สืบเนื่องจากมีกระแสในโลกออนไลน์ ที่เกิดการถกเถียงว่า พระเครื่องมีพระพุทธคุณมั้ย ประเด็นคือมีคนถาม อ.เบียร์ คนตื่นธรรมว่า พระเครื่องมีพระพุทธคุณมั้ย อ.บอกว่า พระเครื่องไม่มีพระพุทธคุณ......
พุทธคุณ ๙
คำว่า “พุทธคุณ” เป็นคำที่ชาวพุทธคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ได้อย่างถูกต้องนัก จึงขอนำมาอธิบายขยายความไว้ในที่นี้ โดยในพจนานุกรม พุทธศาสน์ ของรองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้ให้ความหมายไว้ว่า
พุทธคุณ ๙ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรอง เพื่อให้เป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐไว้ดังนี้
๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีคำแปลและความหมายอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้
๑.๑ เป็นผู้ควร คือ ผู้ทรงสั่งสอนสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้นได้ด้วย เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๑.๒ เป็นผู้ไกล คือ ผู้ทรงไกลจากกิเลสและบาปกรรม เพราะทรงละได้เด็ดขาดแล้วทั้งโลภ โกรธ และหลง
๑.๓ เป็นผู้หักซี่กำแพงล้อสังสารวัฏ คือ ผู้ทรงตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้แล้ว
๑.๔ เป็นผู้ไม่มีข้อลี้ลับ คือ ผู้ทรงไม่มีบาปธรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น และเป็นผู้ควรได้รับความเคารพของผู้อื่น
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธเป็นผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นการค้นพบด้วยพระองค์เอง ไม่มีครู อาจารย์เป็นผู้สอน
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีวิชชาความรู้ตั้งแต่ความรู้ระดับพื้นฐาน จนกระทั่งความรู้ระดับสูงสุด และมีจรณะความประพฤติดีประพฤติได้ตามที่ทรงรู้ เช่น ความสำรวมในศีล เป็นต้น
๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดี คำว่า “ไปดี” มีความหมายหลายนัยคือ
๑.เสด็จดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางเดินที่ดี
๒.เสด็จไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ดียิ่ง
๓.เสด็จไปดีแล้ว เพราะทรงละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
๔.เสด็จไปปลอดภัยดี เพราะเสด็จไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก
๕. โลกวิทู เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก คือทรงรอบรู้โลกทางกายภาพ เช่นโลกมนุษย์ สัตว์โลก สังขารโลก โอกาสโลก และทรงรู้โลกภายในคือ ทุกข์และการดับทุกข์
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีผู้ทรงฝึกคนได้อย่างยอดเยี่ยม คือ พระองค์ทรงรู้นิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย(มีแวว) อธิมุตติ(ความถนัด) อินทรีย์(ความพร้อม) ของบุคคลระดับต่าง ๆ และทรงฝึกสอนด้วยเทคนิควิธีการที่เหมาะแก่ความเคยชิน แววถนัด และความพร้อมของเขาให้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติที่ควรเป็นครูของบุคคลในทุกระดับชั้น เพราะพระองค์ทรงรอบรู้และทรงสอนคนได้ทุกระดับ ทรงสอนด้วยความเมตตา มิใช่เพื่อลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ทรงมุ่งความถูกต้องและประโยชน์สุขของผู้ฟังเป็นใหญ่ ทรงสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของผู้ฟัง และทรงทำได้ตามที่ทรงสอนนั้นด้วย
๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ พระองค์ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ยึดถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงรู้จักฐานะ คือ เหตุที่ควรเป็น เปรียบได้กับคนตื่นจากหลับแล้วทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่งพระองค์ทรงตื่นแล้วเป็นอิสระจากอำนาจของโลภ โกรธ หลง แล้ว เมื่อทรงตื่นแล้วก็ทรงแจ่มใสเบิกบาน มีพระทัยบริสุทธิ์สะอาด
๙. ภควา เป็นผู้มีโชค ผู้ทรงแจกแบ่งธรรม คือพระองค์ทรงเพียบพร้อมได้ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา นับเป็นผู้มีโชคดีกว่าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงทำการใดก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ ส่วน “ภควา” แปลว่า “ทรงแจกแบ่งธรรม” หมายถึง มีพระปัญญาล้ำเลิศ จนสามารถจำแนกธรรมที่ลึกซึ้งให้เป็นที่เข้าใจง่าย และมีพระกรุณาธิคุณจำแนกจ่ายคำสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ให้รู้ตาม
พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้ สรุปลงเป็น ๓ ประการคือ
๑. พระวิสุทธิคุณ คือ ความบริสุทธิ์ อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๑,๓ และ ๙
๒. พระปัญญาคุณ คือ ปัญญา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๒,๕ และ๘
๓. พระมหากรุณาธิคุณ คือ พระมหากรุณา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๔,๖ และ ๗
ดังนั้น พระพุทธคุณจริงๆแล้วเป็นนามธรรม จิต เจตสิกที่เกิดตอนพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไป พุทธคุณเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว(สหชาตปัจจัย) แต่ถึงแม้พระพุทธคุณเหล่านี้จะไม่มีอยู่ก็จริง เราก็สามารถใช้เป็นเครื่องระลึกนึกถึงเพื่อให้เกิดกุศลจิตกับตัวเราได้ โดย(อารัมมณปัจจัย) ทำให้เกิดอานุภาพต่างๆได้ เช่นการทำพระปริตรต่างๆ ในสมัยก่อนท่านก็จะใช้ทราย หรือน้ำมาทำเป็นปริตรผ่านตัววัตถุ และเมื่อทรายและน้ำยังทำพระปริตรเครื่องป้องกันได้ ทีนี้ พระเครื่องก็น่าจะทำได้เช่นกัน รวมไปถึง พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ เจดีย์ด้วย ก็ล้วนมีอานุภาพได้เช่นกัน
https://www.facebook.com/share/v/19xMb921wK/
ยกตัวอย่างเรื่องนี้ ๕. เรื่องนายทารุสากฏิกะ [๒๑๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุตรของนายทารุสากฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สุปฺปพุทฺธํ" เป็นต้น.
เด็กสองคนเล่นขลุบ
ความพิสดารว่า เด็กในพระนครราชคฤห์สองคน คือ "บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิคนหนึ่ง บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง" เล่นขลุบอยู่ด้วยกันเนืองๆ. ในเด็กสองคนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อจะทอดขลุบ ระลึกถึงพุทธานุสสติแล้วกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" แล้วจึงทอดขลุบ. เด็กนอกนี้ระลึกเฉพาะพระคุณทั้งหลายของพวกเดียรถีย์แล้ว กล่าวว่า "นโม อรหนฺตานํ" แล้วจึงทอด.
ในเด็กสองคนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมชนะ, เด็กคนนอกนี้ ย่อมแพ้.
บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น เห็นกิริยาของบุตรผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นแล้ว คิดว่า "เพื่อนคนนี้ระลึกแล้วอย่างนั้น กล่าวแล้วอย่างนั้น ทอดขลุบไปจึงชนะเรา แม้เราก็จักทำอย่างนั้น (บ้าง)" ได้ทำการสั่งสมในพุทธานุสสติแล้ว.
เด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐิไปป่ากับบิดา
ภายหลังวันหนึ่ง บิดาของเด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้น เทียมเกวียนแล้วไปเพื่อต้องการไม้ ได้พาเด็กแม้นั้นไปแล้ว บรรทุกเกวียนให้เต็มแล้วด้วยไม้ในดง ขับมาอยู่ (ถึง) ภายนอกเมือง ปล่อยโคไปในที่อันมีความสำราญด้วยน้ำ ในที่ใกล้ป่าช้า แล้วได้กระทำการจัดแจงภัต.
ลำดับนั้น โคของเขาเข้าไปสู่เมืองกับหมู่โคที่เข้าไปสู่เมืองในเวลาเย็น. ฝ่ายนายสากฏิกะเที่ยวติดตามโคอยู่ เข้าไปสู่เมืองแล้วในเวลาเย็น พบโคแล้วจูงออกไปอยู่ ไม่ทันถึงประตู ก็เมื่อเขายังไม่ทันถึงนั่นแหละ ประตูปิดเสียแล้ว.
ขณะนั้น บุตรของเขาผู้เดียวเท่านั้น นอนแล้วในภายใต้แห่งเกวียน ในส่วนแห่งราตรี ก้าวลงสู่ความหลับแล้ว.
เจริญพุทธานุสสติป้องกันอมนุษย์ได้
ก็กรุงราชคฤห์ แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์. อนึ่ง เด็กนี้ก็นอนแล้วในที่ใกล้แห่งป่าช้า. พวกอมนุษย์ในที่ใกล้แห่งป่าช้านั้นเห็นเขาแล้ว. อมนุษย์ตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนา, อมนุษย์ตนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ.
ในอมนุษย์ทั้งสองนั้น อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิกล่าวว่า "เด็กคนนี้เป็นภักษาหารของพวกเรา พวกเราจงเคี้ยวกินเด็กคนนี้." อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ ห้ามอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น ด้วยคำว่า "อย่าเลย ท่านอย่าชอบใจเลย." อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ถูกอมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นห้ามอยู่ ก็ไม่เอื้อเฟื้อถ้อยคำของเขา จับเท้าเด็กคร่ามาแล้ว.
ในขณะนั้น เด็กนั้นกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" เพราะความที่ตนเป็นผู้สั่งสมในพุทธานุสสติ. อมนุษย์กลัวภัยใหญ่ จึงได้ถอยไปยืนอยู่แล้ว.
อมนุษย์รักษาและบำรุงเด็กผู้นอนในป่าคนเดียว
ลำดับนั้น อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ กล่าวกะอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นว่า "พวกเราทำสิ่งอันไม่ควรทำเสียแล้ว พวกเราจงทำทัณฑกรรมเพื่อเด็กนั้นเสียเถิด" ดังนี้แล้ว ได้ยืนรักษาเด็กนั้น. อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปสู่พระนคร ยังถาดโภชนะของพระราชาให้เต็มแล้ว นำโภชนะมา.
ต่อมา อมนุษย์แม้ทั้งสองเป็นประดุจว่ามารดาและบิดาของเด็กนั้น ปลุกเด็กนั้นให้ลุกขึ้นแล้ว ให้บริโภคโภชนะนั้น ประกาศความเป็นไปนั้นแล้ว จารึกอักษรที่ถาดโภชนะ ด้วยอานุภาพของยักษ์ ด้วยอธิษฐานว่า "พระราชาเท่านั้นจงเห็นอักษรเหล่านี้ คนอื่นจงอย่าเห็น" ดังนี้แล้วจึงไป.
ในวันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษทำความโกลาหลอยู่ว่า "พวกโจรลักเอาภัณฑะ คือภาชนะไปจากราชตระกูลแล้ว" จึงปิดประตูทั้งหลายแล้วค้นดู เมื่อไม่เห็นในพระนคร จึงออกจากพระนคร ตรวจดูข้างโน้นและข้างนี้ จึงเห็นถาดอันเป็นวิการแห่งทองคำบนเกวียนที่บรรทุกฟืน จึงจับเด็กนั้น ด้วยความสำคัญว่า "เด็กนี้เป็นโจร" ดังนี้แล้ว แสดงแด่พระราชา.
เด็กถูกไต่สวน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลายแล้ว ตรัสถามว่า "นี่อะไรกัน? พ่อ." เด็กนั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ทราบ มารดาบิดาของข้าพระองค์มาให้บริโภคในราตรี แล้วได้ยืนรักษาอยู่ ข้าพระองค์คิดว่า ‘มารดาบิดารักษาเราอยู่’ จึงไม่มีความกลัวเลย เข้าถึงความหลับแล้ว ข้าพระองค์ทราบเพียงเท่านี้."
ลำดับนั้น แม้มารดาและบิดาของเด็กนั้น ก็ได้ไปสู่ที่นั้นแล้ว.
พระราชาทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงพาชนทั้งสามนั้นไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลความเป็นไปทั้งปวงแล้ว ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พุทธานุสสติเท่านั้น ย่อมเป็นคุณชาติเครื่องรักษาหรือหนอแล? หรือว่าอนุสสติอื่น แม้มีธัมมานุสสติเป็นต้น ก็เป็นคุณชาติเครื่องรักษา."
พระศาสดาทรงแสดงฐานะ ๖
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระราชานั้นว่า "มหาบพิตร พุทธานุสสติอย่างเดียวเท่านั้น เป็นคุณชาติเครื่องรักษาก็หามิได้ ก็จิตอันชนเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยฐานะ ๖. กิจด้วยอันรักษาและป้องกันอย่างอื่น หรือด้วยมนต์และโอสถ ย่อมไม่มีแก่ชนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงฐานะ ๖ ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๕. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ สงฺฆคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ กายคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ อหึสาย รโต มโน.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต มโน.
พระเครื่องมีพระพุทธคุณมั้ย?
สืบเนื่องจากมีกระแสในโลกออนไลน์ ที่เกิดการถกเถียงว่า พระเครื่องมีพระพุทธคุณมั้ย ประเด็นคือมีคนถาม อ.เบียร์ คนตื่นธรรมว่า พระเครื่องมีพระพุทธคุณมั้ย อ.บอกว่า พระเครื่องไม่มีพระพุทธคุณ......
พุทธคุณ ๙
คำว่า “พุทธคุณ” เป็นคำที่ชาวพุทธคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ได้อย่างถูกต้องนัก จึงขอนำมาอธิบายขยายความไว้ในที่นี้ โดยในพจนานุกรม พุทธศาสน์ ของรองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้ให้ความหมายไว้ว่า
พุทธคุณ ๙ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรอง เพื่อให้เป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐไว้ดังนี้
๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีคำแปลและความหมายอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้
๑.๑ เป็นผู้ควร คือ ผู้ทรงสั่งสอนสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้นได้ด้วย เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
๑.๒ เป็นผู้ไกล คือ ผู้ทรงไกลจากกิเลสและบาปกรรม เพราะทรงละได้เด็ดขาดแล้วทั้งโลภ โกรธ และหลง
๑.๓ เป็นผู้หักซี่กำแพงล้อสังสารวัฏ คือ ผู้ทรงตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้แล้ว
๑.๔ เป็นผู้ไม่มีข้อลี้ลับ คือ ผู้ทรงไม่มีบาปธรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น และเป็นผู้ควรได้รับความเคารพของผู้อื่น
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธเป็นผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นการค้นพบด้วยพระองค์เอง ไม่มีครู อาจารย์เป็นผู้สอน
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีวิชชาความรู้ตั้งแต่ความรู้ระดับพื้นฐาน จนกระทั่งความรู้ระดับสูงสุด และมีจรณะความประพฤติดีประพฤติได้ตามที่ทรงรู้ เช่น ความสำรวมในศีล เป็นต้น
๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดี คำว่า “ไปดี” มีความหมายหลายนัยคือ
๑.เสด็จดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางเดินที่ดี
๒.เสด็จไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ดียิ่ง
๓.เสด็จไปดีแล้ว เพราะทรงละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
๔.เสด็จไปปลอดภัยดี เพราะเสด็จไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก
๕. โลกวิทู เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก คือทรงรอบรู้โลกทางกายภาพ เช่นโลกมนุษย์ สัตว์โลก สังขารโลก โอกาสโลก และทรงรู้โลกภายในคือ ทุกข์และการดับทุกข์
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีผู้ทรงฝึกคนได้อย่างยอดเยี่ยม คือ พระองค์ทรงรู้นิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย(มีแวว) อธิมุตติ(ความถนัด) อินทรีย์(ความพร้อม) ของบุคคลระดับต่าง ๆ และทรงฝึกสอนด้วยเทคนิควิธีการที่เหมาะแก่ความเคยชิน แววถนัด และความพร้อมของเขาให้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติที่ควรเป็นครูของบุคคลในทุกระดับชั้น เพราะพระองค์ทรงรอบรู้และทรงสอนคนได้ทุกระดับ ทรงสอนด้วยความเมตตา มิใช่เพื่อลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ทรงมุ่งความถูกต้องและประโยชน์สุขของผู้ฟังเป็นใหญ่ ทรงสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของผู้ฟัง และทรงทำได้ตามที่ทรงสอนนั้นด้วย
๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ พระองค์ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ยึดถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงรู้จักฐานะ คือ เหตุที่ควรเป็น เปรียบได้กับคนตื่นจากหลับแล้วทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่งพระองค์ทรงตื่นแล้วเป็นอิสระจากอำนาจของโลภ โกรธ หลง แล้ว เมื่อทรงตื่นแล้วก็ทรงแจ่มใสเบิกบาน มีพระทัยบริสุทธิ์สะอาด
๙. ภควา เป็นผู้มีโชค ผู้ทรงแจกแบ่งธรรม คือพระองค์ทรงเพียบพร้อมได้ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา นับเป็นผู้มีโชคดีกว่าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงทำการใดก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ ส่วน “ภควา” แปลว่า “ทรงแจกแบ่งธรรม” หมายถึง มีพระปัญญาล้ำเลิศ จนสามารถจำแนกธรรมที่ลึกซึ้งให้เป็นที่เข้าใจง่าย และมีพระกรุณาธิคุณจำแนกจ่ายคำสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ให้รู้ตาม
พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้ สรุปลงเป็น ๓ ประการคือ
๑. พระวิสุทธิคุณ คือ ความบริสุทธิ์ อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๑,๓ และ ๙
๒. พระปัญญาคุณ คือ ปัญญา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๒,๕ และ๘
๓. พระมหากรุณาธิคุณ คือ พระมหากรุณา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๔,๖ และ ๗
ดังนั้น พระพุทธคุณจริงๆแล้วเป็นนามธรรม จิต เจตสิกที่เกิดตอนพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไป พุทธคุณเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว(สหชาตปัจจัย) แต่ถึงแม้พระพุทธคุณเหล่านี้จะไม่มีอยู่ก็จริง เราก็สามารถใช้เป็นเครื่องระลึกนึกถึงเพื่อให้เกิดกุศลจิตกับตัวเราได้ โดย(อารัมมณปัจจัย) ทำให้เกิดอานุภาพต่างๆได้ เช่นการทำพระปริตรต่างๆ ในสมัยก่อนท่านก็จะใช้ทราย หรือน้ำมาทำเป็นปริตรผ่านตัววัตถุ และเมื่อทรายและน้ำยังทำพระปริตรเครื่องป้องกันได้ ทีนี้ พระเครื่องก็น่าจะทำได้เช่นกัน รวมไปถึง พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ เจดีย์ด้วย ก็ล้วนมีอานุภาพได้เช่นกัน
https://www.facebook.com/share/v/19xMb921wK/
ยกตัวอย่างเรื่องนี้ ๕. เรื่องนายทารุสากฏิกะ [๒๑๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุตรของนายทารุสากฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สุปฺปพุทฺธํ" เป็นต้น.
เด็กสองคนเล่นขลุบ
ความพิสดารว่า เด็กในพระนครราชคฤห์สองคน คือ "บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิคนหนึ่ง บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิคนหนึ่ง" เล่นขลุบอยู่ด้วยกันเนืองๆ. ในเด็กสองคนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อจะทอดขลุบ ระลึกถึงพุทธานุสสติแล้วกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" แล้วจึงทอดขลุบ. เด็กนอกนี้ระลึกเฉพาะพระคุณทั้งหลายของพวกเดียรถีย์แล้ว กล่าวว่า "นโม อรหนฺตานํ" แล้วจึงทอด.
ในเด็กสองคนนั้น บุตรของบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมชนะ, เด็กคนนอกนี้ ย่อมแพ้.
บุตรของบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น เห็นกิริยาของบุตรผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นแล้ว คิดว่า "เพื่อนคนนี้ระลึกแล้วอย่างนั้น กล่าวแล้วอย่างนั้น ทอดขลุบไปจึงชนะเรา แม้เราก็จักทำอย่างนั้น (บ้าง)" ได้ทำการสั่งสมในพุทธานุสสติแล้ว.
เด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐิไปป่ากับบิดา
ภายหลังวันหนึ่ง บิดาของเด็กผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้น เทียมเกวียนแล้วไปเพื่อต้องการไม้ ได้พาเด็กแม้นั้นไปแล้ว บรรทุกเกวียนให้เต็มแล้วด้วยไม้ในดง ขับมาอยู่ (ถึง) ภายนอกเมือง ปล่อยโคไปในที่อันมีความสำราญด้วยน้ำ ในที่ใกล้ป่าช้า แล้วได้กระทำการจัดแจงภัต.
ลำดับนั้น โคของเขาเข้าไปสู่เมืองกับหมู่โคที่เข้าไปสู่เมืองในเวลาเย็น. ฝ่ายนายสากฏิกะเที่ยวติดตามโคอยู่ เข้าไปสู่เมืองแล้วในเวลาเย็น พบโคแล้วจูงออกไปอยู่ ไม่ทันถึงประตู ก็เมื่อเขายังไม่ทันถึงนั่นแหละ ประตูปิดเสียแล้ว.
ขณะนั้น บุตรของเขาผู้เดียวเท่านั้น นอนแล้วในภายใต้แห่งเกวียน ในส่วนแห่งราตรี ก้าวลงสู่ความหลับแล้ว.
เจริญพุทธานุสสติป้องกันอมนุษย์ได้
ก็กรุงราชคฤห์ แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์. อนึ่ง เด็กนี้ก็นอนแล้วในที่ใกล้แห่งป่าช้า. พวกอมนุษย์ในที่ใกล้แห่งป่าช้านั้นเห็นเขาแล้ว. อมนุษย์ตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนา, อมนุษย์ตนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ.
ในอมนุษย์ทั้งสองนั้น อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิกล่าวว่า "เด็กคนนี้เป็นภักษาหารของพวกเรา พวกเราจงเคี้ยวกินเด็กคนนี้." อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ ห้ามอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น ด้วยคำว่า "อย่าเลย ท่านอย่าชอบใจเลย." อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ถูกอมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินั้นห้ามอยู่ ก็ไม่เอื้อเฟื้อถ้อยคำของเขา จับเท้าเด็กคร่ามาแล้ว.
ในขณะนั้น เด็กนั้นกล่าวว่า "นโม พุทฺธสฺส" เพราะความที่ตนเป็นผู้สั่งสมในพุทธานุสสติ. อมนุษย์กลัวภัยใหญ่ จึงได้ถอยไปยืนอยู่แล้ว.
อมนุษย์รักษาและบำรุงเด็กผู้นอนในป่าคนเดียว
ลำดับนั้น อมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐินอกนี้ กล่าวกะอมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นว่า "พวกเราทำสิ่งอันไม่ควรทำเสียแล้ว พวกเราจงทำทัณฑกรรมเพื่อเด็กนั้นเสียเถิด" ดังนี้แล้ว ได้ยืนรักษาเด็กนั้น. อมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปสู่พระนคร ยังถาดโภชนะของพระราชาให้เต็มแล้ว นำโภชนะมา.
ต่อมา อมนุษย์แม้ทั้งสองเป็นประดุจว่ามารดาและบิดาของเด็กนั้น ปลุกเด็กนั้นให้ลุกขึ้นแล้ว ให้บริโภคโภชนะนั้น ประกาศความเป็นไปนั้นแล้ว จารึกอักษรที่ถาดโภชนะ ด้วยอานุภาพของยักษ์ ด้วยอธิษฐานว่า "พระราชาเท่านั้นจงเห็นอักษรเหล่านี้ คนอื่นจงอย่าเห็น" ดังนี้แล้วจึงไป.
ในวันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษทำความโกลาหลอยู่ว่า "พวกโจรลักเอาภัณฑะ คือภาชนะไปจากราชตระกูลแล้ว" จึงปิดประตูทั้งหลายแล้วค้นดู เมื่อไม่เห็นในพระนคร จึงออกจากพระนคร ตรวจดูข้างโน้นและข้างนี้ จึงเห็นถาดอันเป็นวิการแห่งทองคำบนเกวียนที่บรรทุกฟืน จึงจับเด็กนั้น ด้วยความสำคัญว่า "เด็กนี้เป็นโจร" ดังนี้แล้ว แสดงแด่พระราชา.
เด็กถูกไต่สวน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นอักษรทั้งหลายแล้ว ตรัสถามว่า "นี่อะไรกัน? พ่อ." เด็กนั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ทราบ มารดาบิดาของข้าพระองค์มาให้บริโภคในราตรี แล้วได้ยืนรักษาอยู่ ข้าพระองค์คิดว่า ‘มารดาบิดารักษาเราอยู่’ จึงไม่มีความกลัวเลย เข้าถึงความหลับแล้ว ข้าพระองค์ทราบเพียงเท่านี้."
ลำดับนั้น แม้มารดาและบิดาของเด็กนั้น ก็ได้ไปสู่ที่นั้นแล้ว.
พระราชาทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงพาชนทั้งสามนั้นไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลความเป็นไปทั้งปวงแล้ว ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พุทธานุสสติเท่านั้น ย่อมเป็นคุณชาติเครื่องรักษาหรือหนอแล? หรือว่าอนุสสติอื่น แม้มีธัมมานุสสติเป็นต้น ก็เป็นคุณชาติเครื่องรักษา."
พระศาสดาทรงแสดงฐานะ ๖
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระราชานั้นว่า "มหาบพิตร พุทธานุสสติอย่างเดียวเท่านั้น เป็นคุณชาติเครื่องรักษาก็หามิได้ ก็จิตอันชนเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยฐานะ ๖. กิจด้วยอันรักษาและป้องกันอย่างอื่น หรือด้วยมนต์และโอสถ ย่อมไม่มีแก่ชนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงฐานะ ๖ ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๕. สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ พุทฺธคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ ธมฺมคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ สงฺฆคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ กายคตา สติ.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ อหึสาย รโต มโน.
สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ ภาวนาย รโต มโน.