
☼ ☼
24:: น้ำใจประมุขมาร ☼ ☼

เฉินชงหมิงพอได้ยิน อดรู้สึกจิตใจเขม็งตึงเครียดขึ้นมามิได้ อีกฝ่ายมีบุคลิกเย็นชา ตลอดทั้งร่างฉายกลิ่นอายเยือกเย็นอำมหิต ทันทีที่มันปรากฏกาย ทั่วทั้งบริเวณก็คล้ายถูกปกคลุมด้วยรังสีแห่งความตายจนน่าอึดอัด
ฮั่วตงลิ้มเพ่งตามองเฉินชงหมิง กล่าวสุ้มเสียงราบเรียบ
“ เจ้าคือเฉินชงหมิง ? “
คนถูกเรียกหายืดอกรับอย่างมิกริ่งเกรง
“ ถูกต้อง “
“ ข้าเคยให้สัญญากับคนผู้หนึ่ง ว่าภายในหนึ่งเดือน จะนำศีรษะของเจ้าไปมอบให้ “
“ คนผู้นั้นคือเจี่ยคุน ? “
“ เจ้าทราบ ? “
“ เฮอะ.. ข้าก็เคยให้สัญญาไว้กับสหายของข้าผู้หนึ่ง ว่าจะช่วยนางกวาดล้างพรรคบัวขาว ล้างแค้นให้กับคนในครอบครัวของนาง “
“ นาง ? “
ฮั่วตงลิ้มพอฟัง ต้องประหวัดคิดถึงใครอีกคน ในใจอดรู้สึกหวิวไหวขึ้นมามิได้ หากยังคงเอ่ยปากถามเสียงเย็นชา
“ นางเป็นใคร ? “
“ พรรคบัวขาวก่อกรรมทำเข็ญ เข่นฆ่าผู้คนมากมาย มิทราบสร้างกำพร้าขึ้นมากี่ร้อยกี่พันคน บอกไปเจ้าก็คงจดจำไม่ได้ นั่นคงต้องไปขอดูบัญชีความชั่วของเจ้ากับยมบาลในปรภพเถอะ..”
กล่าวถึงตอนท้าย ซัดกระบี่หักในทิ้ง ยกมือขึ้นอยู่ในท่าพนมโคจรพลังขึ้น ตระเตรียมใช้วิชาพลังเทวะสยบฟ้าอีกครั้ง ฮั่วตงลิ้มมองด้วยสายตาเฉยชา กระทั่งน้ำเสียงก็ไร้ความรู้สึกใด
“ ด้วยอายุของเจ้าเพียงแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าสามารถฝึกวิชาพลังเทวะสยบฟ้าได้ถึงขั้นนี้แล้ว นับว่าไม่เสียทีเป็นทายาทของยอดคนแห่งยุค เจ้าเมื่อไร้อาวุธ ข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้า เรามาต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ..”
กล่าวจบสอดมีดสัตตะเทวะคืนสู่ฝัก เพื่อใช้มือเปล่าเข้าต่อกร
หากพริบตานั้นที่เฉินชงหมิงแลเห็นมีดสั้นซึ่งฟันกระบี่ของเขาหักชัดตา ถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สลายพลังที่ผนึกขึ้นมาตระเตรียมไว้อย่างลืมตัว โพล่งถามออกไป
“ มีดสัตตะเทวะนั่นเป็นของสหายข้า ไฉนเวลานี้ถึงอยู่กับเจ้า ? “
ฮั่วตงลิ้มพอฟังต้องงงงันวูบ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นมีความรู้สึกขึ้นเป็นครั้งแรก
“ เจ้าบอกว่ามีดเล่มนี้เป็นของสหายเจ้า.. สหายเจ้าเป็นใคร ? “
เฉินชงหมิงกล่าวอย่างเคียดแค้น
“ เจ้ามิต้องแกล้งทำเป็นไขสือ เจ้ามารชั่ว..เจ้าฆ่าคนในครอบครัวของนางยังไม่พอ นี่คงทำร้ายนางแย่งมีดวิเศษเล่มนี้ไปด้วยใช่หรือไม่ ช่างน่าละอายนัก วันนี้ข้าเฉินชงหมิงแม้ต้องตาย ก็ต้องฆ่าเจ้าแก้แค้นให้หลันเหลยให้จงได้ “
ฮั่วตงลิ้มพึมพำชื่อ “
หลันเหลย” พริบตานั้นในใจต้องสะทกสะท้อน ยืนนิ่งซึมเซาไปกับที่
ปวยป๋วยไหนเลยสังเกตเห็นท่าทีความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นประมุขตนเองไม่ออก แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยแต่ก็เก็บไว้ไม่ไถ่ถาม รีบส่งเสียงร้องเตือน
“ ท่านประมุข.. ระวัง “
ฮั่วตงลิ้มสะท้านตื่นจากภวังค์ เห็นเฉินชงหมิงฟาดฝ่ามือจู่โจมเข้ามาแล้ว ดังนั้นรีบผนึกพลังสุริยมันต์ขึ้น ก่อตั้งเป็นกำแพงพลังอันหนาแน่น คุ้มครองตนเองไว้ จากนั้นยกฝ่ามือขึ้นต้านรับตรงๆ
เสียงโครมดังหนักหน่วง ฝ่ามือทั้งสองพอปะทะกัน ก็ผละออกจากกันทันที เฉินชงหมิงผงะเซถอยหลังไปหลายก้าว อ้าปากกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ส่วนฮั่วตงลิ้มเพียงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ลมปราณในร่างปั่นป่วนขึ้นเล็กน้อย แล้วสงบลงอย่างรวดเร็ว
ผลการพิสูจน์ลงเอยให้เห็นความแตกต่าง พลังฝีมือของเฉินชงหมิงยังด้อยกว่าฮั่วตงลิ้มหลายขุมนัก
เห็นแน่ชัดว่าคืนนี้เฉินชงหมิงต้องเพลี่ยงพล้ำเสียที ตกอยู่ใต้เงื้อมมือคนพรรคบัวขาว หากทันใดนั้นเอง ร่างสายหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น โผทะยานเข้ามากลางวงล้อม ทิ้งกายลงด้านข้างของเฉินชงหมิง
ยามนี้แสงอุทัยเริ่มเรืองรอง หากทั่วบริเวณนั้นยังคงสาดสว่างด้วยแสงคบไฟ ลิ้วฮวยอี่พอเห็นใบหน้าของบุรุษหนุ่มที่เพิ่งมาชัดตา อดมีสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้ รีบร้องบอก
“ ท่านประมุข.. คนที่ช่วยเหลือเจ้าเด็กแซ่เฉินเมื่อคราวก่อน คือเจ้าคนตัดฟืนผู้นี้เอง ! “
ฮั่วตงลิ้มเพ่งตามองอีกฝ่าย แค่นเสียงเย็นชา
“ ท่านเป็นใคร ? “
ผู้มาย่อมเป็นเนี่ยเหวิน ยามนั้นจับจ้องมองผู้ถูกเรียกหาว่า “
ท่านประมุข” อย่างตรงๆเช่นกัน
“ พลังสุริยเหมันต์อันร้ายกาจ.. แต่ว่า..เจ้ามิใช่ฮั่วฝูอี้ ! “
“ ท่านรู้จักบิดาของข้า ? “
“ ฮั่วฝูอี้ที่แท้คือบิดาของเจ้า.. เวลานี้มันอยู่ที่ใด ? “
“ ท่านผู้เฒ่าล่วงลับไปหลายเดือนแล้ว “
เนี่ยเหวินอึ้งไปวูบหนึ่ง สักครู่ค่อยทอดถอนใจอย่างสะทกสะท้อน
“ คิดไม่ถึงสวรรค์มิเป็นใจ ในที่สุดศัตรูก็ทยอยตายจากไปอีกคน แล้วหนี้แค้นอันหนักอึ้ง จะเรียกชำระจากผู้ใด ? “
กล่าวจบก็ถอนใจออกมาอีกคำ หันไปประคองเฉินชงหมิงพลางกล่าวว่า
“ เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เรากลับกันเถอะ “
เฉินชงหมิงกล่าวอย่างงุนงง
“ ศัตรูอยู่ตรงหน้า ท่านไยมิลงมือ ? “
“ นั่นมิใช่ศัตรูของข้า ศัตรูของข้าคือฮั่วฝูอี้ “
“ แต่มันเป็นบุตรชายของศัตรูท่าน หนี้แค้นที่บิดาทำไว้ บุตรควรรับช่วงชดใช้ “
เนี่ยเหวินเบือนหน้าไปทางฮั่งตงลิ้มแว่บหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“ ความรักความแค้น มิใช่สิ่งของ ไหนเลยเรียกให้ผู้อื่นชดใช้แทนกันได้ บิดาอยู่ส่วนบิดา บุตรก็อยู่ส่วนบุตร คนเมื่อตายไป ความแค้นก็เท่ากับตายไปด้วยเช่นกัน ...”
ทุกคนในที่นั้นรับฟังจนตะลึงลานกับที่ ไหนเลยคาดคิดว่า ในโลกจะมีบุคคลเยี่ยงนี้อยู่ด้วย ?
เฉินชงหมิงเมื่อหยัดยืนได้ด้วยตนเอง ก็สะบัดมือออกจากการประคอง กล่าวเสียงเย็นชา
“ ในเมื่อท่านไม่คิดลงมือ งั้นข้าก็ขอลงมือเอง “
“ เจ้ามีความแค้นใดกับมัน ? “
“ มันเคยลงมือทำร้ายบิดาของข้า ทั้งยังสมคบกับเจี่ยคุณสังหารอาหยุนป้ายมลทินให้กับข้า ที่สำคัญ.. คนในบ้านของหลันเหลย ก็ยังถูกมันสั่งฆ่า แถมยังเผาบ้านจนมอดไหม้ อย่าว่าแต่เวลานี้..หลันเหลยก็อาจจะประสบคราเคราะห์เพราะมันไปแล้วด้วยเช่นกัน ความแค้นทั้งหมดนี้.. ข้าคงต้องทวงถามเอาจากมัน ! “
เนี่ยเหวินขมวดคิ้ว อดถามมิได้
“ หลันเหลยเป็นใคร ? “
“ นางเป็นสหายของข้า อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิตข้า “
ฮั่วตงลิ้มยืนฟังถึงตอนนี้ พลันถามว่า
“ หลันเหลยที่ท่านเอ่ยถึง ใช่เป็นซิมหลันเหลยหรือไม่ ? “
“ ถูกต้อง... บอกมา เกิดอะไรขึ้นกับนาง เจ้าทำอะไรนาง ? “
“
นางตายแล้ว ! “
เฉินชงหมิงรับฟังจนสะท้านใจอย่างรุนแรง กระชากเสียงถาม
“ เจ้าฆ่านาง ? “
“ ใช่ ! “
“ มารชั่ว.. เจ้า..! “
ขณะจะถาโถมกายเข้าไป ก็ถูกเนี่ยเหวินรั้งตัวเอาไว้
ฮั่วตงลิ้มกล่าวเสียงราบเรียบ
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสหายของหลันเหลย คืนนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ตอนนี้ดูเจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทางที่ดีก็กลับไปพักรักษาตัวให้หาย ถ้าหากคิดจะล้างแค้น ก็รอจนสภาพเจ้าพร้อมกว่านี้ แล้วเราค่อยนัดประลองกันอีกครั้ง...”
กล่าวจบหันกายเดินจากไป
ทั้งปวยป๋วยและลิ้มฮวยอี่ต่างพากันสบตากันอย่างงุนงง แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงท้วงติง ได้แต่โบกมือสั่งเหล่าบริวารที่เหลือ พากันล่าถอยออกมา
เฉินชงหมิงคิดจะติดตาม แต่ก็ถูกเนี่ยเหวินฉุดรั้งเอาไว้อีกครั้ง กล่าวอย่างเอือมระอา
“ ผู้อื่นมีน้ำใจให้โอกาสเจ้าถึงเพียงนี้ นี่เจ้ายังคิดดันทุรังกระทำเรื่องโง่เขลาอีกหรือ ? “
“ เฮอะ..เฮอะ.. คนอย่างมันน่ะหรือ.. มีน้ำใจ ? “
เนี่ยเหวินคร้านที่จะถกเถียงกับเขา เบือนหน้าไปทางทิศที่อีกฝ่ายจากไป พลางพึมพำเบาๆในคอ
“ คนผู้นี้แม้อำมหิตเย็นชา แต่คล้ายยังคงหลงเหลือสันดานดีอยู่บ้าง หากข้าสามารถดึงมันกลับสู่ความดีงามได้ มิทราบจะเป็นบุญวาสนาแก่บู๊ลิ้มสักปานใด ? “
............................................



♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 24 : น้ำใจประมุขมาร ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
เฉินชงหมิงพอได้ยิน อดรู้สึกจิตใจเขม็งตึงเครียดขึ้นมามิได้ อีกฝ่ายมีบุคลิกเย็นชา ตลอดทั้งร่างฉายกลิ่นอายเยือกเย็นอำมหิต ทันทีที่มันปรากฏกาย ทั่วทั้งบริเวณก็คล้ายถูกปกคลุมด้วยรังสีแห่งความตายจนน่าอึดอัด
ฮั่วตงลิ้มเพ่งตามองเฉินชงหมิง กล่าวสุ้มเสียงราบเรียบ
“ เจ้าคือเฉินชงหมิง ? “
คนถูกเรียกหายืดอกรับอย่างมิกริ่งเกรง
“ ถูกต้อง “
“ ข้าเคยให้สัญญากับคนผู้หนึ่ง ว่าภายในหนึ่งเดือน จะนำศีรษะของเจ้าไปมอบให้ “
“ คนผู้นั้นคือเจี่ยคุน ? “
“ เจ้าทราบ ? “
“ เฮอะ.. ข้าก็เคยให้สัญญาไว้กับสหายของข้าผู้หนึ่ง ว่าจะช่วยนางกวาดล้างพรรคบัวขาว ล้างแค้นให้กับคนในครอบครัวของนาง “
“ นาง ? “
ฮั่วตงลิ้มพอฟัง ต้องประหวัดคิดถึงใครอีกคน ในใจอดรู้สึกหวิวไหวขึ้นมามิได้ หากยังคงเอ่ยปากถามเสียงเย็นชา
“ นางเป็นใคร ? “
“ พรรคบัวขาวก่อกรรมทำเข็ญ เข่นฆ่าผู้คนมากมาย มิทราบสร้างกำพร้าขึ้นมากี่ร้อยกี่พันคน บอกไปเจ้าก็คงจดจำไม่ได้ นั่นคงต้องไปขอดูบัญชีความชั่วของเจ้ากับยมบาลในปรภพเถอะ..”
กล่าวถึงตอนท้าย ซัดกระบี่หักในทิ้ง ยกมือขึ้นอยู่ในท่าพนมโคจรพลังขึ้น ตระเตรียมใช้วิชาพลังเทวะสยบฟ้าอีกครั้ง ฮั่วตงลิ้มมองด้วยสายตาเฉยชา กระทั่งน้ำเสียงก็ไร้ความรู้สึกใด
“ ด้วยอายุของเจ้าเพียงแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าสามารถฝึกวิชาพลังเทวะสยบฟ้าได้ถึงขั้นนี้แล้ว นับว่าไม่เสียทีเป็นทายาทของยอดคนแห่งยุค เจ้าเมื่อไร้อาวุธ ข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้า เรามาต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ..”
กล่าวจบสอดมีดสัตตะเทวะคืนสู่ฝัก เพื่อใช้มือเปล่าเข้าต่อกร
หากพริบตานั้นที่เฉินชงหมิงแลเห็นมีดสั้นซึ่งฟันกระบี่ของเขาหักชัดตา ถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป สลายพลังที่ผนึกขึ้นมาตระเตรียมไว้อย่างลืมตัว โพล่งถามออกไป
“ มีดสัตตะเทวะนั่นเป็นของสหายข้า ไฉนเวลานี้ถึงอยู่กับเจ้า ? “
ฮั่วตงลิ้มพอฟังต้องงงงันวูบ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นมีความรู้สึกขึ้นเป็นครั้งแรก
“ เจ้าบอกว่ามีดเล่มนี้เป็นของสหายเจ้า.. สหายเจ้าเป็นใคร ? “
เฉินชงหมิงกล่าวอย่างเคียดแค้น
“ เจ้ามิต้องแกล้งทำเป็นไขสือ เจ้ามารชั่ว..เจ้าฆ่าคนในครอบครัวของนางยังไม่พอ นี่คงทำร้ายนางแย่งมีดวิเศษเล่มนี้ไปด้วยใช่หรือไม่ ช่างน่าละอายนัก วันนี้ข้าเฉินชงหมิงแม้ต้องตาย ก็ต้องฆ่าเจ้าแก้แค้นให้หลันเหลยให้จงได้ “
ฮั่วตงลิ้มพึมพำชื่อ “หลันเหลย” พริบตานั้นในใจต้องสะทกสะท้อน ยืนนิ่งซึมเซาไปกับที่
ปวยป๋วยไหนเลยสังเกตเห็นท่าทีความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นประมุขตนเองไม่ออก แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยแต่ก็เก็บไว้ไม่ไถ่ถาม รีบส่งเสียงร้องเตือน
“ ท่านประมุข.. ระวัง “
ฮั่วตงลิ้มสะท้านตื่นจากภวังค์ เห็นเฉินชงหมิงฟาดฝ่ามือจู่โจมเข้ามาแล้ว ดังนั้นรีบผนึกพลังสุริยมันต์ขึ้น ก่อตั้งเป็นกำแพงพลังอันหนาแน่น คุ้มครองตนเองไว้ จากนั้นยกฝ่ามือขึ้นต้านรับตรงๆ
เสียงโครมดังหนักหน่วง ฝ่ามือทั้งสองพอปะทะกัน ก็ผละออกจากกันทันที เฉินชงหมิงผงะเซถอยหลังไปหลายก้าว อ้าปากกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ส่วนฮั่วตงลิ้มเพียงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ลมปราณในร่างปั่นป่วนขึ้นเล็กน้อย แล้วสงบลงอย่างรวดเร็ว
ผลการพิสูจน์ลงเอยให้เห็นความแตกต่าง พลังฝีมือของเฉินชงหมิงยังด้อยกว่าฮั่วตงลิ้มหลายขุมนัก
เห็นแน่ชัดว่าคืนนี้เฉินชงหมิงต้องเพลี่ยงพล้ำเสียที ตกอยู่ใต้เงื้อมมือคนพรรคบัวขาว หากทันใดนั้นเอง ร่างสายหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น โผทะยานเข้ามากลางวงล้อม ทิ้งกายลงด้านข้างของเฉินชงหมิง
ยามนี้แสงอุทัยเริ่มเรืองรอง หากทั่วบริเวณนั้นยังคงสาดสว่างด้วยแสงคบไฟ ลิ้วฮวยอี่พอเห็นใบหน้าของบุรุษหนุ่มที่เพิ่งมาชัดตา อดมีสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้ รีบร้องบอก
“ ท่านประมุข.. คนที่ช่วยเหลือเจ้าเด็กแซ่เฉินเมื่อคราวก่อน คือเจ้าคนตัดฟืนผู้นี้เอง ! “
ฮั่วตงลิ้มเพ่งตามองอีกฝ่าย แค่นเสียงเย็นชา
“ ท่านเป็นใคร ? “
ผู้มาย่อมเป็นเนี่ยเหวิน ยามนั้นจับจ้องมองผู้ถูกเรียกหาว่า “ท่านประมุข” อย่างตรงๆเช่นกัน
“ พลังสุริยเหมันต์อันร้ายกาจ.. แต่ว่า..เจ้ามิใช่ฮั่วฝูอี้ ! “
“ ท่านรู้จักบิดาของข้า ? “
“ ฮั่วฝูอี้ที่แท้คือบิดาของเจ้า.. เวลานี้มันอยู่ที่ใด ? “
“ ท่านผู้เฒ่าล่วงลับไปหลายเดือนแล้ว “
เนี่ยเหวินอึ้งไปวูบหนึ่ง สักครู่ค่อยทอดถอนใจอย่างสะทกสะท้อน
“ คิดไม่ถึงสวรรค์มิเป็นใจ ในที่สุดศัตรูก็ทยอยตายจากไปอีกคน แล้วหนี้แค้นอันหนักอึ้ง จะเรียกชำระจากผู้ใด ? “
กล่าวจบก็ถอนใจออกมาอีกคำ หันไปประคองเฉินชงหมิงพลางกล่าวว่า
“ เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เรากลับกันเถอะ “
เฉินชงหมิงกล่าวอย่างงุนงง
“ ศัตรูอยู่ตรงหน้า ท่านไยมิลงมือ ? “
“ นั่นมิใช่ศัตรูของข้า ศัตรูของข้าคือฮั่วฝูอี้ “
“ แต่มันเป็นบุตรชายของศัตรูท่าน หนี้แค้นที่บิดาทำไว้ บุตรควรรับช่วงชดใช้ “
เนี่ยเหวินเบือนหน้าไปทางฮั่งตงลิ้มแว่บหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า
“ ความรักความแค้น มิใช่สิ่งของ ไหนเลยเรียกให้ผู้อื่นชดใช้แทนกันได้ บิดาอยู่ส่วนบิดา บุตรก็อยู่ส่วนบุตร คนเมื่อตายไป ความแค้นก็เท่ากับตายไปด้วยเช่นกัน ...”
ทุกคนในที่นั้นรับฟังจนตะลึงลานกับที่ ไหนเลยคาดคิดว่า ในโลกจะมีบุคคลเยี่ยงนี้อยู่ด้วย ?
เฉินชงหมิงเมื่อหยัดยืนได้ด้วยตนเอง ก็สะบัดมือออกจากการประคอง กล่าวเสียงเย็นชา
“ ในเมื่อท่านไม่คิดลงมือ งั้นข้าก็ขอลงมือเอง “
“ เจ้ามีความแค้นใดกับมัน ? “
“ มันเคยลงมือทำร้ายบิดาของข้า ทั้งยังสมคบกับเจี่ยคุณสังหารอาหยุนป้ายมลทินให้กับข้า ที่สำคัญ.. คนในบ้านของหลันเหลย ก็ยังถูกมันสั่งฆ่า แถมยังเผาบ้านจนมอดไหม้ อย่าว่าแต่เวลานี้..หลันเหลยก็อาจจะประสบคราเคราะห์เพราะมันไปแล้วด้วยเช่นกัน ความแค้นทั้งหมดนี้.. ข้าคงต้องทวงถามเอาจากมัน ! “
เนี่ยเหวินขมวดคิ้ว อดถามมิได้
“ หลันเหลยเป็นใคร ? “
“ นางเป็นสหายของข้า อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณเคยช่วยชีวิตข้า “
ฮั่วตงลิ้มยืนฟังถึงตอนนี้ พลันถามว่า
“ หลันเหลยที่ท่านเอ่ยถึง ใช่เป็นซิมหลันเหลยหรือไม่ ? “
“ ถูกต้อง... บอกมา เกิดอะไรขึ้นกับนาง เจ้าทำอะไรนาง ? “
“ นางตายแล้ว ! “
เฉินชงหมิงรับฟังจนสะท้านใจอย่างรุนแรง กระชากเสียงถาม
“ เจ้าฆ่านาง ? “
“ ใช่ ! “
“ มารชั่ว.. เจ้า..! “
ขณะจะถาโถมกายเข้าไป ก็ถูกเนี่ยเหวินรั้งตัวเอาไว้
ฮั่วตงลิ้มกล่าวเสียงราบเรียบ
“ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสหายของหลันเหลย คืนนี้ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ตอนนี้ดูเจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทางที่ดีก็กลับไปพักรักษาตัวให้หาย ถ้าหากคิดจะล้างแค้น ก็รอจนสภาพเจ้าพร้อมกว่านี้ แล้วเราค่อยนัดประลองกันอีกครั้ง...”
กล่าวจบหันกายเดินจากไป
ทั้งปวยป๋วยและลิ้มฮวยอี่ต่างพากันสบตากันอย่างงุนงง แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงท้วงติง ได้แต่โบกมือสั่งเหล่าบริวารที่เหลือ พากันล่าถอยออกมา
เฉินชงหมิงคิดจะติดตาม แต่ก็ถูกเนี่ยเหวินฉุดรั้งเอาไว้อีกครั้ง กล่าวอย่างเอือมระอา
“ ผู้อื่นมีน้ำใจให้โอกาสเจ้าถึงเพียงนี้ นี่เจ้ายังคิดดันทุรังกระทำเรื่องโง่เขลาอีกหรือ ? “
“ เฮอะ..เฮอะ.. คนอย่างมันน่ะหรือ.. มีน้ำใจ ? “
เนี่ยเหวินคร้านที่จะถกเถียงกับเขา เบือนหน้าไปทางทิศที่อีกฝ่ายจากไป พลางพึมพำเบาๆในคอ
“ คนผู้นี้แม้อำมหิตเย็นชา แต่คล้ายยังคงหลงเหลือสันดานดีอยู่บ้าง หากข้าสามารถดึงมันกลับสู่ความดีงามได้ มิทราบจะเป็นบุญวาสนาแก่บู๊ลิ้มสักปานใด ? “
............................................