บ้านใกล้เรือนเคียง บทที่ 11

กระทู้สนทนา
*เอาบท12 มาเพิ่มแล้วนะคะ*
ลิ้งค์ตอนก่อนหน้า
บทนำ-บท2https://pantip.com/topic/36040912
บท3-4https://pantip.com/topic/36061736
บท5-6https://pantip.com/topic/36100650
บท7-8https://pantip.com/topic/36123447
บท9-10https://pantip.com/topic/36180496

หายหน้าไปเกือบเดือนเลยค่ะ ร้องไห้ ตอนที่มาลงนี้ผ่านการแก้ไขหลายรอบมากๆ
เอามาส่งก่อนหนึ่งบท อีกหนึ่งบทจะตามมาเร็วๆนี้ค่ะ กำลังอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนแก้ไขค่ะ เม่าแพนด้า
ปล.ตอนนี้อาจขึ้นแก้ไขเยอะ ไม่มีอะไรค่ะ แค่มันมีคำไม่สุภาพ แล้วจะค่อยๆแก้คำที่โดนเซนเซอร์ค่ะ คือกดพรีวิวแล้วมันไม่เซ็นอ่ะTT

บทที่  11 คน
          หลายครั้ง ฉันภาวนาให้ความจริงและความฝัน พลิกผันสลับกัน...แต่นั่นไม่มีวันเป็นจริง

          ฉันลืมตาขึ้นเห็นเพดานขาวที่สะท้อนสีเหลืองทองด้วยแสงอาทิตย์...เช้าแล้ว? ฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไรนะ กี่โมงแล้ว ถ้าสายอีกกวีคงได้มาปลุกอีกแน่ ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา แปดโมง ยังไม่สายเท่าไร คิดได้ดังนั้นฉันก็ลุกเดินออกจากห้องไปเพื่อเริ่มกิจวัตรยามเช้า เริ่มจากออกไปให้อาหารแมวก่อน...

          ฝูงแมวทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน... ขอบตาร้อนขึ้นมาเหมือนจะร้องไห้อีกครั้งแต่ก็ฉันหยุดมันไว้ ถ้าเริ่มร้องก็จะยิ่งเศร้ากว่าเดิมอีก...

          ให้อาหารแมวเสร็จฉันก็รีบไปอาบน้ำ พอแต่งตัวเสร็จออกมาก็เจอกวีนั่งดูแมวอยู่

          “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

          “อ๊ะ...อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ไม่สายนะครับ” เขายิ้มสดใสให้ฉัน ใจฉันชื้นขึ้นแต่ก็ได้แค่ยิ้มฝืนๆให้เขา นัยตากวีดูหมองลงเหมือนรับรู้ความรู้สึกฉันได้ “ผม ห่อพวกเขาไว้ ไม่อยากฝังโดยไม่บอกคุณ...”

          “อ๋อค่ะ...มาช่วยกันฝังเถอะค่ะ ฝังหลังบ้านฉันแล้วกัน...”

          “ครับ...”

          กวีห่อคุณบีและลูกไว้ในห่อเดียวกันด้วยหนังสือพิมพ์ และให้ฉันอุ้มมาให้ระหว่างที่เขาขุดหลุมรอ พอฉันมาถึงเขาก็ขุดได้หลุมได้ลึกพอแล้วฉันจึงวางห่อร่างคุณบีกับลูกๆลงไป เขาก็ตักดินกลบ ถมเสร็จฉันก็เอาเศษอิฐมาทับเพื่อกันไม่ให้มันระเบิด...

          “ต้องเอาหินทับด้วยค่ะ ไม่งั้นมันจะระเบิดเพราะเกิดแก็ส”

          “แค่แมวตัวเล็กๆเนี่ยนะครับ”

          “ค่ะ ฉันเคยเจอมาแล้ว เพราะลืมเอาของหนักๆมาทับไว้ ระเบิดที่หลังบ้าน กลิ่นนี่คลุ้งไปทั่ว” ฉันชี้ไปทางบ้านเก่าของฉัน “บ้านหลังนั้นน่ะค่ะ หลังบ้านนี่ฝังแมวไว้เต็มหมด ตอนฉันอยู่ที่บ้านหลังนั้นเราเลี้ยงแมวเยอะ บางครั้งแมวก็โดนหมากัด โดนวางยา รถชนบ้าง ตัวแล้วตัวเล่า...” ฉันเว้นช่วงลุกไปเด็ดกิ่งต้นเฟื่องฟ้าจากรั้วข้างบ้านมาปักบนหลุม “ฉันร้องไห้เสียใจทุกครั้งที่มีแมวตาย แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ก็เหมือนชินซะแล้ว ใจร้ายเนาะ”

          “แต่เมื่อวาน คุณร้องไห้...”

          ฉันชะงักไปกับคำย้อนถามของกวี “ฉัน...อาจจะช็อกน่ะค่ะ เพราะไม่คาดว่ามันจะเกิด อย่างน้อยในบ้านก็ควรเป็นที่ที่ปลอดภัย”

          “มันทำให้คุณกลัวไหมครับ...”

          “คะ? เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะเหรอคะ”

          “ครับ”

          “ก็นิดหน่อยค่ะ น่ากลัวออกอย่างนั้น”

          กวีขมวดคิ้วเล็กๆ สายตาเขาดูกังวล “นิดหน่อย...ไม่คิดว่ามันน่ากลัวจนอยากหนีออกไปเหรอครับ”

          หนี... ดำคำนั้นดังขึ้นมาในสมอง ทำให้ฉันนึกถึงบางอย่าง จนฉันปฏิเสธคำถามของกวีได้ทันที “ไม่หรอกค่ะ...” ฉันรู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองนั้นเรียบเย็น “หนีออกไปเพื่อเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้...ไม่มีทางหรอกค่ะ”

          สิ้นคำพูดฉัน ใบไม้โปรยปรายลงมาทั้งที่ลมสงบ น่าแปลกใจแต่ฉันกลับไม่ติดใจเท่าไร ฉันแบมือรับใบไม้ที่ร่วงลงมาตรงหน้า ใบมันเขียวสดจนไม่น่าจะร่วงลงมาได้เลย ฉันกำมันไว้ในมือและเดินกลับไปหน้าบ้าน ได้ยินเสียงฝีเท้ากวีเดินตามมา

          “คุณเคยเจออะไรที่น่ากลัวกว่านี้มาก่อนเหรอครับ...”

          ฉันนั่งลงลูบคุณดำที่กินอาหารเสร็จแล้วมานอนแผ่ตากแดด “ทำนองนั้นมั้งคะ...อีกอย่างฉันก็ทิ้งพวกคุณๆทั้งหลายนี่ไว้ไม่ได้ด้วย...” ฉันกวาดสายตาดูคุณแมวที่ยังรุมกินอาหารกันอยู่

          มีเสียงถอนหายใจเบาๆ “ผมยอมคุณเลย”

          ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นหันไปยิ้มสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้กวี “กินข้าวเช้าด้วยกันไหมคะ แต่แค่คอนเฟลกส์นะ”

          “เอาสิครับ”

          หลังจากนั้นกวีก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานอีก...


          หลังมื้อเช้ากวีอยู่คุยกับฉันจนใกล้เที่ยงเขาก็กลับไป ฉันทำงานบ้านนิดหน่อย กวาดบ้าน ถูพื้น และทำอาหารกลางวันทาน พอเสร็จไม่มีอะไรทำ ฉันก็ตัดสินใจถีบจักรยานออกไปซื้อของเพราะเสบียงในบ้านใกล้หมดแล้ว

          ถ้ารอให้แดดร่มลมตกจนเย็น ก็อันตรายเกินไป ฉันจึงยอมถีบจักรยานฝ่าแดดออกไปโดยมีหมวกแค่ใบเดียวที่ช่วยบังแดดอันร้อนเปรี้ยงนี้  

          แสงแดดจ้าตัดกับเงา จนวิสัยทัศน์เหมือนกลายเป็นสีขาวดำ ฉันเพ่งมองถนนที่แสงสะท้อนจนแสบตา แต่ก็กลั้นใจถีบจักรยานไปเรื่อยๆให้ถึงจุดหมาย

          
          “ดีขึ้นรึยัง หนู” เสียงคุณป้าร้านขายของชำถามฉันที่นั่งฟักดื่มน้ำเย็นมาได้สักพักหลังจากมาถึงร้านแล้วฉันก็เซเข้ามาขอที่พักในร้าน

          ความร้อนและแสงแดดจ้าทำให้ฉันหน้ามืด แต่ได้น้ำกับที่ร่มเย็นๆก็ดีขึ้น

          “ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอซื้อของหน่อยค่ะ”

          ซื้อของเสร็จร้านหนึ่งฉันก็ไปต่อร้านที่อยู่ใกล้ๆซึ่งหาซื้อได้จนครบตามที่ต้องการฉันก็กลับมาหาจักรยานที่จอดไว้หน้าร้านแรก

          “ให้ลูกชายป้าไปส่งไหม เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปอีก”

          “ไม่เป็นไรคะ แดดไม่ค่อยแรงแล้ว ขอบคุณนะคะ” ไม่อยากให้ใครรู้ว่าอยู่คนเดียว แถมยังเปลี่ยวอีกนี่นา...

          แล้วฉันก็เอาของใส่ตะกร้าหน้ารถ ส่วนอาหารแมวใส่ไว้ในเป้ที่สะพายมาจากบ้านก่อนจะคว้าจักรถีบออกมา


          ทั้งที่คิดว่าตัวเองออกมาแต่วัน ใช้เวลาไม่นาน แต่ความมืดกลับมาเยือนเร็วกว่าที่คิด นี่ผ่านไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันออกมาตอนบ่าย ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงร้าน ซื้อของแค่แปปเดียว ทำไมฟ้าเริ่มมืดแล้วล่ะ คิดแล้วฉันก็เร่งขาให้ถีบเร็วขึ้น... ใกล้จะถึงบ้านหรือยังนะ...น่าจะเกินครึ่งทางแล้วสิ

          หูฉัน เริ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไล่หลังมา รถ? เหมือนเสียงมอเตอร์ไซค์ ฉันยิ่งเร่งความเร็วของตัวเองโดยไม่หันไปมอง ทำไมหมู่บ้านอยู่ไกลอย่างนี้นะ เมื่อไรจะถึง...

          ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ แต่เสียงเครื่องยนต์ข้างหลังยังดังตามมา แถมยังกระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ มีคนตามมา แค่บังเอิญ?หรือจงใจ? คิดจะทำอะไรฉันหรือเปล่า! ขณะที่ในหัวกำลังร้อนรน ฉันก็เห็นเสาไฟหน้าหมู่บ้าน ถึงแล้ว! ฉันหักหัวจักรยานเพื่อเลี้ยว แต่ล้อจักรยานกลัวสะดุดอะไรบางอย่างจนฉันเสียหลักล้ม ตอนที่จักรยานเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านพอดี...

          มอเตอร์ไซค์ที่ไล่หลังมาเลี้ยวตามมาและจอด ส่วนฉันล้มไปกองอยู่กับจักรยาน ใจฉันเต้นรัว กลัวจนไม่รู้สึกเจ็บ รถพวกนี้ตามฉันมาจริงๆเหรอ เขาจะทำอะไร... ฉันพยายามลุกขึ้นโดยไม่หันไปมอง แต่พวกเขามาถึงตัวฉันเร็วกว่า...มีมือสากๆมาปิดปาก และกดฉันลงกับพื้น

          ต้องขัดขืน...ต้องสู้ แต่ไม่มีแรง...  

          ร่างฉันโดนจับพลิกให้นอนหงายขึ้นมา ฉันจึงเห็นเงาของผู้ประทุษร้าย มืดจนไม่เห็นแต่ก็ดูออกว่าเป็นผู้ชายร่างใหญ่ และมีถึงสองคน...

          คนหนึ่งนั่งคร่อมร่างฉันอยู่

          ทำอย่างไรดี...สู้ ขัดขืน...ได้เหรอ หรือช่างมัน...และปล่อยให้อะไรก็ตามเกิดขึ้น

          “นิ่งดีว่ะ...”

          น้ำเสียงนั้นฟังดูน่ารังเกียจ... อยากผลักออกไป แต่มือถูกจับตรึงไว้จนขยับไม่ได้ น่าเวทนาจัง...พลาดจนได้ ทั้งที่คิดว่าระวังตัวดีแล้วแท้ๆ

          เฮ้อ...ช่างมันเถอะ...ฉันถอดใจและหลับตาลงอย่างรับชะตากรรม


          “ทำอะไรน่ะครับ” เสียงทุ้มอันคุ้นหูดังขึ้นมาในความมืด

          “เฮ้ย!” เสียงมาจากคนที่นั่งอยู่บนตัวฉัน

          “หยุดสิ่งที่กำลังทำได้ไหมครับ...”

          “แXง มีพวกเหรอว่ะ จัดการสิว่ะ!”

          “ผมขอไง ว่าหยุดเถอะ...”

          ฉันพยายามกลอกตาไปหาต้นเสียงที่กำลังห้ามปรามอยู่ จึงเห็นเงาร่างที่คุ้นตา คือเขาใช่ไหม...

          “เฮ้ย! จัดการมันสิว่ะ!” คนที่คร่อมตัวฉันอยู่ออกคำสั่ง แต่ดูเหมือนอีกคนยังนิ่ง

          “...ไม่ใช่แล้ว...” เสียงสั่นๆดังมาจากอีกคน ขณะที่ร่างของ’เขา’ค่อยๆเคลื่อนมาทางฉัน

          “อย่าเข้ามานะ...เฮ้ย...เฮ้ย...” ชายที่คร่อมร่างฉันอยู่ ดูตื่นกลัวอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ

          “กูไปล่ะเว้ย!” เสียงจากคนที่ยืนอยู่

          “หยุด...และไปซะ ได้ไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเรียบๆแต่มันเย็นเฉียบอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยิน

          “...ไป...ไปครับ...ไปแล้ว...” พูดจบ เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นจากตัวฉันและตรงไปคว้ามอเตอร์ไซค์ขึ้นขี่ออกไป

          ฉันนนยังนั่งนิ่ง แม้คนร้ายทั้งสองคนจะไปแล้ว

          “เป็นยังไงบ้างครับ...” เจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนฉันเห็นหน้า

          เป็นเขาจริงๆ... ฉันฉีกยิมทันทีที่เห็นใบหน้าอันอบอุ่น “กวี...”

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผิดคาด ไม่โดนเซ็นเซอร์ค่ะเม่าเหม่อ...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่