฉันเดาพร้อมดูตัวเลขที่โชว์ในกระดาษ
“ไม่ใช่ครับ เบอร์ช่างประปา ช่างไฟ กับการไฟฟ้า เผื่อไฟดับหรือน้ำไม่ไหลน่ะครับ”
“หา? ที่นี่เกิดเรื่องแบบนั้นบ่อยเหรอคะ”
กวียิ้มพยักหน้า “ครับ คุณเพิ่งมาอยู่ไม่กี่วันอาจจะยังไม่เจอ”
ฉันยิ้มแหยๆรับ
“อยากย้ายบ้านเลยไหมครับ”
ฉันรีบสั่นศีรษะ “มีอะไรน่าทนไม่ได้อีกเยอะ แล้วนี่คุณมาเพื่อจะเอานี่ให้ฉันเหรอ”
“ครับ ก็เห็นว่าฝนตกสองวันติดแล้ว ถ้าพายุมา ไฟคงดับเอาง่ายๆ คุณมีเทียนไหม”
“พอจะมีอยู่ค่ะ”
“ดีครับ มันจำเป็นมากเลยล่ะ พยายามเอาไว้ใกล้ๆตัวนะ” เขากำชับ
“ค่ะ”
กวีพยักหน้า “เท่านี้ล่ะครับ ไปล่ะ”
“เดี๋ยว!” ฉันรีบเรียกเขาไว้ “เข้ามาในบ้านก่อนเถอะค่ะ ฉันจะหาเสื้อกันฝนให้”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณอุตส่าห์มาเตือนฉัน เอาเบอร์มาให้ฉัน แล้วฉันจะปล่อยคุณตากฝนกลับไปได้ยังไง”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆน่า”
“ให้ฉันสบายใจก็ได้”
กวีถอนหายใจยอมแพ้ “ก็ได้ครับ”
ฉันเดินนำเขาเข้ามาในบ้าน ระหว่างหาเสื้อกันฝนจากลังเก็บของก็ได้ยินเสียงกวีเล่นกับแมว
“เมี้ยว เมี้ยว... “
ดูน่ารักเมื่อเขานั่งลงเล่นกับแมวสี่ตัวที่เข้าไปห้อมล้อมเขา
“บ้านคุณแมวเยอะจัง”
“ต้องบอกว่าหมู่บ้านนี้แมวเยอะต่างหาก” ฉันตอบพร้อมดึงเสื้อกันฝนที่หาเจอแล้วออกมา “ตอนกลางคืนฉันเจอมันเป็นสิบตัว”
“ไม่มีคนมาเลี้ยงพวกเค้านี่นา”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมไม่มีอะไรให้พวกเค้ากินหรอก”
“แล้วคุณกินอะไร”
“ไม่ได้กิน” เขาหันมายิ้มตอบขณะฉันยื่นเสื้อกันฝนให้
เป็นคำตอบชวนสงสัยที่ฉันชินเกินกว่าจะถามอะไรต่อ “หัดกินอะไรบ้างนะคะ บางทีฉันก็อยากได้คนร่วมโต๊ะอาหารบ้าง”
“จริงๆถ้าคุณชวนผมก็มาร่วมได้ทุกเมื่อนั่นแหละ”
กวีลุกขึ้นสวมเสื้อกันฝนสีชมพูหวานเย็นของฉัน ดูขัดกับผู้ชายอย่างเขาจนฉันหลุดหัวเราะ
“แกล้งผมเหรอ”
“เปล่า ฉันมีแต่สีนั้นจริงๆ”
“เอาเถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินออกประตูบ้าน “บ๊ายบายครับ”
“บ๊ายบาย”
หลังกวีกลับไป ฉันอ่านการ์ตูนต่อจนเบื่อก็หลับ ตื่นมาอีกครั้งก็เลยเที่ยงแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกหิว มองไปรอบๆก็ยังเห็นแมวสี่ตัวหลับอย่างเป็นสุข ฉันเก็บหนังสือที่เกลื่อนกลาด ก่อนจะเอาหนังมาเปิดดูในโน้ตบุ๊ก
ฉันดูหนังจบไปสองเรื่อง ท้องฟ้าก็ฉาบด้วยสีส้มของยามเย็น แต่ฝนก็ยังตก มันไม่มีทีท่าจะหยุดจนน่าแปลก ฝนสามารถตกอย่างต่อเนื่องได้ขนาดนี้เชียวหรือ ฉันนั่งเหม่อมองมันอยู่สักพักด้วยความคิดเรื่อยเปื่อย
มีเพียงเสียงฝน ไม่มีเสียงรถยนต์ หรือผู้คน
หมู่บ้านนี้สงบจริงๆ
โลกภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ทุกๆวันที่หมู่บ้านนี้ยังคงเหมือนเดิม
ช่างเป็นสิ่งที่ฉันโหยหาจริงๆ
ฉันลุกไปเตรียมกับข้าวโดยไม่ลืมที่จะให้อาหารบริวารแมวทั้งสี่ตัวก่อนเพื่อไม่ให้มากวนใจ อาหารค่ำง่ายๆของฉันแค่เอาเนื้อหมูหรือไก่ในตู้มาผัดๆกินกับข้าว ตั้งแต่ทำจนกินเสร็จและถ้วยชามล้าง เบ็ดเสร็จใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แล้วฉันก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อนมาแต่งนิยายต่อ
ทั้งที่ฟ้าแค่กำลังใกล้มืด แต่ฉันก็เตรียมตัวพร้อมเข้านอนเสียแล้ว
ขณะที่ความมืดกำลังกลืนกินท้องฟ้า ฉันลืมคำเตือนของกวีไปเสียสนิท
ปัง! เสียงประตูปิดกระแทกเพราะลมพัดทำให้ฉันนึกได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตู ฉันลุกไปปิดมัน
ลมแรงจัง ยังกับพายุเข้า ฉันคิดขณะดึงประตูปิด ตอนนั้นเองที่เสียงฟ้าผ่าดังลั่นราวกับมันอยู่ใกล้ๆนี้เอง หูฉันเหมือนดับไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติได้ความสว่างที่มีอยู่ก็ดับลง
ฉันเพิ่งตระหนักได้ถึงคำเตือนเมื่อสายไปแล้ว รอบตัวฉันมืดสนิท ฉันพยายามก้าวเท้าไปช้าๆมือกางออกรอบตัวโดยสัญชาตญาณ จริงอยู่ว่าบ้านฉันโล่ง แต่มีแมวตั้งสี่ตัว ฉันเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เหยียบพวกมัน โชคดีที่พอจะมีแสงจากโน้ตบุ๊ก ดวงตาฉันเริ่มปรับสภาพได้ช้าๆ ฉันไปค้นเทียนมาจากกล่องและรีบจุด
แสงสีส้มของเทียนทำให้ใจชื้นขึ้น เกือบไปแล้ว...
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น เปลวเทียนก็ดับ เดี๋ยว...ดับได้ยังไง ไม่มีลม...
เสียงลมเสียงฝนข้างนอกแรงขึ้น ฟ้าแลบ แสงสว่างส่องเข้ามา ชั่วแวบหนึ่งที่ฉันเห็นเงาคนนั่งอยู่ข้างๆฉัน เสียงฟ้าร้องตามมา ตัวฉันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาน้อยๆ
ฉันต้องตาฝาดแน่... ทั้งที่คิดอย่างนั้น ในใจกลับเต้นแรง อุณหภูมิที่หนาวเย็นเพราะฝนกลับยิ่งเหมือนลดต่ำลงไปอีกแต่กระนั้นเหงื่อเย็นๆกลับไหลซึมจนรู้สึกได้ ฉันไม่ทันได้ขยับ ก็มีแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบอีกครั้ง และมันช่วยยืนยันว่า... ฉันไม่ได้ตาฝาด มีเงาคนอยู่ข้างๆ ฉันกลืนน้ำลายลงคอ เบือนหน้าหนี และลุกขึ้น พยายามคลำทางไปจนถึงห้องนอน ฉันจะนอน จะรีบๆหลับตาลงซะ
จนไปถึงเตียงได้ ฉันก็ล้มตัวลงนอนเอาผ้ามาห่มและหลับตาลง... ต้องหลับ ต้องหลับ... ฉันท่องบอกตัวเอง แต่แม้หลับตา ภาพของเงาที่อยู่ข้างๆเมื่อครู่ก็ยังติดอยู่ในความคิด เสียงฝน เสียงลม เสียงฟ้าร้อง ทุกอย่างยังดังราวกับจะกลั่นแกล้ง หัวใจยังคงเต้นแรง ทั้งที่อยากหลับแท้ๆ โด้โปรดเถอะ ให้ฉันหลับไปที!
ขณะที่ความหวาดกลัวกำลังครอบงำ ฉันรู้สึกถึงไออุ่น ชวนให้สบายใจอย่างแปลกๆและในที่สุดฉันก็หลับไป
แสงอาทิตย์ช่วยให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นจนกลายเป็นร้อน ฉันจึงตื่นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาก็เจอกับแสงอาทิตย์จ้าที่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง จนทั้งห้องเป็นสีทอง แสงจ้าขนาดนี้...กี่โมงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนกลายเป็นแค่ฝันร้าย ฉันมองไปรอบๆห้องอย่างงัวเงีย ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเรียก
“คุณกฤษณา!” พร้อมเสียงทุบหน้าต่าง
“กวีเหรอ...” ฉันพึมพำ
“คุณกฤษณา! เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เมื่อตั้งสติได้ฉันร้องตอบเขา “ฉันสบายดีค่ะ” และลุกเดินออกจากห้องแต่สายตาก็เห็นเงาตัวเองในกระจกเสียก่อนกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนออกไปหาเขา
“มีอะไรคะ เรียกฉันเสียงดังเชียว”
“ก็เมื่อคืนไฟดับ แล้วพอผมมาหา คุณก็ยังไม่ตื่น ทั้งที่สายมากแล้ว...”
“อ๋อ...” ฉันหันไปดูนาฬิกาในบ้าน อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว นี่ฉันตื่นสายมากจริงๆ “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เพลีย...แต่เทียนที่คุณให้ช่วยได้เยอะเลยล่ะ”
“งั้นเหรอครับ ดีใจจัง”
เห็นรอยยิ้มกวีฉันก็ใจชื้นขึ้นและหมดกังวลเรื่องเมื่อคืนไปได้อย่างน่าประหลาด “จะเที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันสิคะ”
กวีนิ่งไปครู่หนึ่ง เขากลอกตาเหมือนลังเล ขณะที่ฉันยิ้มรอ จนเขาสบตาฉันอีกครั้งและพยักหน้า “ครับ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บ้านใกล้เรือนเคียง บทที่7-8
ลิ้งค์ตอนย้อนหลังนะคะ
บทนำ-บท2https://pantip.com/topic/36040912
บท3-4https://pantip.com/topic/36061736
บท5-6https://pantip.com/topic/36100650
สำหรับชี้แจง เอาเป็นว่า ยังเหมือนเดิมทุกตอนค่ะ คอมเม้นท์วิจารณ์ติติงชี้แนะได้หมดค่ะ ผู้เขียนเป็นมือสมัครเล่นยังอยู่ในขั้นที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านรวมถึงสำหรับทุกคำติชมนะคะ
บทที่ 7 ไฟดับ
ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุดตกแม้วันรุ่งขึ้น ฉันทอดไข่ดาวกินกับขนมปังอย่างง่ายๆเป็นอาหารเช้า และเริ่มแต่งนิยาย แมวสี่ตัวในบ้านผลัดกันมานั่งบนตักฉัน สายๆไอเดียที่โลดแล่นเริ่มถึงทางตัน ฉันจึงวางมือและหันมาหยิบการ์ตูนอ่านแทน ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความขี้เกียจจริงๆ
ใกล้เที่ยงฉันก็ได้ยินเสียงเรียก
“คุณกฤษณา!” เสียงเขาน่าฟังแม้เป็นการตะโกน
“กวี” ฉันพึมพำก่อนจะลุกออกไปหาเขา
ร่างสูงยืนเกาะขอบรั้ว ปลายเท้าเขาเขย่งขึ้นมาอย่างไม่จำเป็น ในเมื่อรั้วสูงถึงแค่หน้าอกเขาเท่านั้น
ฉันรีบไปเปิดประตูให้เขา “ทำไมตากฝนตัวเปล่าอย่างนี้ ร่มล่ะคะ”
“ผมลืม” คำตอบของเขาไม่น่าเชื่อ เมื่อลองคิดดูว่า แค่ก้าวออกมาก็เจอฝนแล้ว ทำไมยังลืมได้ว่าจะต้องกางร่ม
“เข้ามาก่อนไหมคะ”
กวีสั่นศีรษะก่อนจะส่งกระดาษเล็กๆให้ฉัน “ผมเอาเบอร์โทรที่จำเป็นมาให้”
“อะไรคะ? ตำรวจ?” ฉันเดาพร้อมดูตัวเลขที่โชว์ในกระดาษ
“ไม่ใช่ครับ เบอร์ช่างประปา ช่างไฟ กับการไฟฟ้า เผื่อไฟดับหรือน้ำไม่ไหลน่ะครับ”
“หา? ที่นี่เกิดเรื่องแบบนั้นบ่อยเหรอคะ”
กวียิ้มพยักหน้า “ครับ คุณเพิ่งมาอยู่ไม่กี่วันอาจจะยังไม่เจอ”
ฉันยิ้มแหยๆรับ
“อยากย้ายบ้านเลยไหมครับ”
ฉันรีบสั่นศีรษะ “มีอะไรน่าทนไม่ได้อีกเยอะ แล้วนี่คุณมาเพื่อจะเอานี่ให้ฉันเหรอ”
“ครับ ก็เห็นว่าฝนตกสองวันติดแล้ว ถ้าพายุมา ไฟคงดับเอาง่ายๆ คุณมีเทียนไหม”
“พอจะมีอยู่ค่ะ”
“ดีครับ มันจำเป็นมากเลยล่ะ พยายามเอาไว้ใกล้ๆตัวนะ” เขากำชับ
“ค่ะ”
กวีพยักหน้า “เท่านี้ล่ะครับ ไปล่ะ”
“เดี๋ยว!” ฉันรีบเรียกเขาไว้ “เข้ามาในบ้านก่อนเถอะค่ะ ฉันจะหาเสื้อกันฝนให้”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณอุตส่าห์มาเตือนฉัน เอาเบอร์มาให้ฉัน แล้วฉันจะปล่อยคุณตากฝนกลับไปได้ยังไง”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆน่า”
“ให้ฉันสบายใจก็ได้”
กวีถอนหายใจยอมแพ้ “ก็ได้ครับ”
ฉันเดินนำเขาเข้ามาในบ้าน ระหว่างหาเสื้อกันฝนจากลังเก็บของก็ได้ยินเสียงกวีเล่นกับแมว
“เมี้ยว เมี้ยว... “
ดูน่ารักเมื่อเขานั่งลงเล่นกับแมวสี่ตัวที่เข้าไปห้อมล้อมเขา
“บ้านคุณแมวเยอะจัง”
“ต้องบอกว่าหมู่บ้านนี้แมวเยอะต่างหาก” ฉันตอบพร้อมดึงเสื้อกันฝนที่หาเจอแล้วออกมา “ตอนกลางคืนฉันเจอมันเป็นสิบตัว”
“ไม่มีคนมาเลี้ยงพวกเค้านี่นา”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมไม่มีอะไรให้พวกเค้ากินหรอก”
“แล้วคุณกินอะไร”
“ไม่ได้กิน” เขาหันมายิ้มตอบขณะฉันยื่นเสื้อกันฝนให้
เป็นคำตอบชวนสงสัยที่ฉันชินเกินกว่าจะถามอะไรต่อ “หัดกินอะไรบ้างนะคะ บางทีฉันก็อยากได้คนร่วมโต๊ะอาหารบ้าง”
“จริงๆถ้าคุณชวนผมก็มาร่วมได้ทุกเมื่อนั่นแหละ”
กวีลุกขึ้นสวมเสื้อกันฝนสีชมพูหวานเย็นของฉัน ดูขัดกับผู้ชายอย่างเขาจนฉันหลุดหัวเราะ
“แกล้งผมเหรอ”
“เปล่า ฉันมีแต่สีนั้นจริงๆ”
“เอาเถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินออกประตูบ้าน “บ๊ายบายครับ”
“บ๊ายบาย”
หลังกวีกลับไป ฉันอ่านการ์ตูนต่อจนเบื่อก็หลับ ตื่นมาอีกครั้งก็เลยเที่ยงแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกหิว มองไปรอบๆก็ยังเห็นแมวสี่ตัวหลับอย่างเป็นสุข ฉันเก็บหนังสือที่เกลื่อนกลาด ก่อนจะเอาหนังมาเปิดดูในโน้ตบุ๊ก
ฉันดูหนังจบไปสองเรื่อง ท้องฟ้าก็ฉาบด้วยสีส้มของยามเย็น แต่ฝนก็ยังตก มันไม่มีทีท่าจะหยุดจนน่าแปลก ฝนสามารถตกอย่างต่อเนื่องได้ขนาดนี้เชียวหรือ ฉันนั่งเหม่อมองมันอยู่สักพักด้วยความคิดเรื่อยเปื่อย
มีเพียงเสียงฝน ไม่มีเสียงรถยนต์ หรือผู้คน
หมู่บ้านนี้สงบจริงๆ
โลกภายนอกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ทุกๆวันที่หมู่บ้านนี้ยังคงเหมือนเดิม
ช่างเป็นสิ่งที่ฉันโหยหาจริงๆ
ฉันลุกไปเตรียมกับข้าวโดยไม่ลืมที่จะให้อาหารบริวารแมวทั้งสี่ตัวก่อนเพื่อไม่ให้มากวนใจ อาหารค่ำง่ายๆของฉันแค่เอาเนื้อหมูหรือไก่ในตู้มาผัดๆกินกับข้าว ตั้งแต่ทำจนกินเสร็จและถ้วยชามล้าง เบ็ดเสร็จใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แล้วฉันก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนก่อนมาแต่งนิยายต่อ
ทั้งที่ฟ้าแค่กำลังใกล้มืด แต่ฉันก็เตรียมตัวพร้อมเข้านอนเสียแล้ว
ขณะที่ความมืดกำลังกลืนกินท้องฟ้า ฉันลืมคำเตือนของกวีไปเสียสนิท
ปัง! เสียงประตูปิดกระแทกเพราะลมพัดทำให้ฉันนึกได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตู ฉันลุกไปปิดมัน
ลมแรงจัง ยังกับพายุเข้า ฉันคิดขณะดึงประตูปิด ตอนนั้นเองที่เสียงฟ้าผ่าดังลั่นราวกับมันอยู่ใกล้ๆนี้เอง หูฉันเหมือนดับไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติได้ความสว่างที่มีอยู่ก็ดับลง
ฉันเพิ่งตระหนักได้ถึงคำเตือนเมื่อสายไปแล้ว รอบตัวฉันมืดสนิท ฉันพยายามก้าวเท้าไปช้าๆมือกางออกรอบตัวโดยสัญชาตญาณ จริงอยู่ว่าบ้านฉันโล่ง แต่มีแมวตั้งสี่ตัว ฉันเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เหยียบพวกมัน โชคดีที่พอจะมีแสงจากโน้ตบุ๊ก ดวงตาฉันเริ่มปรับสภาพได้ช้าๆ ฉันไปค้นเทียนมาจากกล่องและรีบจุด
แสงสีส้มของเทียนทำให้ใจชื้นขึ้น เกือบไปแล้ว...
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น เปลวเทียนก็ดับ เดี๋ยว...ดับได้ยังไง ไม่มีลม...
เสียงลมเสียงฝนข้างนอกแรงขึ้น ฟ้าแลบ แสงสว่างส่องเข้ามา ชั่วแวบหนึ่งที่ฉันเห็นเงาคนนั่งอยู่ข้างๆฉัน เสียงฟ้าร้องตามมา ตัวฉันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาน้อยๆ
ฉันต้องตาฝาดแน่... ทั้งที่คิดอย่างนั้น ในใจกลับเต้นแรง อุณหภูมิที่หนาวเย็นเพราะฝนกลับยิ่งเหมือนลดต่ำลงไปอีกแต่กระนั้นเหงื่อเย็นๆกลับไหลซึมจนรู้สึกได้ ฉันไม่ทันได้ขยับ ก็มีแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบอีกครั้ง และมันช่วยยืนยันว่า... ฉันไม่ได้ตาฝาด มีเงาคนอยู่ข้างๆ ฉันกลืนน้ำลายลงคอ เบือนหน้าหนี และลุกขึ้น พยายามคลำทางไปจนถึงห้องนอน ฉันจะนอน จะรีบๆหลับตาลงซะ
จนไปถึงเตียงได้ ฉันก็ล้มตัวลงนอนเอาผ้ามาห่มและหลับตาลง... ต้องหลับ ต้องหลับ... ฉันท่องบอกตัวเอง แต่แม้หลับตา ภาพของเงาที่อยู่ข้างๆเมื่อครู่ก็ยังติดอยู่ในความคิด เสียงฝน เสียงลม เสียงฟ้าร้อง ทุกอย่างยังดังราวกับจะกลั่นแกล้ง หัวใจยังคงเต้นแรง ทั้งที่อยากหลับแท้ๆ โด้โปรดเถอะ ให้ฉันหลับไปที!
ขณะที่ความหวาดกลัวกำลังครอบงำ ฉันรู้สึกถึงไออุ่น ชวนให้สบายใจอย่างแปลกๆและในที่สุดฉันก็หลับไป
แสงอาทิตย์ช่วยให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นจนกลายเป็นร้อน ฉันจึงตื่นขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาก็เจอกับแสงอาทิตย์จ้าที่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง จนทั้งห้องเป็นสีทอง แสงจ้าขนาดนี้...กี่โมงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนกลายเป็นแค่ฝันร้าย ฉันมองไปรอบๆห้องอย่างงัวเงีย ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเรียก
“คุณกฤษณา!” พร้อมเสียงทุบหน้าต่าง
“กวีเหรอ...” ฉันพึมพำ
“คุณกฤษณา! เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เมื่อตั้งสติได้ฉันร้องตอบเขา “ฉันสบายดีค่ะ” และลุกเดินออกจากห้องแต่สายตาก็เห็นเงาตัวเองในกระจกเสียก่อนกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนออกไปหาเขา
“มีอะไรคะ เรียกฉันเสียงดังเชียว”
“ก็เมื่อคืนไฟดับ แล้วพอผมมาหา คุณก็ยังไม่ตื่น ทั้งที่สายมากแล้ว...”
“อ๋อ...” ฉันหันไปดูนาฬิกาในบ้าน อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว นี่ฉันตื่นสายมากจริงๆ “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เพลีย...แต่เทียนที่คุณให้ช่วยได้เยอะเลยล่ะ”
“งั้นเหรอครับ ดีใจจัง”
เห็นรอยยิ้มกวีฉันก็ใจชื้นขึ้นและหมดกังวลเรื่องเมื่อคืนไปได้อย่างน่าประหลาด “จะเที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันสิคะ”
กวีนิ่งไปครู่หนึ่ง เขากลอกตาเหมือนลังเล ขณะที่ฉันยิ้มรอ จนเขาสบตาฉันอีกครั้งและพยักหน้า “ครับ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------