☼ ☼ 15:: หนีตายกลางวงล้อม ☼ ☼
หลังจากโดนแย่งงานไปทำ หลันเหลยก็กลับเข้าบ้าน หันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำอะไรดี สุดท้ายเห็นกองเสื้อผ้าใช้แล้ววางพาดอยู่ จึงหอบทั้งหมดไปซักที่ลานข้างบ่อน้ำ ซักไปได้สักพักองค์ชายก่วงหยางก็ทรงแบกจอบเดินผ่านมา พอเห็นเข้าก็ต้องชะงัก รีบสาวพระบาทเข้ามาร้องถาม
“ อาเหลย.. ทำไมถึงซักผ้าเองล่ะ ? “
หลันเหลยงงงันวูบ เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างรำคาญ
“ พวกท่านแย่งงานข้าไปทำเองเกือบทุกอย่าง จนข้าไม่รู้จะทำอะไรแล้ว งานถางหญ้าขุดดินท่านบอกว่าเป็นงานของผู้ชาย ข้าไม่ทำก็ได้ แต่งานซักผ้าเป็นงานของผู้หญิง อย่าบอกนะว่าท่านจะทำเองอีก ? “
“ แต่เสื้อผ้าของข้ากับฮั่นกุน เราซักกันเองก็ได้ “
“ งั้นเสื้อผ้าของข้า.. ข้าก็ต้องซักเองนะ “
กล่าวจบก็ก้มหน้าก้มตาซักผ้าของตนเองต่อ ไม่สนใจเขาอีก
องค์ชายก่วงหยางประทับยืนนิ่ง ราวจมอยู่ใต้ภวังค์ครุ่นคิดจนเซื่องซึม ครู่หนึ่งก็วางจอบลงแล้วยอบพระวรกายลงข้างๆนาง พริบตานั้นคล้ายมองเห็นใบหน้าน้อยๆที่ลอยอยู่ใกล้ๆ คือองค์หญิงเซียงหัว ถึงกับระงับพระทัยไว้ไม่อยู่ ยื่นพระหัตถ์ออกไปกุมมือของหลันเหลยไว้ เพ้อเรียกหาอย่างลืมพระองค์
“ หัวเอ๋อ... นี่เจ้าจริงๆใช่ไหม ? “
หลันเหลยเคยได้ยินเขาชอบเพ้อเรียกหานางมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอีก สะบัดมือเบาๆ แล้วกวักน้ำเปล่าในถังใส่หน้าเขา หัวร่อพลางร้องว่า
“ นี่.. พี่เยี่ย... สติสตังท่านยังดีอยู่รึเปล่า หรือว่าหลับกลางวันอีกแล้ว ? ข้าหลันเหลยนะ ไม่ใช่หัวเอ๋ออะไรของพี่.. ตื่นได้แล้ว “
องค์ชายก่วงหยางค่อยตื่นจากภวังค์ ถอนพระทัยอย่างหดหู่ รับสั่งด้วยสีพระพักตร์หม่นหมอง
“ ข้าขอโทษ ”
หลันเหลยส่ายหน้าอย่างขำๆไม่ถือสา ผุดลุกขึ้นเอาผ้าไปตาก เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งก็เห็นเขายังนั่งอยู่ที่เดิม จึงเดินเข้ามาใกล้ๆส่งเสียงเรียกหาอย่างเป็นห่วง
“ พี่เยี่ย... เป็นอะไรไปรึเปล่า ? “
บุรุษหนุ่มสั่นศีรษะกล่าวปฏิเสธว่า “ไม่มีอะไร” พลางยืดพระวรกายประทับยืนขึ้น
หลันเหลยเอียงหน้ามองเขา ขบคิดเล็กน้อย เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ คิดถึงน้องสาวของท่านคนนั้นอีกแล้วสิใช่ไหม ? “
องค์ชายก่วงหยางขมวดพระขนง ถามอย่างแปลกพระทัย
“ น้องสาว... คนไหนหรือ ? “
“ ก้อ.... คนที่ท่านเคยบอกว่านางเพิ่งเสียชีวิตจากไปเมื่อไม่นานมานี้..ดูเหมือน.. นางจะชื่อหัวเอ๋อ..สินะ วันก่อนตอนที่ท่านเมามายไม่ได้สติ ท่านก็เอาแต่เพ้อเรียกหานาง แม้แต่ตอนนอนหลับ ก็ยังละเมอเรียกชื่อนางออกมาตั้งหลายครั้ง “
“ งั้นหรือ ? “
หลันเหลยพยักหน้าร้อง “ฮื่อ” เป็นการยืนยัน พอเห็นเขายืนนิ่งซึมไปอีกครั้ง จึงวางมือแตะบนแขนของเขาเบาๆ กล่าวปลอบโยน
“ คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน หากเอาแต่คิดถึงก็มีแต่ปวดร้าวใจ ชีวิตคนยังมีวันข้างหน้าอีกยาวไกล ท่านอย่ามัวเอาตัวเองไปจมอยู่แต่อดีตให้เสียเวลาเลย.. เชื่อข้าเถอะ.. อะไรที่พอจะลืมได้ ก็ลืมไปเสียบ้าง “
องค์ชายก่วงหยางทอดถอนพระทัย รับสั่งอย่างเลื่อนลอย
“ ข้าพยายามแล้ว แต่คงไม่สามารถลืมนางได้..”
“ พวกท่านสองพี่น้อง คงสนิทสนมผูกพันกันมาก “
“ อืม...”
“ ท่านรักนางมากใช่ไหม ? “
ทรงจับจ้องมองดวงตาของนาง ราวจะมองลึกลงไปค้นหาดวงเนตรคู่งามของใครอีกคน ก่อนจะรับสั่งเบาๆ “ ใช่.. ข้ารักนางมาก หากข้าสามารถตายแทนนางได้ ข้าก็ยินดี “
หลันเหลยกล่าวอย่างตื้นตัน
“ น้องสาวของท่าน มีพี่ชายที่ดีเช่นท่าน ข้ารู้สึกอิจฉาจริงๆ “
องค์ชายก่วงหยางแย้มสรวลอย่างฝืนๆ ตรัสว่า
“ แต่ศิษย์พี่ของเจ้า ก็เป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งเหมือนกัน “
หลันเหลยไม่พูดอะไรต่อ ในใจกลับจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
............................
เย็นวันนั้นหลัยเหลยอาสาเข้ามาช่วยเหวินฮั่นกุนหั่นผักในครัว เบือนหน้าไปทางชายหนุ่มที่กำลังวางหม้อหุงข้าวอยู่บนเตาไฟ ขบคิดเล็กน้อย ค่อยส่งเสียงเรียกหา
“ พี่ฮั่นกุน ? “
“ อืม...”
“ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย ? “
“ ก็ถามมาสิ...”
“ เอ่อ... นี่พี่.. ถ้าสมมุติว่ามีสักวัน ที่ข้าเกิดมีอันเป็นไป ท่านจะทำอย่างไร ? “
“ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ? “
เหวินฮั่นกุนนั่งยองๆลงเขี่ยถ่านในเตาไฟ พลางย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่สนใจนัก
หลันเหลยตะกุกตะกักเล็กน้อย กล่าวเสียงอ้อยอิ่ง
“ ก็.. เช่นถ้าเกิดว่า ข้าต้องตายไป หรือว่ามีอันต้องพลัดพรากจากท่านไปไกล...ท่าน....”
ชายหนุ่มรับฟังจนงุนงง เบือนหน้าไปมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปดูไฟในเตาต่อพลางแค่นเสียงหัวเราะหึหึในลำคอเบาๆ หลันเหลยชมดูจนขุ่นเคือง ร้องอย่างงอนๆ
“ ทำไม.. คำถามของผู้อื่นน่าขำนักหรือ ? “
คราวนี้คนถูกถามพลันหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า
“ ก็ใช่น่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ ถ้าเจ้าเกิดตายไป แล้วข้าจะทำอย่างไร “
“ ก็ข้าอยากรู้นี่นา.. ว่าท่านจะทำยังไง “
“ แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ ? “ เขาตอบไปก็เขี่ยไฟในเตาไป กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ ข้าไม่ใช่เทวดาที่ชุบชีวิตใครได้ ดังนั้นถ้าเจ้าตาย ข้าทำได้ก็แค่เอาไปฝัง ไม่ก็เอาไปเผา .. หรือเจ้าอยากจะให้ข้าจัดการยังไง ? “
กล่าวไม่ทันจบประโยคสุดท้าย ได้ยินเสียงกระแทกมีดกับเขียงไม้ดังปัง
เหวินฮั่นกุนสะดุ้ง เหลียวหน้ากลับมา ก็เห็นหลันเหลยทำหน้าหงิกงอ แยกเขี้ยวขึงตาใส่เขาราวจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะสะบัดหน้างอนตุ๊บป่องเดินออกไป
ชายหนุ่มหัวร่อหึหึเสียงเบาในลำคอ ลุกเข้ามาหั่นผักต่อจากนาง พอหวนนึกถึงคำถามของหลันเหลยเมื่อสักครู่อีกครั้ง อากัปกิริยาทั้งหมดก็ชะงักค้างไปอย่างลืมตัว ฝืนยิ้มพึมพำกับตนเอง
“ เด็กโง่เอ๊ย..ถามมาได้ ถ้าเกิดเจ้าเป็นอะไรไป แล้วชีวิตข้าจะอยู่ต่อโดยไม่มีเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ? “
รำพึงถึงตอนท้าย ค่อยทอดถอนใจยาวๆออกมา
.......................................



♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 15: หนีตายกลางวงล้อม ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[ขอบคุณคลิปประดับกระทู้จากยูทู้ป ]
หลังจากโดนแย่งงานไปทำ หลันเหลยก็กลับเข้าบ้าน หันรีหันขวาง ไม่รู้จะทำอะไรดี สุดท้ายเห็นกองเสื้อผ้าใช้แล้ววางพาดอยู่ จึงหอบทั้งหมดไปซักที่ลานข้างบ่อน้ำ ซักไปได้สักพักองค์ชายก่วงหยางก็ทรงแบกจอบเดินผ่านมา พอเห็นเข้าก็ต้องชะงัก รีบสาวพระบาทเข้ามาร้องถาม
“ อาเหลย.. ทำไมถึงซักผ้าเองล่ะ ? “
หลันเหลยงงงันวูบ เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างรำคาญ
“ พวกท่านแย่งงานข้าไปทำเองเกือบทุกอย่าง จนข้าไม่รู้จะทำอะไรแล้ว งานถางหญ้าขุดดินท่านบอกว่าเป็นงานของผู้ชาย ข้าไม่ทำก็ได้ แต่งานซักผ้าเป็นงานของผู้หญิง อย่าบอกนะว่าท่านจะทำเองอีก ? “
“ แต่เสื้อผ้าของข้ากับฮั่นกุน เราซักกันเองก็ได้ “
“ งั้นเสื้อผ้าของข้า.. ข้าก็ต้องซักเองนะ “
กล่าวจบก็ก้มหน้าก้มตาซักผ้าของตนเองต่อ ไม่สนใจเขาอีก
องค์ชายก่วงหยางประทับยืนนิ่ง ราวจมอยู่ใต้ภวังค์ครุ่นคิดจนเซื่องซึม ครู่หนึ่งก็วางจอบลงแล้วยอบพระวรกายลงข้างๆนาง พริบตานั้นคล้ายมองเห็นใบหน้าน้อยๆที่ลอยอยู่ใกล้ๆ คือองค์หญิงเซียงหัว ถึงกับระงับพระทัยไว้ไม่อยู่ ยื่นพระหัตถ์ออกไปกุมมือของหลันเหลยไว้ เพ้อเรียกหาอย่างลืมพระองค์
“ หัวเอ๋อ... นี่เจ้าจริงๆใช่ไหม ? “
หลันเหลยเคยได้ยินเขาชอบเพ้อเรียกหานางมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอีก สะบัดมือเบาๆ แล้วกวักน้ำเปล่าในถังใส่หน้าเขา หัวร่อพลางร้องว่า
“ นี่.. พี่เยี่ย... สติสตังท่านยังดีอยู่รึเปล่า หรือว่าหลับกลางวันอีกแล้ว ? ข้าหลันเหลยนะ ไม่ใช่หัวเอ๋ออะไรของพี่.. ตื่นได้แล้ว “
องค์ชายก่วงหยางค่อยตื่นจากภวังค์ ถอนพระทัยอย่างหดหู่ รับสั่งด้วยสีพระพักตร์หม่นหมอง
“ ข้าขอโทษ ”
หลันเหลยส่ายหน้าอย่างขำๆไม่ถือสา ผุดลุกขึ้นเอาผ้าไปตาก เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งก็เห็นเขายังนั่งอยู่ที่เดิม จึงเดินเข้ามาใกล้ๆส่งเสียงเรียกหาอย่างเป็นห่วง
“ พี่เยี่ย... เป็นอะไรไปรึเปล่า ? “
บุรุษหนุ่มสั่นศีรษะกล่าวปฏิเสธว่า “ไม่มีอะไร” พลางยืดพระวรกายประทับยืนขึ้น
หลันเหลยเอียงหน้ามองเขา ขบคิดเล็กน้อย เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ คิดถึงน้องสาวของท่านคนนั้นอีกแล้วสิใช่ไหม ? “
องค์ชายก่วงหยางขมวดพระขนง ถามอย่างแปลกพระทัย
“ น้องสาว... คนไหนหรือ ? “
“ ก้อ.... คนที่ท่านเคยบอกว่านางเพิ่งเสียชีวิตจากไปเมื่อไม่นานมานี้..ดูเหมือน.. นางจะชื่อหัวเอ๋อ..สินะ วันก่อนตอนที่ท่านเมามายไม่ได้สติ ท่านก็เอาแต่เพ้อเรียกหานาง แม้แต่ตอนนอนหลับ ก็ยังละเมอเรียกชื่อนางออกมาตั้งหลายครั้ง “
“ งั้นหรือ ? “
หลันเหลยพยักหน้าร้อง “ฮื่อ” เป็นการยืนยัน พอเห็นเขายืนนิ่งซึมไปอีกครั้ง จึงวางมือแตะบนแขนของเขาเบาๆ กล่าวปลอบโยน
“ คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืน หากเอาแต่คิดถึงก็มีแต่ปวดร้าวใจ ชีวิตคนยังมีวันข้างหน้าอีกยาวไกล ท่านอย่ามัวเอาตัวเองไปจมอยู่แต่อดีตให้เสียเวลาเลย.. เชื่อข้าเถอะ.. อะไรที่พอจะลืมได้ ก็ลืมไปเสียบ้าง “
องค์ชายก่วงหยางทอดถอนพระทัย รับสั่งอย่างเลื่อนลอย
“ ข้าพยายามแล้ว แต่คงไม่สามารถลืมนางได้..”
“ พวกท่านสองพี่น้อง คงสนิทสนมผูกพันกันมาก “
“ อืม...”
“ ท่านรักนางมากใช่ไหม ? “
ทรงจับจ้องมองดวงตาของนาง ราวจะมองลึกลงไปค้นหาดวงเนตรคู่งามของใครอีกคน ก่อนจะรับสั่งเบาๆ “ ใช่.. ข้ารักนางมาก หากข้าสามารถตายแทนนางได้ ข้าก็ยินดี “
หลันเหลยกล่าวอย่างตื้นตัน
“ น้องสาวของท่าน มีพี่ชายที่ดีเช่นท่าน ข้ารู้สึกอิจฉาจริงๆ “
องค์ชายก่วงหยางแย้มสรวลอย่างฝืนๆ ตรัสว่า
“ แต่ศิษย์พี่ของเจ้า ก็เป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งเหมือนกัน “
หลันเหลยไม่พูดอะไรต่อ ในใจกลับจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
............................
เย็นวันนั้นหลัยเหลยอาสาเข้ามาช่วยเหวินฮั่นกุนหั่นผักในครัว เบือนหน้าไปทางชายหนุ่มที่กำลังวางหม้อหุงข้าวอยู่บนเตาไฟ ขบคิดเล็กน้อย ค่อยส่งเสียงเรียกหา
“ พี่ฮั่นกุน ? “
“ อืม...”
“ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย ? “
“ ก็ถามมาสิ...”
“ เอ่อ... นี่พี่.. ถ้าสมมุติว่ามีสักวัน ที่ข้าเกิดมีอันเป็นไป ท่านจะทำอย่างไร ? “
“ เป็นอะไรไปอีกล่ะ ? “
เหวินฮั่นกุนนั่งยองๆลงเขี่ยถ่านในเตาไฟ พลางย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่สนใจนัก
หลันเหลยตะกุกตะกักเล็กน้อย กล่าวเสียงอ้อยอิ่ง
“ ก็.. เช่นถ้าเกิดว่า ข้าต้องตายไป หรือว่ามีอันต้องพลัดพรากจากท่านไปไกล...ท่าน....”
ชายหนุ่มรับฟังจนงุนงง เบือนหน้าไปมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปดูไฟในเตาต่อพลางแค่นเสียงหัวเราะหึหึในลำคอเบาๆ หลันเหลยชมดูจนขุ่นเคือง ร้องอย่างงอนๆ
“ ทำไม.. คำถามของผู้อื่นน่าขำนักหรือ ? “
คราวนี้คนถูกถามพลันหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า
“ ก็ใช่น่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ ถ้าเจ้าเกิดตายไป แล้วข้าจะทำอย่างไร “
“ ก็ข้าอยากรู้นี่นา.. ว่าท่านจะทำยังไง “
“ แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ ? “ เขาตอบไปก็เขี่ยไฟในเตาไป กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ ข้าไม่ใช่เทวดาที่ชุบชีวิตใครได้ ดังนั้นถ้าเจ้าตาย ข้าทำได้ก็แค่เอาไปฝัง ไม่ก็เอาไปเผา .. หรือเจ้าอยากจะให้ข้าจัดการยังไง ? “
กล่าวไม่ทันจบประโยคสุดท้าย ได้ยินเสียงกระแทกมีดกับเขียงไม้ดังปัง
เหวินฮั่นกุนสะดุ้ง เหลียวหน้ากลับมา ก็เห็นหลันเหลยทำหน้าหงิกงอ แยกเขี้ยวขึงตาใส่เขาราวจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะสะบัดหน้างอนตุ๊บป่องเดินออกไป
ชายหนุ่มหัวร่อหึหึเสียงเบาในลำคอ ลุกเข้ามาหั่นผักต่อจากนาง พอหวนนึกถึงคำถามของหลันเหลยเมื่อสักครู่อีกครั้ง อากัปกิริยาทั้งหมดก็ชะงักค้างไปอย่างลืมตัว ฝืนยิ้มพึมพำกับตนเอง
“ เด็กโง่เอ๊ย..ถามมาได้ ถ้าเกิดเจ้าเป็นอะไรไป แล้วชีวิตข้าจะอยู่ต่อโดยไม่มีเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ? “
รำพึงถึงตอนท้าย ค่อยทอดถอนใจยาวๆออกมา
.......................................