ขอแชร์ปสก.10 ปีกับการลดน้ำหนักสู่การปฏิวัติตัวเอง

สวัสดีค่ะ ยิ้ม

ก่อนอื่นขอเล่าที่มาของการมาตั้งกระทู้ในครั้งนี้ก่อนนะคะว่า มันมีที่มาจากน้ำเสียงคนรอบข้างที่บอกกันเหลือเกินว่า...  กระทู้ใน pantip สักทีเถอะ  แต่เราคิดว่า กระทู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมีคนตั้งไว้แล้วตั้งเยอะแยะ  เรื่องราวการลดน้ำหนักของเราก็คงจะไม่ต่างจากคนอื่นมากนักหรอก  ที่ผ่านมาก็เลยไม่เคยคิดที่จะลงมือทำเลย  

แต่ที่ตัดสินใจดีดนิ้วพิมพ์ในครั้งนี้  ก็เนื่องมาจากการได้ยินคำพูดที่ว่า “พี่เห็นน้องเป็นไอดอลเลยนะเนี่ย  ว่าพี่ก็ต้องลดน้ำหนักได้อย่างน้องเหมือนกัน” ณ เวลาที่ได้ยินประโยคนี้  หัวใจมันพองโตอย่างบอกไม่ถูก

เราไม่เคยคิดว่าความพยายามลดน้ำหนักของเราเองจะสามารถกลายเป็นแรงผลักดันให้กับคนอื่นได้  จากนั้นคำพูดของคนรอบข้างที่เคยผ่านหูในอดีตว่า “ให้ตั้งกระทู้ใน pantip” ก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง  พร้อมกับความหวังว่าเรื่องราวของเราน่าจะเป็นพลังงานด้านบวกให้กับคนอื่น ๆ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างถูกวิธีได้ด้วยเช่นกัน



เริ่มต้นอย่างแรกเลยก็คือ... ต้องคิดและตัดสินใจก่อนให้ได้ว่า “อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”  ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม (หรือโดยที่ไม่ต้องมีสาเหตุก็ได้)  ขอเพียงค้นหาจุดเริ่มต้นที่จะออกสตาร์ทให้ได้ก่อน  สำหรับตัวเรานั้น... จุดเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มพบกับปัญหาของ ”การอ้วน” นั่นก็คือสุขภาพ

และอีกข้อหนึ่งที่เชื่อว่าคนอวบอ้วนทั่วไปมักประสบกันก็คือ.. ลมปากของคนรอบข้างที่คอยทำร้ายจิตใจกันอยู่เสมอนั่นเองค่ะ


เราเป็นเด็กที่อ้วนขึ้นมาเรื่อย ๆ   ไม่ใช่อ้วนแต่เด็กนะคะ  เพราะลองไปค้นดูรูปตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กอ้วน  แต่เป็นประมาณค่อย ๆ อ้วนขึ้นเรื่อย ๆ ทุก 365 วัน (^^”)  พอมารู้สึกตัวอีกทีก็มีน้ำหนักปาเข้าไป 65 กิโลแล้วล่ะค่ะ (สูงประมาณ 160 ซม.)


ชีวิตที่ผ่านมาจวบจนน้ำหนัก 65 กก. นั้นผ่านไปในรูปแบบของเด็กทอม ๆ  แต่งตัวไม่เป็น... แต่จริง ๆ แล้วคือไม่กล้าแต่งมากกว่าค่ะ

เราคิดว่าตัวเราอ้วนแบบนี้  หน้าตาสิวเขรอะแบบนี้  แต่งยังไงมันก็คงออกมาพินาศอยู่ดี  ดังนั้นจึงเลือกที่จะทำตัวเรียบ ๆ ง่าย ๆ   ใส่เสื้อยืดผู้ชายตัวโคร่ง ๆ กับกางเกงยีนส์ขากระบอกดีกว่า

(ป.ล. สมัยก่อนการแต่งหน้าและการประทินผิวของเด็กวัยรุ่นยังไม่ได้เป็นที่นิยมแบบในทุกวันนี้  ส่วนเสื้อผ้าก็ยังไม่มีไซส์สำหรับคนอ้วนที่มีดีไซน์สวย ๆ ออกมาวางขายให้เลือกซื้อกันอย่างมากมายแบบในปัจจุบัน  ดังนั้นคนไซส์ลูกฮิปโปอย่างเราจะซื้อเสื้อผ้าที  ก็ต้องเดินเข้าไปดูแผนกเสื้อผ้าผู้ชายเท่านั้นล่ะ >_<)


65 กก. กับความสูง 165 ซม. ฟังดูอาจจะไม่ได้ว่าอ้วนสักเท่าไหร่...

ใช่แล้วค่ะ  เพราะนั่นยังไม่ใช่น้ำหนักสูงสุดในชีวิต  เพียงแต่เป็นจุดที่เราเริ่มรู้สึกตัวว่า.. ตัวเองอ้วน แล้วเท่านั้นเอง
เพราะหลังจากนั้นอีกแค่ราว 2 ปี  เราก็ทำน้ำหนักเพิ่มให้กับตัวเองมากขึ้นไปถึง 82-83 กิโลกรัม  เป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่จุดนี้ค่ะ

เพราะอะไรถึงไม่ขยับน้ำหนักขึ้นไปมากกว่านี้น่ะเหรอ?  เจ็บเข่าน่ะสิคะ!
“พอน้ำหนักมากจะทำให้ไปกดเข่า” คำนี้ลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะค่ะ

ตอนแรกก็คิดแค่ว่าไปทำอะไรมารึเปล่าถึงเจ็บ  พักก็คงหาย  แต่ไม่ใช่ค่ะ
เพราะลองสังเกตุตัวเองว่าถ้าน้ำหนักขึ้นไปแตะที่ 83 กิโลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็...
อาการเจ็บหัวเข่าจะมา  แต่พอน้ำหนักลง  อาการเจ็บก็จะเบาลง


ถึงแม้ว่าน้ำหนักเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพล่ะ  แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองอ้วนมากเกินปกติ  จนกระทั่ง...
“เอ๊ะ! ทำไมเก้าอี้บนเครื่องบินลำนี้มันเล็กจัง?!”

ย้อนนึกถึงตอนนั้นแล้วก็อดขำกับตัวเองไม่ได้  เก้าอี้มันก็ขนาดเท่าเดิมน่ะแหล่ะ  แต่ตัวเธอตังหากล่ะยะที่พองขึ้นจนแน่นเก้าอี้!

ขนาดนี้แล้ว.. แต่ก็ยังไม่สำนึกในความอ้วนของตัวเองหรอกนะคะ  จนกระทั่งเมื่อเราตระเวนหาซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน  ก็ได้ประสบกับปากหอยปากปูจากร้านขายเสื้อผ้าที่(ส่วนใหญ่จะเป็น)แม่ค้านอกจากจะทำสายตาดูถูกใส่แล้ว  ยังชอบพูดตอกย้ำเสียเหลือเกินว่า “ไซส์อย่างน้องไม่มีหรอกค่ะ”


และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่จุดไฟให้กับตัวเราเริ่ม ”คิด” ที่จะลดน้ำหนัก  โดยเริ่มจากค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี?  มีวิธีไหนบ้างหนอที่จะทำให้ลดน้ำหนักได้ไว ๆ แบบง่าย ๆ (สูตรสำเร็จที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง) ...

และแล้วเราก็ไปสะดุดตาเข้ากับการลดน้ำหนักแบบ Atkins  (เนื่องจากเราไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด  จึงขอพูดแค่คร่าว ๆ ว่าเป็นวิธีการที่ให้งดบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด  แต่สามารถทานโปรตีนและไขมันได้ไม่อั้น)
อ่านแล้วก็ประเมินว่าตัวเองน่าจะทำได้  ก็ลงมือลองทำเลยค่ะ  กำหนดระยะเวลาให้ตัวเอง 3 เดือน  สู้ตาย !!!



ยากที่สุดคือ 1 เดือนแรก!  เพราะมันคือช่วงแห่งการปรับตัว
เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มแล้ว  ก็ตั้งคติไว้ในใจว่า ถ้าไม่แน่วแน่จริง  ก็จะพังโดยการได้น้ำหนักเพิ่มมาแทนแน่ ๆ

อารมณ์ไขว้เขว  ถูกเย้ายวนด้วยกลิ่นอาหาร  และขนมหวานมีมาท้าทายอยู่ตลอด  
แต่ด้วยคำห้ามปรามจากเพื่อนที่ว่า “เธอกินไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” เป็นเชือกที่คอยรั้งเราไว้ไม่ให้หลุดจากเส้นทางและเป็นแรงผลักดันได้เราสามารถก้าวข้ามผ่านเดือนแรกที่ยากลำบากไปได้

พอเข้าเดือนที่ 2   เราก็เริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่และไม่รู้สึกว่าลำบากเหมือนตอนเดือนแรกแล้วล่ะค่ะ


ผ่านพ้นไป 3 เดือน... เราก็คุ้นเคยกับชีวิตในแบบแผนใหม่โดยไม่รู้สึกลำบากใจอีกแล้ว

ผลลัพธ์ของความพยายามที่ผ่านมาปรากฎออกมาเป็นที่น่าพอใจมากค่ะ  น้ำหนักเราลงไป 10 กิโลกรัม  คนรอบข้างทักว่าผอมลง  แต่มันก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่เราอยากได้ (แหม.. ก็หล่อนเล่นไปเพิ่มน้ำหนักมา 18 กิโลนะอย่าลืม)

จากนั้นก็เลยยังคงใช้ชีวิตอยู่กับ Atkins ไปอีก 1 ปี 6 เดือน  จนกระทั่งวิธีนี้เริ่มไม่ค่อยจะเห็นผลแล้วล่ะ  เราจึงตัดสินใจว่า พอเสียที  

จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 6 เดือนในการค่อย ๆ ปรับตัวให้กลับมารับประทานอาหารประเภทแป้งอีกครั้ง  ระหว่างการปรับตัวก็ใช้เวลาท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาวิธีใหม่  พร้อมกับเริ่มศึกษาเรื่องเสริมสวย  ทั้งเรื่องเครื่องประทินผิวและการแต่งหน้าไปพร้อม ๆ กัน (กะกว่าผอมแล้วก็สวยได้เลยในทีเดียว  ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาทีละเรื่อง)


“ออกกำลังกาย” ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด  แต่มันก็เป็นหนทางที่เราพยายามเลี่ยงมาตลอด  อ้างว่าไม่ชอบบ้าง  ขี้เกียจบ้าง... ก็มันเรื่องจริงนี่! ในความคิดตอนนั้นคิดว่ามันต้องมีวิธีอื่นสิที่ไม่ต้องออกกำลังกาย

แต่หลังจากที่เราค้นพบไอดอลเพื่อการลดน้ำหนักเป็นสรีระชวนน่าน้ำลายสอของเหล่านางฟ้าแบรนด์ Victoria’s Secret และติดตามข่าวคราวดูแล้ว  พบว่าขนาดพวกนางยังต้องฟิตออกกำลังกาย  เราก็ต้องตามพวกนางล่ะน่ะ  และแล้วก็ตัดใจทุ่มเงินซื้อเครื่อง Elliptical Machine มาตั้งที่บ้านด้วยราคา 1 หมื่นบาทเศษ
(ไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้  เลยขอใช้เป็นภาพเครื่อง Arc Trainer ลงแทนนะคะ  หน้าตาคล้าย ๆ กันค่ะ)


แต่กว่าเราจะซื้อเครื่องออกกำลังเครื่องนี้ได้  เราทั้งค้นคว้าและคิดไตร่ตรองหลายตลบนะคะ เช่น การเล่นเวท... มันเป็นการออกกำลังกายที่มีหลายท่ามาก  แถมทฤษฎีก็เยอะ  ปฏิบัติก็แยะ  เราไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น ตัดวิธีนี้ทิ้งในทันที

มามองวิธีการที่ง่าย ๆ และไม่ต้องลงทุนมากอย่างการวิ่ง  พร้อมกับทดลองจริงก่อนจะควักสตางค์ออกจากกระเป๋า  เพื่อศึกษาว่าเจ้าเครื่องนี่มันจะเหมาะกับชีวิตเรารึเปล่า?  (ซื้อมาแล้วเครื่องออกกำลังกายจะต้องไม่กลายเป็นราวตากผ้า!) ด้วยการทดลองวิ่งภายในหมู่บ้าน  

แต่เนื่องจากกลับบ้านค่ำแทบทุกวัน  แถมวันไหนฟ้ามืดไวก็รีบเผ่นเข้าบ้านแล้วล่ะค่ะ  ทั้งยังค้นพบอีกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกายเอาซะเลย  ดังนั้นก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาดึงความสนใจเราออกไปจากความรู้สึกนี้ให้ได้... นั่นก็คือ ทีวี นั่นเอง! ^^

แต่ก็ไม่ใช่เพียงโทรทัศน์เท่านั้นนะคะ  ต้องมีออพชั่นเสริมเป็นซีรี่ส์หรือแผ่นหนังด้วย  ถึงจะดึงความขี้เกียจออกจากตัวเราให้ออกไปได้สัก 30 นาทีเป็นอย่างน้อย (ทฤษฎีที่อ่านมาเขาว่าไว้อย่างนั้น...)


ในช่วงเริ่มต้นออกกำลังกาย  มีบ้างที่ขี้เกียจและหาข้ออ้างให้กับตัวเองสารพัดเพื่อที่จะงดออกกำลังกาย  เลยทำตารางบันทึกการออกกำลังกายมาติดไว้ที่ฝาบ้าน  เมื่อเห็นตารางว่างติดต่อกันมาก ๆ เข้า  ก็จะเปิดแฟชั่นโชว์ของ Victoria’s Secret ขึ้นมากระตุ้นตัวเองค่ะ (อยากได้หุ่นแบบพวกเธอ... ถ้าขี้เกียจแล้วมันจะได้งั้นเรอะ!  ฉะนั้น ลุกขึ้นมาวิ่งซะดีๆ)
ผลที่ได้ก็คือน้ำหนักตัวค่อย ๆ ลดลงค่ะ  เรารู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าเริ่มหลวมขึ้น  แอบยิ้มให้กับตัวเองเล็ก ๆ กับผลความสำเร็จที่ได้มา

แต่ชีวิตคนเรามันต่างคนต่างมุมมองจริง ๆ  คนอื่นอาจมองเห็นว่าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยก็มี  เรามารู้ได้ก็จากคำพูดของพี่ที่ทำงานที่ว่า “พี่ได้ยินใคร ๆ ก็บอกว่าน้องผอมลง  แต่พี่ไม่เห็นน้องจะผอมลงตรงไหนเลย”

คำพูดนี้เสียดแทงอกนับจนทุกวันนี้  เมื่อตอนหาซื้อเสื้อผ้าทำงานครั้งโน้นว่าทำให้เราเสียใจแล้ว  แต่ก็ยังไม่ทำร้ายหัวใจเราเท่ากับคำพูดจาถากถางนี้  แถมยังพ่วงมาด้วยกับอีก 1 คำพูดของพี่อีกคนในบริษัทที่ว่า “ถ้าน้องใส่เสื้อไซส์ XL ได้  พี่ให้เลย 500”
ตอนนั้นเราถึงกับขอเสื้อมาลองสวมทับ ณ ตรงที่ได้ยินตอนนั้น  พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าใส่ได้  

แต่พอหันไปอีกที...  พี่เขาเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 555+


ทุกครั้งที่เหนื่อย... ทุกครั้งที่ท้อ... เราจะได้ยิน 2 คำนี้ลอยขึ้นมา
เป็นคำพูดจาถากถางที่เอาไว้คอยกระตุ้นและผลักดันให้เข้มงวดกับตัวเอง  ฮึดขึ้นสู้ได้ใหม่ทุกครั้งไป
พูดในใจว่า “คอยดูนะ  ชั้นจะผอมให้ดู!”  พร้อมกับยิ่งกดดันตัวเองด้วยการตั้งกฎขึ้นมาใหม่ว่า จะไม่ทานอาหารหลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป !


กลับมาเรื่องผลลัพธ์ของการออกกำลังกาย + การควบคุมอาหารอีก 1 ปีต่อมา
(ที่ถึงแม้เราจะเลิก Atkins ไปแล้ว  แต่มันก็ยังส่งอิทธิพลให้กับชีวิตเราอยู่  ทำให้เราเป็นคนกลัวการกิน)
ปริมาณในการทานแต่ละมื้อเท่ากับปริมาณแมวดม  ซ้ำยังแทบจะไม่เอาช้อนสะกิดอาหารประเภทแป้งเลย

น้ำหนักเราลงไปอีก 10 กิโล  เหลืออยู่ที่ประมาณ 61-62 กิโลค่ะ



เดี๋ยวต่อเรื่องราวที่คห.นะคะ  หมดพื้นที่พิมพ์ตรงนี้แล้วค่ะ ^^"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่