☼ ☼ 18:: ความหวังสุดท้าย ☼ ☼
หลันเหลยนอนฟังอยู่บนเตียงรู้สึกซาบซึ้งต่อความรักของหนุ่มสาวทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้ กล่าวอย่างหดหู่สะเทือนใจ
“ ที่แท้เรื่องราวเป็นอย่างนี้เอง.. น่าเสียดายชีวิตของข้าก็ใกล้ดับสูญ ข้า.. คงมิอาจทำตามคำสั่งเสียของเจ้เจ๊ได้ “
องค์ชายก่วงหยางผินพระพักตร์กลับมา ตรัสว่า
“ อาเหลย.. ในที่สุด เจ้าก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “
“ พี่เยี่ย.. หากข้าคาดเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นองค์ชายใหญ่กระมัง ? “
“ ถูกต้อง ข้าคือองค์ชายใหญ่เยี่ยก่วงหยาง “
“ โอ.. ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นถึงองค์ชาย “
“ อาเหลย.. ส่วนเจ้าก็คือองค์หญิงเซียงเหลย หน้าตาของเจ้าคล้ายหัวเอ๋อมาก อีกทั้งยังมีหยกมรกตติดตัว จึงยิ่งพิสูจน์ยืนยันได้ว่า เจ้าต้องเป็นองค์หญิงเซียงเหลยแน่ๆ.. “
หลันเหลยยิ้มออกมา
“ นั่นสินะ.. ท่านจึงชอบเรียกข้าว่าหัวเอ๋ออยู่เรื่อย..”
องค์ชายก่วงหยางสาวพระบาทมาหน้าเตียง ทรุดลงประทับนั่งที่เดิม
“ จริงสิ..แล้วเสด็จน้าหญิง.. อืม...ข้าหมายถึง พระมารดาของเจ้าล่ะ ? “
หลันเหลยกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“ ข้าไม่ทราบ.. นับตั้งแต่ข้าพอรู้ความจำอะไรได้ ข้าก็อยู่กับท่านปู่มาตลอด ท่านปู่เล่าว่า พ่อข้าถูกคนพรรคบัวขาวฆ่าตาย ส่วนท่านแม่...ข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย ท่านปู่บอกว่า..หลังจากท่านพ่อเสียชีวิต ท่านแม่ก็ล้มป่วยด้วยความตรอมตรมแล้วก็สิ้นบุญตามท่านพ่อไป “
“ หรือว่า.. คนร้ายที่ลอบสังหารองค์รัชทายาทเมื่อสิบห้าปีก่อน เป็นคนของพรรคบัวขาว ? อ้อ.. แล้วท่านปู่ของเจ้ามีนามว่ากระไรหรือ ? “
“ ท่านปู่ข้าแซ่ซิม นามว่าซิมฮง “
องค์ชายก่วงหยางทวนคำ
“ ซิม ฮง ” เบือนพระพักตร์ทอดพระเนตรมองออกไปนอกหน้าต่าง ตรัสพึมพำพลางนึกทบทวนความทรงจำเก่าๆที่ผ่านมา
“ พระมารดาเคยเล่าให้ข้าฟังว่า องค์รัชทายาททรงชอบคบหากับชาวยุทธในบู๊ลิ้ม จึงมีสหายชาวยุทธที่เป็นยอดฝีมือหลายคน หนึ่งในนั้นก็มีจอมยุทธแซ่ซิมท่านหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็เข้าสวามิภักดิ์รับใช้ราชสำนักในวังรัชทายาท คนผู้นี้มีนามว่า ซิมเซ่งฮง ตอนออกศึกที่ด่านไท้กวน ท่านซิมก็ติดตามองค์รัชทายาทไปออกศึกด้วย จากนั้นก็หายสาบสูญไปเช่นกัน แต่ว่า...ถ้าหากท่านซิมเซ่งฮง กับ ซิมฮงเป็นคนๆเดียวกัน ทำไม..เขาจึงมาพบกับเจ้าและพาเจ้าไปเลี้ยงดูได้ แล้วทำไม..เขาถึงไม่ส่งเจ้าคืนให้กับราชสำนัก กลับพาไปอยู่บ้านป่าชนบทแบบนั้น ? “
รำพึงถึงตอนนี้..พลันได้ยินเสียงหลันเหลยส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างทรมาน ต้องหันขวับมาอีกครั้งโพล่งว่า
“ อาเหลย.. เจ้าเป็นไรไปอีกแล้ว ? “
หลันเหลยตัวเย็นเฉียบหน้าซีดปากซีดขาวราวกระดาษ กอดอกห่อตัวสั่นระริก
“ พี่เยี่ย... ข้า.. เริ่มหนาวอีกแล้ว.. หนาวเหลือเกิน..”
“ อดทนไว้นะ... เจ้าต้องไม่เป็นอะไร .. ท่านหวังกำลังไปตามคนมาช่วยเจ้าอยู่ “
อีกด้านหนึ่งทางนอกห้องนั้น เหวินฮั่นกุนยืนลอบฟังการสนทนาเรื่องชาติกำเนิดของหลันเหลยจนตะลึงซึมเซา พิงตัวกับกรอบประตูราวคนสติสัมปชัญญะหลุดลอย
หากทันใดนั้นเอง.. เสียงร้องเรียกหลันเหลยอย่างตกใจขององค์ชายก่วงหยางก็ดังลั่นขึ้น
“ อาเหลย... อาเหลย.. ตื่น..ตื่น.. อย่าหลับนะอาเหลย “
เสียงนั้นราวอัสนียบาตที่ฟาดลงมาตรงหน้า กระชากจิตใจของเหวินฮั่นกุนจนสะท้านตื่นจากภวังค์ ร้องเรียกหลันเหลยอย่างตื่นตระหนกเช่นกัน ยามลืมตัวถึงกับกระแทกประตูเปิดผางออก ถาโถมกายเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
“ หลันเหลยเป็นไรแล้ว ? “
หากภาพเบื้องหน้าที่เห็น ถึงกับสะกดคนที่โถมเข้ามาจนชะงักร่างค้างนิ่งกับที่
เห็นองค์ชายก่วงหยางเสด็จขึ้นไปประทับนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ทั้งผ้าห่มและม่านมุ้งถูกเขากระชากดึงลงมาห่อร่างของหลันเหลยไว้ราวไหมหนาห่อดักแด้ สองมือยังโอบกอดนางไว้แน่น พลางเขย่าร่างนางส่งเสียงเรียกอย่างว้าวุ่นคุมพระสติไม่อยู่
แต่การเข้ามาของเหวินฮั่นกุนและวอี้หลิง ค่อยปลุกองค์ชายก่วงหยางให้รู้สึกพระองค์ รีบระงับพระสติเย็นลง เงยพระพักตร์ขึ้นมองเหวินฮั่นกุนแวบหนึ่งอย่างกระดากพระทัย จากนั้นวางร่างหลันเหลยซึ่งหมดสติไปอีกครั้งลงนอนราบ ตนเองค่อยลงมาจากเตียง รีบบอกกับอีกฝ่ายว่า
“ นาง..โดนไอเย็นคุกคาม จนหมดสติไปอีกแล้ว...”
เหวินฮั่นกุนเพียงพยักหน้ารับทราบ มองหน้าเขาอย่างเงียบงันหาได้กล่าวอันใดไม่
องค์ชายก่วงหยางจึงหันไปสั่งอวี้หลิง
“ เจ้ารีบไปที่ร้านขายผ้าห่มนะ ซื้อเพิ่มมาอีกหลายผืน...”
“ เยี่ยกงจื้อ..แต่ว่านี่ก็ดึกมากแล้ว..”
“ ดึกแค่ไหนก็ไปเคาะประตูเรียก ให้เงินเถ้าแก่ร้านไปสองเท่า..”
อวี้หลิงย่อมไม่กล้าขัดพระทัย น้อมรับคำสั่งแล้วรีบหมุนกายวิ่งออกไป
องค์ชายก่วงหยางหันมาทางเหวินฮั่นกุนอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายยังคงใช้สายตาที่คาดเดาความหมายไม่ออกจับจ้องมองดูพระองค์ ต้องเข้าพระทัยว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่ทรงทำเช่นนั้นกับหลันเหลยเมื่อสักครู่ ดังนั้นรีบอธิบายว่า
“ เจ้าอย่าตำหนิเข้าใจข้าผิดไปนะฮั่นกุน.. เมื่อครู่นี้ตอนไอเย็นคุกคาม หลันเหลยอาการน่ากลัวมาก ข้าตกใจจนคุมสติไม่อยู่ พลอยทำให้พวกท่านตื่นตระหนกไปด้วย ต้องขอโทษจริงๆ “
เหวินฮั่นกุนยังคงนิ่งเงียบงัน บนสีหน้าแม้สงบราบเรียบ หากดวงตามีประกายลังเลและคล้ายฉายแววค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา เป็นสายตาที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกอึดอัด จนวางตัวแทบไม่ถูก
องค์ชายก่วงหยางขณะจะรับสั่งกระไร ทันใดนั้นเหวินฮั่นกุนพลันโอบสองมือประสานมาเบื้องหน้า น้อมกายกล่าวว่า
“ คารวะองค์ชายใหญ่ “
องค์ชายก่วงหยางอึ้งไปวูบ พริบตานั้นค่อยเข้าพระทัยว่าอะไรเป็นอะไร ถอนพระทัยตรัสว่า
“ ที่แท้.. ท่านคงได้ยินหมดแล้ว ? “
เหวินฮั่นกุนลดมือลงช้าๆ ใช้สายตาเย็นชามองพระองค์อีกครั้ง ถามเสียงเรียบๆ
“ นับตั้งแต่ท่านรู้ความจริงว่าหลันเหลยเป็นหญิง และเห็นหยกมรกตชิ้นนั้น.. ท่านก็คงรู้และแน่ใจแล้วว่าหลันเหลยเป็นใคร.. ทำไม...ท่านจึงไม่ยอมบอกความจริง เผยฐานะของนางออกมา ? “
..นี่คงเป็นความสงสัยที่ติดอยู่ในใจเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกไม่พอใจข้าสินะฮั่นกุน ?..
ทรงมองเขาแล้วถอนพระทัยอีกครั้ง รับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนลง
“ ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า “
“ ข้าต้องการทราบเหตุผลของท่าน “
“ เนื่องเพราะอาเหลยบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเกินไป ข้าจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าสมควรอนุญาตให้นางใช้ชีวิตดุจนกอิสระ หรือจะดึงนางเข้าสู่วังวนความยุ่งเหยิงวุ่นวายของราชสำนักดี... ข้าเพียงไม่อยากเห็นแก่ตัว “
รับสั่งอธิบายอย่างพระทัยเย็น หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในความหวังดีที่ทำให้ทรงลังเล
หากทว่า..เหวินฮั่นกุนก็ยังคงไม่เข้าใจ
“ แต่หลันเหลยมีสิทธิ์ที่จะได้รับความสุขสบาย ... นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ก็สมควรได้เสพสุขอยู่ในวัง มิใช่ออกมาร่อนเร่พเนจรลำบากยากไร้แบบนี้ ... นางเป็นกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก...เมื่อความจริงแล้วนางยัง มีญาติพี่น้อง. ทำไมถึงต้องลังเลกับการที่จะพานางกลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัว ? “
องค์ชายก่วงหยางขยับมุมพระโอษฐ์ยิ้มอย่างนึกสมเพช ครุ่นคิดในพระทัย
...ฮั่นกุนเอย...เจ้าน่ะยังอ่อนต่อโลกนัก เจ้าคิดว่าหากนางได้กลับเข้าวังแล้ว จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้อีกหรือ ราชสำนักมีแต่กฎระเบียบเข้มงวดและการแก่งแย่งชิงดี .. ขอเพียงเจ้าได้เข้าไปสัมผัสแล้วเจ้าก็จะเข้าใจ...
หากแม้ทรงดำริเช่นนั้น แต่ก็หาได้ตรัสออกมาไม่ เบือนพระพักตร์มาทางเหวินฮั่นกุนอีกครั้ง ถามว่า
“ ท่านต้องการให้หลันเหลยกลับเข้าวังจริงๆ ? “
“ ถูกต้อง “
“ หากนางเข้าวัง ท่านกับนางก็คงมีโอกาสได้พบกันน้อยลง “
ในดวงตาของเหวินฮั่นกุนฉายรอยปวดร้าวขึ้นวูบหนึ่ง หากใบหน้ายังคงฝืนยิ้มกล่าวอย่างปลอดโปร่ง
“ ข้าทำหน้าที่ดูแลนางมาตั้งแต่เล็กๆ ท่านแม่ข้าก่อนตายก็ฝากฝังสั่งเสียให้ข้าคุ้มครองดูแลนาง ไปจนกว่านางได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อชาติกำเนิดของนางได้รับการเปิดเผย และหากนางได้กลับสู่ครอบครัวที่แท้จริง หน้าที่ของข้าก็จะได้สิ้นสุดลงเสียที..”
องค์ชายก่วงหยางขมวดพระขนง ตรัสถามเพื่อความแน่พระทัย
“ ที่ท่านคอยติดตามดูแลอาเหลย ที่แท้เป็นเพราะคำสั่งเสียของมารดาท่านหรอกหรือ ? “
“ ถูกแล้ว “
“ มิใช่เพราะท่านกับนาง.. มีความสัมพันธ์ทางจิตใจอันใดต่อกันหรอกหรือ ? “




♥ ♥ .. จอมใจเจ้าบัลลังก์ .. ♥ ♥ [ 18: ความหวังสุดท้าย ]
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼ ☼
อ่านตอนก่อนหน้านี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[ขอบคุณภาพสวยๆจาก google]
หลันเหลยนอนฟังอยู่บนเตียงรู้สึกซาบซึ้งต่อความรักของหนุ่มสาวทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง อดหลั่งน้ำตาออกมามิได้ กล่าวอย่างหดหู่สะเทือนใจ
“ ที่แท้เรื่องราวเป็นอย่างนี้เอง.. น่าเสียดายชีวิตของข้าก็ใกล้ดับสูญ ข้า.. คงมิอาจทำตามคำสั่งเสียของเจ้เจ๊ได้ “
องค์ชายก่วงหยางผินพระพักตร์กลับมา ตรัสว่า
“ อาเหลย.. ในที่สุด เจ้าก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “
“ พี่เยี่ย.. หากข้าคาดเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นองค์ชายใหญ่กระมัง ? “
“ ถูกต้อง ข้าคือองค์ชายใหญ่เยี่ยก่วงหยาง “
“ โอ.. ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นถึงองค์ชาย “
“ อาเหลย.. ส่วนเจ้าก็คือองค์หญิงเซียงเหลย หน้าตาของเจ้าคล้ายหัวเอ๋อมาก อีกทั้งยังมีหยกมรกตติดตัว จึงยิ่งพิสูจน์ยืนยันได้ว่า เจ้าต้องเป็นองค์หญิงเซียงเหลยแน่ๆ.. “
หลันเหลยยิ้มออกมา
“ นั่นสินะ.. ท่านจึงชอบเรียกข้าว่าหัวเอ๋ออยู่เรื่อย..”
องค์ชายก่วงหยางสาวพระบาทมาหน้าเตียง ทรุดลงประทับนั่งที่เดิม
“ จริงสิ..แล้วเสด็จน้าหญิง.. อืม...ข้าหมายถึง พระมารดาของเจ้าล่ะ ? “
หลันเหลยกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“ ข้าไม่ทราบ.. นับตั้งแต่ข้าพอรู้ความจำอะไรได้ ข้าก็อยู่กับท่านปู่มาตลอด ท่านปู่เล่าว่า พ่อข้าถูกคนพรรคบัวขาวฆ่าตาย ส่วนท่านแม่...ข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย ท่านปู่บอกว่า..หลังจากท่านพ่อเสียชีวิต ท่านแม่ก็ล้มป่วยด้วยความตรอมตรมแล้วก็สิ้นบุญตามท่านพ่อไป “
“ หรือว่า.. คนร้ายที่ลอบสังหารองค์รัชทายาทเมื่อสิบห้าปีก่อน เป็นคนของพรรคบัวขาว ? อ้อ.. แล้วท่านปู่ของเจ้ามีนามว่ากระไรหรือ ? “
“ ท่านปู่ข้าแซ่ซิม นามว่าซิมฮง “
องค์ชายก่วงหยางทวนคำ “ ซิม ฮง ” เบือนพระพักตร์ทอดพระเนตรมองออกไปนอกหน้าต่าง ตรัสพึมพำพลางนึกทบทวนความทรงจำเก่าๆที่ผ่านมา
“ พระมารดาเคยเล่าให้ข้าฟังว่า องค์รัชทายาททรงชอบคบหากับชาวยุทธในบู๊ลิ้ม จึงมีสหายชาวยุทธที่เป็นยอดฝีมือหลายคน หนึ่งในนั้นก็มีจอมยุทธแซ่ซิมท่านหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็เข้าสวามิภักดิ์รับใช้ราชสำนักในวังรัชทายาท คนผู้นี้มีนามว่า ซิมเซ่งฮง ตอนออกศึกที่ด่านไท้กวน ท่านซิมก็ติดตามองค์รัชทายาทไปออกศึกด้วย จากนั้นก็หายสาบสูญไปเช่นกัน แต่ว่า...ถ้าหากท่านซิมเซ่งฮง กับ ซิมฮงเป็นคนๆเดียวกัน ทำไม..เขาจึงมาพบกับเจ้าและพาเจ้าไปเลี้ยงดูได้ แล้วทำไม..เขาถึงไม่ส่งเจ้าคืนให้กับราชสำนัก กลับพาไปอยู่บ้านป่าชนบทแบบนั้น ? “
รำพึงถึงตอนนี้..พลันได้ยินเสียงหลันเหลยส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างทรมาน ต้องหันขวับมาอีกครั้งโพล่งว่า
“ อาเหลย.. เจ้าเป็นไรไปอีกแล้ว ? “
หลันเหลยตัวเย็นเฉียบหน้าซีดปากซีดขาวราวกระดาษ กอดอกห่อตัวสั่นระริก
“ พี่เยี่ย... ข้า.. เริ่มหนาวอีกแล้ว.. หนาวเหลือเกิน..”
“ อดทนไว้นะ... เจ้าต้องไม่เป็นอะไร .. ท่านหวังกำลังไปตามคนมาช่วยเจ้าอยู่ “
อีกด้านหนึ่งทางนอกห้องนั้น เหวินฮั่นกุนยืนลอบฟังการสนทนาเรื่องชาติกำเนิดของหลันเหลยจนตะลึงซึมเซา พิงตัวกับกรอบประตูราวคนสติสัมปชัญญะหลุดลอย
หากทันใดนั้นเอง.. เสียงร้องเรียกหลันเหลยอย่างตกใจขององค์ชายก่วงหยางก็ดังลั่นขึ้น
“ อาเหลย... อาเหลย.. ตื่น..ตื่น.. อย่าหลับนะอาเหลย “
เสียงนั้นราวอัสนียบาตที่ฟาดลงมาตรงหน้า กระชากจิตใจของเหวินฮั่นกุนจนสะท้านตื่นจากภวังค์ ร้องเรียกหลันเหลยอย่างตื่นตระหนกเช่นกัน ยามลืมตัวถึงกับกระแทกประตูเปิดผางออก ถาโถมกายเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
“ หลันเหลยเป็นไรแล้ว ? “
หากภาพเบื้องหน้าที่เห็น ถึงกับสะกดคนที่โถมเข้ามาจนชะงักร่างค้างนิ่งกับที่
เห็นองค์ชายก่วงหยางเสด็จขึ้นไปประทับนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง ทั้งผ้าห่มและม่านมุ้งถูกเขากระชากดึงลงมาห่อร่างของหลันเหลยไว้ราวไหมหนาห่อดักแด้ สองมือยังโอบกอดนางไว้แน่น พลางเขย่าร่างนางส่งเสียงเรียกอย่างว้าวุ่นคุมพระสติไม่อยู่
แต่การเข้ามาของเหวินฮั่นกุนและวอี้หลิง ค่อยปลุกองค์ชายก่วงหยางให้รู้สึกพระองค์ รีบระงับพระสติเย็นลง เงยพระพักตร์ขึ้นมองเหวินฮั่นกุนแวบหนึ่งอย่างกระดากพระทัย จากนั้นวางร่างหลันเหลยซึ่งหมดสติไปอีกครั้งลงนอนราบ ตนเองค่อยลงมาจากเตียง รีบบอกกับอีกฝ่ายว่า
“ นาง..โดนไอเย็นคุกคาม จนหมดสติไปอีกแล้ว...”
เหวินฮั่นกุนเพียงพยักหน้ารับทราบ มองหน้าเขาอย่างเงียบงันหาได้กล่าวอันใดไม่
องค์ชายก่วงหยางจึงหันไปสั่งอวี้หลิง
“ เจ้ารีบไปที่ร้านขายผ้าห่มนะ ซื้อเพิ่มมาอีกหลายผืน...”
“ เยี่ยกงจื้อ..แต่ว่านี่ก็ดึกมากแล้ว..”
“ ดึกแค่ไหนก็ไปเคาะประตูเรียก ให้เงินเถ้าแก่ร้านไปสองเท่า..”
อวี้หลิงย่อมไม่กล้าขัดพระทัย น้อมรับคำสั่งแล้วรีบหมุนกายวิ่งออกไป
องค์ชายก่วงหยางหันมาทางเหวินฮั่นกุนอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายยังคงใช้สายตาที่คาดเดาความหมายไม่ออกจับจ้องมองดูพระองค์ ต้องเข้าพระทัยว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่ทรงทำเช่นนั้นกับหลันเหลยเมื่อสักครู่ ดังนั้นรีบอธิบายว่า
“ เจ้าอย่าตำหนิเข้าใจข้าผิดไปนะฮั่นกุน.. เมื่อครู่นี้ตอนไอเย็นคุกคาม หลันเหลยอาการน่ากลัวมาก ข้าตกใจจนคุมสติไม่อยู่ พลอยทำให้พวกท่านตื่นตระหนกไปด้วย ต้องขอโทษจริงๆ “
เหวินฮั่นกุนยังคงนิ่งเงียบงัน บนสีหน้าแม้สงบราบเรียบ หากดวงตามีประกายลังเลและคล้ายฉายแววค้นหาอะไรบางอย่างจากตัวเขา เป็นสายตาที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกอึดอัด จนวางตัวแทบไม่ถูก
องค์ชายก่วงหยางขณะจะรับสั่งกระไร ทันใดนั้นเหวินฮั่นกุนพลันโอบสองมือประสานมาเบื้องหน้า น้อมกายกล่าวว่า
“ คารวะองค์ชายใหญ่ “
องค์ชายก่วงหยางอึ้งไปวูบ พริบตานั้นค่อยเข้าพระทัยว่าอะไรเป็นอะไร ถอนพระทัยตรัสว่า
“ ที่แท้.. ท่านคงได้ยินหมดแล้ว ? “
เหวินฮั่นกุนลดมือลงช้าๆ ใช้สายตาเย็นชามองพระองค์อีกครั้ง ถามเสียงเรียบๆ
“ นับตั้งแต่ท่านรู้ความจริงว่าหลันเหลยเป็นหญิง และเห็นหยกมรกตชิ้นนั้น.. ท่านก็คงรู้และแน่ใจแล้วว่าหลันเหลยเป็นใคร.. ทำไม...ท่านจึงไม่ยอมบอกความจริง เผยฐานะของนางออกมา ? “
..นี่คงเป็นความสงสัยที่ติดอยู่ในใจเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกไม่พอใจข้าสินะฮั่นกุน ?..
ทรงมองเขาแล้วถอนพระทัยอีกครั้ง รับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนลง
“ ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า “
“ ข้าต้องการทราบเหตุผลของท่าน “
“ เนื่องเพราะอาเหลยบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเกินไป ข้าจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าสมควรอนุญาตให้นางใช้ชีวิตดุจนกอิสระ หรือจะดึงนางเข้าสู่วังวนความยุ่งเหยิงวุ่นวายของราชสำนักดี... ข้าเพียงไม่อยากเห็นแก่ตัว “
รับสั่งอธิบายอย่างพระทัยเย็น หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในความหวังดีที่ทำให้ทรงลังเล
หากทว่า..เหวินฮั่นกุนก็ยังคงไม่เข้าใจ
“ แต่หลันเหลยมีสิทธิ์ที่จะได้รับความสุขสบาย ... นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ก็สมควรได้เสพสุขอยู่ในวัง มิใช่ออกมาร่อนเร่พเนจรลำบากยากไร้แบบนี้ ... นางเป็นกำพร้ามาตั้งแต่เล็ก...เมื่อความจริงแล้วนางยัง มีญาติพี่น้อง. ทำไมถึงต้องลังเลกับการที่จะพานางกลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัว ? “
องค์ชายก่วงหยางขยับมุมพระโอษฐ์ยิ้มอย่างนึกสมเพช ครุ่นคิดในพระทัย
...ฮั่นกุนเอย...เจ้าน่ะยังอ่อนต่อโลกนัก เจ้าคิดว่าหากนางได้กลับเข้าวังแล้ว จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้อีกหรือ ราชสำนักมีแต่กฎระเบียบเข้มงวดและการแก่งแย่งชิงดี .. ขอเพียงเจ้าได้เข้าไปสัมผัสแล้วเจ้าก็จะเข้าใจ...
หากแม้ทรงดำริเช่นนั้น แต่ก็หาได้ตรัสออกมาไม่ เบือนพระพักตร์มาทางเหวินฮั่นกุนอีกครั้ง ถามว่า
“ ท่านต้องการให้หลันเหลยกลับเข้าวังจริงๆ ? “
“ ถูกต้อง “
“ หากนางเข้าวัง ท่านกับนางก็คงมีโอกาสได้พบกันน้อยลง “
ในดวงตาของเหวินฮั่นกุนฉายรอยปวดร้าวขึ้นวูบหนึ่ง หากใบหน้ายังคงฝืนยิ้มกล่าวอย่างปลอดโปร่ง
“ ข้าทำหน้าที่ดูแลนางมาตั้งแต่เล็กๆ ท่านแม่ข้าก่อนตายก็ฝากฝังสั่งเสียให้ข้าคุ้มครองดูแลนาง ไปจนกว่านางได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อชาติกำเนิดของนางได้รับการเปิดเผย และหากนางได้กลับสู่ครอบครัวที่แท้จริง หน้าที่ของข้าก็จะได้สิ้นสุดลงเสียที..”
องค์ชายก่วงหยางขมวดพระขนง ตรัสถามเพื่อความแน่พระทัย
“ ที่ท่านคอยติดตามดูแลอาเหลย ที่แท้เป็นเพราะคำสั่งเสียของมารดาท่านหรอกหรือ ? “
“ ถูกแล้ว “
“ มิใช่เพราะท่านกับนาง.. มีความสัมพันธ์ทางจิตใจอันใดต่อกันหรอกหรือ ? “