♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 20: แผนสร้างรอยร้าว ]

กระทู้สนทนา

☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼


[ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจาก google]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼

อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




พลุ☼ ☼ 20:: แผนสร้างรอยร้าว ☼ ☼พลุ


                  

                  ยามเช้าอากาศแจ่มใส.. อวี้หลิงช่วยหอบเสื้อผ้าชุดใหม่เนื้อดีตัดเย็บสวยงามหลายชุด พร้อมกล่องเครื่องประดับเดินตามหลังองค์ชายก่วงหยางเข้ามานห้อง  หลันเหลยนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก พอหันมามองต้องอุทานอย่างประหลาดใจ

                  “ เจ้าพี่.. ทำไมซื้อของมามากมาย “

                  องค์ชายหนุ่มแย้มสรวลนุ่มนวล รับสั่งว่า

                  “  วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า สมควรต้องแต่งตัวสวยๆจะได้ดูสดชื่น  พี่ยังสั่งทำกัอาหารมื้อพิเศษไว้ให้เจ้าด้วย “

                  “ วันเกิดของข้า ? “

                  หลันเหลยทวนคำทำหน้าฉงน

                  “ ใช่แล้ว.. เจ้ากับหัวเอ๋อเมื่อเป็นฝาแฝดกัน ก็ต้องเกิดในวันเดียวกัน  วันนี้เป็นวันเกิดของหัวเอ๋อ จึงสมควรเป็นวันเกิดของเจ้าด้วย สุขสันต์วันเกิดนะอาเหลย “

                  หลันเหลยยิ้มออกมาพึมพำ  “ ข้าก็เพิ่งรู้ ท่านปู่ไม่เคยบอกข้าเลย “

                  องค์ชายก่วงหยางส่ายพระพักตร์ด้วยความสงสาร ตรัสปลอบโยน

                  “ ต่อไปชาติกำเนิดของเจ้าไม่เป็นปริศนาอีกแล้ว  อาเหลย..พี่จะพาเจ้าเข้าวัง ฮ่องเต้และเสด็จแม่ของข้า ต้องทรงดีพระทัยอย่างแน่นอน ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้า...”

                  หลันเหลยได้แต่ฝืนยิ้มไม่กล่าวอันใด องค์ชายก่วงหยางหันไปรับสั่งให้อวี้หลิงช่วยแต่งตัวให้หลันเหลย ส่วนพระองค์เองหันพระวรกายล่าถอยออกมา

                  

                  ...........................................

                  

                 ภาพที่สะท้อนออกมาทางกระจกของหลันเหลยในอาภรณ์ชุดใหม่งามหรู เครื่องประดับล้ำค่า ดูงดงามน่ารักดั่งเทพธิดาองค์น้อยหยาดฟ้าจุติ อวี้หลิงจับนางหมุนรอบหนึ่ง อุทานอย่างชื่นชม

                  “  พอทรงสวมฉลองพระองค์ชุดนี้แล้ว  โอ..งดงามมากเลยเพคะองค์หญิง ...”

                  หลันเหลยมองตัวเองในกระจก ต้องนึกถึงตอนที่ป้าเหวินจับตนเองแต่งตัวใส่ชุดกระโปรงผู้หญิง แต่ถูกเหวินฮั่นกุนเมินชาเดินหนีไม่สนใจ ในใจอดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกอีกครั้งมิได้ ยิ่งในเวลานี้เขาไม่สนใจนางแล้ว  แม้ยามเจ็บป่วยอาการทรุดหนักก็ไม่เคยเข้ามาให้เห็นหน้าเห็นตา ต่อให้ตนเองแต่งชุดสวยแค่ไหน เขาคนนั้นก็คงไม่ใส่ใจกระมัง  พอนึกถึงตรงนี้ต้องถอนใจออกอย่างสะทกสะท้อน

                  “   เสื้อผ้าต่างหากที่สวยงามน่าดู.. แต่คนอย่างข้าจะมีอะไรน่าสนใจดู “

                  “  ใครบอกล่ะ.. องค์หญิงน่ะ ทรงมีพระสิริโฉมสงดงามและสดใสน่ารักยิ่งกว่าพระพี่นางเสียอีก รู้พระองค์ไหม? “

                  “  หือ.. ท่านหมายถึงพี่หัวเอ๋อหรือ ? “

                  อวี้หลิงค่อยฉุกคิดว่าลืมตัวพลั้งปาก กล่าววาจาจาบจ้วงมิสมควร จึงรีบย่อกายลงกล่าวคำขอโทษ

                  หลันเหลยหาได้ถือสาไม่ กลับนิ่งคิดอย่างเงียบงันอดกล่าวมิได้

                  “  ท่านคิดว่าพอข้าแต่งแบบนี้.. เจ้าพี่จะทรงมองเห็นข้าเป็นพี่หัวเอ๋อรึเปล่า ...”

                  อวี้หลิงกะพริบตามองนางแล้วยิ้ม ถามว่า

                  “ ทรงน้อยพระทัยหรือ ? “

                  “ น้อยใจเรื่องอะไร ? “

                  “  ก็ที่องค์ชายใหญ่ มักทรงรับสั่งเปรียบท่านกับองค์หญิงเซียงหัวบ่อยๆ “

                  “ เหลวไหล.. ข้าไม่เคยคิด “

                  อวี้หลิงยิ้มพลาง กุมมือทั้งสองของหลันเหลยแกว่งไปมาเบาๆ กล่าวปลอบโยน

                  “  อย่าทรงคิดมากไปเลยนะเพคะ ถึงแม้จะทรงมีพระพักตร์ที่ละม้ายเหมือนกับองค์หญิงเซียงหัว แต่หม่อมฉันเชื่อว่า องค์ชายไม่ได้คิดว่าพระองค์คือตัวแทนของพระนางหรอก องค์หญิงน่ะ..ถึงแม้จะทรงเหมือนกับพระเชษฐภคินีทุกประการ  แต่พระองค์..ก็ยังคงเป็นตัวของพระองค์เองในความรู้สึกขององค์ชายใหญ่และในความรู้สึกของพวกเรา “

                  “ ในความรู้สึกของเจ้าพี่ ท่านรู้ได้ไง ? “

                  “  หม่อมฉันไม่อาจล่วงรู้ถึงความรู้สึกแท้จริงในพระทัยขององค์ชายใหญ่หรอก หม่อมฉันเพียงแต่เปรียบเทียบตามรู้สึกของตนเองตามที่เห็นองค์ชายทรงแสดงออกต่อท่านและองค์หญิงเซียงหัวเท่านั้น  ...”

                  “  หือ..แตกต่างกันหรือ ? “

                  “  หม่อมฉันรู้สึกว่า..องค์ชายใหญ่เมื่อก่อนกับตอนนี้ ดูแทบทรงเป็นคนละคนกันเลย เมื่อก่อนองค์ชายทรงสุขุมเยือกเย็น ระมัดระวังพระอากัปกิริยาและพระอิริยาบถ ต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพารมาก ถึงแม้จะทรงมีพระเมตตาแต่ก็จะเว้นระยะห่างกับทุกคนไว้ระดับหนึ่งเสมอ แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านกลับดูทรงวางพระองค์ตามสบายเป็นกันเองเหมือนคนปกติสามัญชนทั่วไป  องค์หญิงทรงรู้ไหม.. หม่อมฉันกับท่านพ่อ ไม่เคยเห็นองค์ชายใหญ่ ในมุมที่ทรงสดใสร่าเริงแบบนี้ และองค์ชายใหญ่ที่ทรงขี้หงุดหงิดวู่วาม พระเนตรขวางหาเรื่องคนรอบข้างไปทั่ว จนแทบไม่มีใครเข้าพระพักตร์ติด เหมือนช่วงที่องค์หญิงทรงประชวรหนักแบบนั้นมาก่อนเลยนะ...”

                  หลันเหลยมองหน้านางแล้วหัวร่อคิก ร้องขู่เบาๆ

                  “  ท่านแอบนินทาเจ้าพี่ใหญ่ คอยดูนะ.. ข้าจะฟ้องเขา “

                  อวี้หลิงเห็นรอยยิ้มซุกซนของหลันเหลย ก็รู้ว่านางพูดเล่น ดังนั้นหาได้กลัวไม่ แต่กลับหัวร่อออกมาเช่นกัน จากนั้นกุมมือของนางนิ่งไว้ กล่าวอย่างจริงจังว่า

                  “  องค์หญิง..รู้พระองค์ไหมว่าทรงมีความสำคัญต่อองค์ชายของพวกเราแค่ไหน การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงเซียงหัว สร้างความเสียพระทัยต่อองค์ชายใหญ่เป็นที่สุด  ดังนั้นหม่อมฉันเชื่อว่า..องค์ชายต้องทรงทนมีพระชนม์ชีพต่อไปไม่ได้แน่ หากต้องสูญเสียพระองค์ไปอีกคน  ทรงรับปากหม่อมฉันได้ไหม..ว่านับแต่นี้ไป จะทรงอยู่เคียงข้างองค์ชายของพวกเรา..ไม่จากไปไหนอีก “

                  หลันเหลยกะพริบตาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งลงไปอีกของนาง อดกล่าวมิได้ว่า

                  “  ท่านพูดราวกับว่าข้าจะเจ็บป่วยทรุดหนักลงอีกครั้งนั่นแหล่ะ  วางใจเถอะ..ตอนนี้ข้ารู้สึกหายดีแล้วนะ ข้าไม่ตายหรอก...”

                  สนทนากันถึงตรงนี้เบื้องนอกบังเกิดเสียงเคาะประตูขึ้น ที่แท้องค์ชายก่วงหยางเห็นพวกนางแต่งตัวกันนาน จึงอดเสด็จมาตามด้วยพระองค์เองมิได้

                  “ จะเที่ยงแล้วยังแต่งตัวกันไม่เสร็จหรือ  ไฉนนานปานนี้ ? “

                  อวี้หลิงจึงออกไปเปิดประตู รีบกล่าวเชื้อเชิญ

                  “  องค์ชาย.. โปรดทอดพระเนตรเถิด.. ว่าองค์หญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงามแค่ไหน .. “

                  พอองค์ชายก่วงหยางสาวพระบาทเข้ามา หลันเหลยค่อยก้าวออกมาจากหลังฉากกั้นหมุนตัวให้เขาดูรอบหนึ่งอย่างร่าเริง  คนมองถึงกับยืนตะลึงลานกับที่ จวบจนอวี้หลิงส่งเสียงเรียก จึงค่อยได้พระสติ แย้มสรวลตรัสว่า

                  “  โอ..อาเหลย วันนี้เจ้าสวยมากทีเดียว “

                  หลันเหลยยิ้มรับอย่างเขินๆเหลือบไปมองอวี้หลิงที่ยืนยิ้มพลางพยักพเยิดอย่างผู้มีชัย แล้วอดแสยะปากใส่นาง อย่างหมั่นไส้มิได้  ที่แท้เมื่อครู่นี้หลันเหลยพนันกับนางว่า องค์ชายก่วงหยางต้องเผลอพระองค์เพ้อเรียก “หัวเอ๋อ”  อีกแน่  แต่พอเรื่องมิได้เป็นเช่นนั้น จึงนับว่าอวี้หลิงเป็นผู้ชนะ

                  องค์ชายก่วงหยางทรงกลอกพระเนตรอย่างไม่ไว้พระทัย รับสั่งคาดคั้นถาม

                  “ ต้องมีอะไรซ่อนเร้นแน่ๆเลยสองคนนี้ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ “

                  อวี้หลิงหัวร่อรีบปฏิเสธ โบกมือร้องว่าไม่มีอะไร จากนั้นกล่าวขอตัวไปทำงานอื่นต่อ ก่อนจะล่าถอยออกมา  เพิ่งข้ามผ่านธรณีประตูก็เห็นเหวินฮั่นกุนกำลังเดินตรงมาทางนี้   อวี้หลิงชะงักเท้าอึ้งไปวูบหนึ่ง ลังเลไม่ทราบจะขวางเขาไว้ หรือปล่อยให้เข้าไปในห้องดี

                  อาการชะงักของอวี้หลิง พลอยทำให้ให้เหวินฮั่นกุนชะงักตามไปด้วย ชะเง้อมองเข้าไปในห้อง จึงเห็นองค์ชายก่วงหยางกำลังจับตัวหลันเหลยหมุนไปหมุนมา ราวกับกำลังเพ่งพินิจดูการแต่งตัวของนางอย่างละเอียด จากนั้นสองคนมิทราบพูดหยอกเย้าอะไรกัน หลันเหลยก็ขยี้เท้าทำหน้าปั้นปึ่งแง่งอน แล้วกำหมัดทุบใส่ต้นแขนอีกฝ่ายจนหัวร่อเล่นไล่วนกันรอบโต๊ะกลมกลางห้อง

                  ภาพนั้นสะกดให้คนที่ได้เห็นต้องยืนนิ่งอึ้งซึมเซากับที่ ดวงตาฉายแววเจ็บปวดขึ้น ก้มศีรษะต่ำอย่างยอมรับความจริง ก่อนจะหมุนกายเดินย้อนกลับไปทางเดิม.. โดยไม่พูดอะไรสักคำ

                  อวี้หลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย..มองตามเงาหลังเขาไปอย่างครุ่นคิด

                  

                  .........................



ดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้ดอกไม้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่