
☼ ☼
27 :: อาวุธร้ายกาจของโฉมสะคราญ ☼ ☼

เนี่ยเหวินเช่าห้องพักของชาวบ้านหลังหนึ่งเพื่อให้เฉินชงหมิงพักรักษาตัว อาการของเฉินชงหมิงความจริงดีขึ้นเป็นลำดับแล้ว วันนี้ระหว่างที่เนี่ยเหวินไม่อยู่ เฉินชงหมิงหลังจากรับประทานยาแล้วพักหลับไป หากจิตที่เต็มไปด้วยความแค้น บันดาลให้เขาหลับฝันเห็นเจี่ยคุณลอบลงมือฟาดจู่โจมทางข้างหลังของเฉินเซ่าเทียนผู้เป็นบิดา จากนั้นก็กระแทกกลางกระหม่อมของเฉินชิงหยุนผู้เป็นน้องชายจนสิ้นใจตายอย่างอนาถ
ภาพอันน่าสยดสยองฝังประทับจำติดตา เสียงโหยหวนเรียกหาของบิดาและน้องชาย ดังก้องสะท้อนสะท้านขึ้นในโสตประสาท
“ ชงหมิง.. ชงหมิง.. เจ้าทำอะไรอยู่.. เจ้าทำอะไรอยู่ เจ้าลืมความแค้นของพวกเราแล้วหรือ ? “
“ พี่ใหญ่.. ทำไมไม่ล้างแค้นให้พวกเรา ? ..ฆ่าเจี่ยคุน.. ล้างแค้นให้พวกเราด้วย “
เฉินชงหมิงสะท้านร่างผวาตื่นลุกขึ้นนั่งเหงื่อแตกโชก หอบหายใจรำพึงอย่างปวดร้าว
“ ท่านพ่อ.. ชิงหยุน.. ข้าไม่เคยลืมความแค้นของพวกท่าน ข้าไม่เคยลืม...”
หวนนึกถึงเหตุการณ์พ้นผ่านล่วงเลยมานาน แต่ตนเองกลับยังคงงอมืองอเท้าหลบเร้นซ่อนกาย ราวคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้าศัตรู จนต้องให้ดวงวิญญาณของบิดาและน้องชายมาเข้าฝันเพื่อทวงถามความแค้นเหล่านั้น คิดไปก็ช่างน่าละอายใจนัก
เบือนหน้าไปทางกระบี่แขวนอยู่หัวเตียง ขบคิดอยู่ชั่วขณะจึงตัดสินใจกระโดดปราดลงจากเตียง คว้ากระบี่เดินออกมาจากห้อง
เพิ่งบรรลุถึงหน้าบ้าน พลันปรากฏคนคลุมหน้าผู้หนึ่งถลันร่างเข้าขัดขวางไว้ จากนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงใด กวาดระบี่จู่โจมเข้ามา เฉินชงหมิงใจหายวาบ รีบระงับสติอย่างรวดเร็วชักกระบี่ในมือออกต้านรับ
ในเสียงเคร้งคร้างดังถี่ยิบ สองกระบี่ปะทะกันจนสะเก็ดไฟแตกกระจาย ฝ่ายตรงข้ามจัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง มิเพียงมีเพลงกระบี่อันรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังข้ออันแข็งแกร่ง เฉินชงหมิงเพิ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บถึงกับถูกรุกไล่จนถดถอย สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายกระแทกด้ามกระบี่ใส่ข้อมือ ปัดกระบี่ในมือจนหลุดกระเด็น จากนั้นจ่อกระบี่กับลำคอ สะกดเขาไว้จนยืนนิ่งตะลึงกับที่
เฉินชงหมิงใจสั่นสะท้าน สำนึกตัวว่าครานี้ยากจะหนีรอด ได้แต่พริ้มตาลงรอรับความตาย
มิคาดคนผู้นั้นพลันปลดผ้าคลุมลง..เผยโฉมหน้าตนเองออกมา
เป็น “ เนี่ยเหวิน”
“ พี่เนี่ย ! “
เฉินชงหมิงตะลึงลานกับที่ โพล่งอย่างงุนงง
“ นี่หมายความว่าอย่างไร ? “
เนี่ยเหวินสอดกระบี่คืนฝัก แค่นเสียงดุเย็นชา
“ ปกติเจ้าเคยเยือกเย็นสุขุม แต่ไฉนเดี๋ยวนี้ยิ่งมายิ่งร้อนรุ่มวู่วามจนโง่งมไร้สติ ความใจร้อนทำลายผู้คนมามากมายแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป..ชั่วชีวิตของเจ้าก็อย่าหมายว่าจะล้างแค้นได้สำเร็จ...”
วาจานี้ฉุดรั้งให้เฉินชงหมิงได้สติขบคิด ต้องก้มศีรษะต่ำด้วยความละอายใจ
เนี่ยเหวินกล่าวต่อไปช้าๆ
“ จุดเด่นของวิชาเทวะสยบฟ้า คือสุขุม เยือกเย็น แล้วพลิ้วไหวไปตามสภาวะ แต่คุณสมบัติข้อนี้ของเจ้ายิ่งนับวันยิ่งเลือนหาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อใดเจ้าถึงจะสามารถฝึกสำเร็จถึงขั้นสูงสุด ? “
เฉินชงหมิงโดนว่ากล่าวจนสีหน้าซึมเซา เอนหลังพิงไปกับเสาไม้ หลับตาลงอย่างปวดร้าว ผงกศีรษะกล่าวอย่างยอมรับ
“ ข้าวู่วามไปจริงๆ ขอบคุณพี่ที่ช่วยเตือนสติ ..ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว..”
เนี่ยเหวินมองหน้าเขาแล้วถอนใจ
“ มีบางเรื่องที่อยากจะเตือนเจ้า ไม่ทราบจะยอมรับฟังข้าหรือไม่ ? “
“ พี่เนี่ย.. ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า .. ท่านสั่งสอนมาเถิด...”
“ ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ในตอนนี้เจ้ายังฆ่าเจี่ยคุนไม่ได้ “
เฉินชงหมิงงงงันวูบ โพล่งอย่างขัดเคืองใจ
“ เพราะเหตุใด ? “
“ เพราะเจี่ยคุนในตอนนี้คือประมุขแห่งบ้านเทพเจ้า ในสายตาของชาวบู๊ลิ้ม มันยังคงเป็นจอมยุทธผู้ทรงคุณธรรม หากเจ้าลงมือในตอนนี้.. เจ้าจะได้รับการต่อต้านและการตามไล่ล่าจากชาวยุทธทั่วแผ่นดิน “
“ เฮอะ.. มารร้ายบัดซบอย่างมัน หรือว่าสวรรค์ยังคิดคุ้มครอง ? “
เนี่ยเหวินกล่าวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลลง ปลอบโยนว่า
“ ไม่ตลอดไปหรอก... งูพิษอย่างมันย่อมอยู่ในคราบนักบุญได้ไม่นาน สักวันก็ต้องเผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา พวกเราควรสืบสาวความชั่วร้ายของมันรวบรวมหลักฐานขึ้นมา แล้วค่อยหาโอกาสกระชากโฉมหน้าแท้จริงของมันประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ ..เมื่อนั้นเจ้าไม่เพียงสามารถล้างแค้นให้บิดาและน้องชายของเจ้า อีกทั้งยังสามารถล้างมลทินให้ตัวเองได้ด้วย “
เฉินชงหมิงรับฟังค่อยเข้าใจในเหตุผล ความอึดอัดขัดใจพอผ่อนคลายลง ค่อยสามารถยิ้มออกมาได้ ผงกศีรษะส่งเสียงรับคำ
“ ในเมื่อเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว รีบไปเก็บข้าวของเถอะ..พวกเราจะได้เดินทางเข้าเมืองหลวงกันเลย “
“ หือ ? “
คนฟังถึงกับงุนงงอีกครั้ง
“ เข้าเมืองหลวงไปทำอะไร ? “
เนี่ยเหวินตอบเสียงราบเรียบ
“ ไปสืบหาคนผู้หนึ่ง “
“ ใคร ? “
“ คนตาย ! “
“ หา ? “
เฉินชงหมิงรับฟังยิ่งงงงันใหญ่ ขณะคิดจะเอ่ยปากถาม เนี่ยเหวินก็ตัดบทเสียงเย็นชา
“ นั่นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ.. หากสนใจก็ไปกับข้า แต่หากรู้สึกเกียจคร้านไม่อยากเดินทาง ก็รออยู่ที่นี่ เรื่องนี้ความจริงไม่เกี่ยวกับกับเจ้าแม้แต่น้อย ข้าจึงไม่บังคับฝืนใจเจ้าว่าจะไปด้วยหรือไม่ “
เฉินชงหมิงมิใช่คนโง่งม จึงย่อมฟังออกว่านี่เป็นวาจากระตุ้นถึงเพียงไหน
หากถึงแม้ว่ารู้.. พอฟังจบก็ได้แต่ถอนใจ ไหนเลยสามารถโต้แย้งอะไรได้ !
.....................


♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 27 : อาวุธร้ายกาจของโฉมสะคราญ ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เนต)
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
เนี่ยเหวินเช่าห้องพักของชาวบ้านหลังหนึ่งเพื่อให้เฉินชงหมิงพักรักษาตัว อาการของเฉินชงหมิงความจริงดีขึ้นเป็นลำดับแล้ว วันนี้ระหว่างที่เนี่ยเหวินไม่อยู่ เฉินชงหมิงหลังจากรับประทานยาแล้วพักหลับไป หากจิตที่เต็มไปด้วยความแค้น บันดาลให้เขาหลับฝันเห็นเจี่ยคุณลอบลงมือฟาดจู่โจมทางข้างหลังของเฉินเซ่าเทียนผู้เป็นบิดา จากนั้นก็กระแทกกลางกระหม่อมของเฉินชิงหยุนผู้เป็นน้องชายจนสิ้นใจตายอย่างอนาถ
ภาพอันน่าสยดสยองฝังประทับจำติดตา เสียงโหยหวนเรียกหาของบิดาและน้องชาย ดังก้องสะท้อนสะท้านขึ้นในโสตประสาท
“ ชงหมิง.. ชงหมิง.. เจ้าทำอะไรอยู่.. เจ้าทำอะไรอยู่ เจ้าลืมความแค้นของพวกเราแล้วหรือ ? “
“ พี่ใหญ่.. ทำไมไม่ล้างแค้นให้พวกเรา ? ..ฆ่าเจี่ยคุน.. ล้างแค้นให้พวกเราด้วย “
เฉินชงหมิงสะท้านร่างผวาตื่นลุกขึ้นนั่งเหงื่อแตกโชก หอบหายใจรำพึงอย่างปวดร้าว
“ ท่านพ่อ.. ชิงหยุน.. ข้าไม่เคยลืมความแค้นของพวกท่าน ข้าไม่เคยลืม...”
หวนนึกถึงเหตุการณ์พ้นผ่านล่วงเลยมานาน แต่ตนเองกลับยังคงงอมืองอเท้าหลบเร้นซ่อนกาย ราวคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้าศัตรู จนต้องให้ดวงวิญญาณของบิดาและน้องชายมาเข้าฝันเพื่อทวงถามความแค้นเหล่านั้น คิดไปก็ช่างน่าละอายใจนัก
เบือนหน้าไปทางกระบี่แขวนอยู่หัวเตียง ขบคิดอยู่ชั่วขณะจึงตัดสินใจกระโดดปราดลงจากเตียง คว้ากระบี่เดินออกมาจากห้อง
เพิ่งบรรลุถึงหน้าบ้าน พลันปรากฏคนคลุมหน้าผู้หนึ่งถลันร่างเข้าขัดขวางไว้ จากนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงใด กวาดระบี่จู่โจมเข้ามา เฉินชงหมิงใจหายวาบ รีบระงับสติอย่างรวดเร็วชักกระบี่ในมือออกต้านรับ
ในเสียงเคร้งคร้างดังถี่ยิบ สองกระบี่ปะทะกันจนสะเก็ดไฟแตกกระจาย ฝ่ายตรงข้ามจัดว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง มิเพียงมีเพลงกระบี่อันรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลังข้ออันแข็งแกร่ง เฉินชงหมิงเพิ่งทุเลาจากอาการบาดเจ็บถึงกับถูกรุกไล่จนถดถอย สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายกระแทกด้ามกระบี่ใส่ข้อมือ ปัดกระบี่ในมือจนหลุดกระเด็น จากนั้นจ่อกระบี่กับลำคอ สะกดเขาไว้จนยืนนิ่งตะลึงกับที่
เฉินชงหมิงใจสั่นสะท้าน สำนึกตัวว่าครานี้ยากจะหนีรอด ได้แต่พริ้มตาลงรอรับความตาย
มิคาดคนผู้นั้นพลันปลดผ้าคลุมลง..เผยโฉมหน้าตนเองออกมา
เป็น “ เนี่ยเหวิน”
“ พี่เนี่ย ! “
เฉินชงหมิงตะลึงลานกับที่ โพล่งอย่างงุนงง
“ นี่หมายความว่าอย่างไร ? “
เนี่ยเหวินสอดกระบี่คืนฝัก แค่นเสียงดุเย็นชา
“ ปกติเจ้าเคยเยือกเย็นสุขุม แต่ไฉนเดี๋ยวนี้ยิ่งมายิ่งร้อนรุ่มวู่วามจนโง่งมไร้สติ ความใจร้อนทำลายผู้คนมามากมายแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป..ชั่วชีวิตของเจ้าก็อย่าหมายว่าจะล้างแค้นได้สำเร็จ...”
วาจานี้ฉุดรั้งให้เฉินชงหมิงได้สติขบคิด ต้องก้มศีรษะต่ำด้วยความละอายใจ
เนี่ยเหวินกล่าวต่อไปช้าๆ
“ จุดเด่นของวิชาเทวะสยบฟ้า คือสุขุม เยือกเย็น แล้วพลิ้วไหวไปตามสภาวะ แต่คุณสมบัติข้อนี้ของเจ้ายิ่งนับวันยิ่งเลือนหาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อใดเจ้าถึงจะสามารถฝึกสำเร็จถึงขั้นสูงสุด ? “
เฉินชงหมิงโดนว่ากล่าวจนสีหน้าซึมเซา เอนหลังพิงไปกับเสาไม้ หลับตาลงอย่างปวดร้าว ผงกศีรษะกล่าวอย่างยอมรับ
“ ข้าวู่วามไปจริงๆ ขอบคุณพี่ที่ช่วยเตือนสติ ..ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว..”
เนี่ยเหวินมองหน้าเขาแล้วถอนใจ
“ มีบางเรื่องที่อยากจะเตือนเจ้า ไม่ทราบจะยอมรับฟังข้าหรือไม่ ? “
“ พี่เนี่ย.. ข้ารู้ว่าท่านหวังดีต่อข้า .. ท่านสั่งสอนมาเถิด...”
“ ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ในตอนนี้เจ้ายังฆ่าเจี่ยคุนไม่ได้ “
เฉินชงหมิงงงงันวูบ โพล่งอย่างขัดเคืองใจ
“ เพราะเหตุใด ? “
“ เพราะเจี่ยคุนในตอนนี้คือประมุขแห่งบ้านเทพเจ้า ในสายตาของชาวบู๊ลิ้ม มันยังคงเป็นจอมยุทธผู้ทรงคุณธรรม หากเจ้าลงมือในตอนนี้.. เจ้าจะได้รับการต่อต้านและการตามไล่ล่าจากชาวยุทธทั่วแผ่นดิน “
“ เฮอะ.. มารร้ายบัดซบอย่างมัน หรือว่าสวรรค์ยังคิดคุ้มครอง ? “
เนี่ยเหวินกล่าวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลลง ปลอบโยนว่า
“ ไม่ตลอดไปหรอก... งูพิษอย่างมันย่อมอยู่ในคราบนักบุญได้ไม่นาน สักวันก็ต้องเผยโฉมหน้าแท้จริงออกมา พวกเราควรสืบสาวความชั่วร้ายของมันรวบรวมหลักฐานขึ้นมา แล้วค่อยหาโอกาสกระชากโฉมหน้าแท้จริงของมันประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ ..เมื่อนั้นเจ้าไม่เพียงสามารถล้างแค้นให้บิดาและน้องชายของเจ้า อีกทั้งยังสามารถล้างมลทินให้ตัวเองได้ด้วย “
เฉินชงหมิงรับฟังค่อยเข้าใจในเหตุผล ความอึดอัดขัดใจพอผ่อนคลายลง ค่อยสามารถยิ้มออกมาได้ ผงกศีรษะส่งเสียงรับคำ
“ ในเมื่อเจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว รีบไปเก็บข้าวของเถอะ..พวกเราจะได้เดินทางเข้าเมืองหลวงกันเลย “
“ หือ ? “
คนฟังถึงกับงุนงงอีกครั้ง
“ เข้าเมืองหลวงไปทำอะไร ? “
เนี่ยเหวินตอบเสียงราบเรียบ
“ ไปสืบหาคนผู้หนึ่ง “
“ ใคร ? “
“ คนตาย ! “
“ หา ? “
เฉินชงหมิงรับฟังยิ่งงงงันใหญ่ ขณะคิดจะเอ่ยปากถาม เนี่ยเหวินก็ตัดบทเสียงเย็นชา
“ นั่นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ.. หากสนใจก็ไปกับข้า แต่หากรู้สึกเกียจคร้านไม่อยากเดินทาง ก็รออยู่ที่นี่ เรื่องนี้ความจริงไม่เกี่ยวกับกับเจ้าแม้แต่น้อย ข้าจึงไม่บังคับฝืนใจเจ้าว่าจะไปด้วยหรือไม่ “
เฉินชงหมิงมิใช่คนโง่งม จึงย่อมฟังออกว่านี่เป็นวาจากระตุ้นถึงเพียงไหน
หากถึงแม้ว่ารู้.. พอฟังจบก็ได้แต่ถอนใจ ไหนเลยสามารถโต้แย้งอะไรได้ !
.....................