สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาของการมาตั้งกระทู้ในครั้งนี้ก่อนนะคะว่า มันมีที่มาจากน้ำเสียงคนรอบข้างที่บอกกันเหลือเกินว่า... กระทู้ใน pantip สักทีเถอะ แต่เราคิดว่า กระทู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมีคนตั้งไว้แล้วตั้งเยอะแยะ เรื่องราวการลดน้ำหนักของเราก็คงจะไม่ต่างจากคนอื่นมากนักหรอก ที่ผ่านมาก็เลยไม่เคยคิดที่จะลงมือทำเลย
แต่ที่ตัดสินใจดีดนิ้วพิมพ์ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากการได้ยินคำพูดที่ว่า
“พี่เห็นน้องเป็นไอดอลเลยนะเนี่ย ว่าพี่ก็ต้องลดน้ำหนักได้อย่างน้องเหมือนกัน” ณ เวลาที่ได้ยินประโยคนี้ หัวใจมันพองโตอย่างบอกไม่ถูก
เราไม่เคยคิดว่าความพยายามลดน้ำหนักของเราเองจะสามารถกลายเป็นแรงผลักดันให้กับคนอื่นได้ จากนั้นคำพูดของคนรอบข้างที่เคยผ่านหูในอดีตว่า
“ให้ตั้งกระทู้ใน pantip” ก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง พร้อมกับความหวังว่าเรื่องราวของเราน่าจะเป็นพลังงานด้านบวกให้กับคนอื่น ๆ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างถูกวิธีได้ด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นอย่างแรกเลยก็คือ... ต้องคิดและตัดสินใจก่อนให้ได้ว่า
“อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง” ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม (หรือโดยที่ไม่ต้องมีสาเหตุก็ได้) ขอเพียงค้นหาจุดเริ่มต้นที่จะออกสตาร์ทให้ได้ก่อน สำหรับตัวเรานั้น... จุดเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มพบกับปัญหาของ ”การอ้วน” นั่นก็คือ
สุขภาพ
และอีกข้อหนึ่งที่เชื่อว่าคนอวบอ้วนทั่วไปมักประสบกันก็คือ..
ลมปากของคนรอบข้างที่คอยทำร้ายจิตใจกันอยู่เสมอนั่นเองค่ะ
เราเป็นเด็กที่อ้วนขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่อ้วนแต่เด็กนะคะ เพราะลองไปค้นดูรูปตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กอ้วน แต่เป็นประมาณค่อย ๆ อ้วนขึ้นเรื่อย ๆ ทุก 365 วัน (^^”) พอมารู้สึกตัวอีกทีก็มีน้ำหนักปาเข้าไป 65 กิโลแล้วล่ะค่ะ (สูงประมาณ 160 ซม.)
ชีวิตที่ผ่านมาจวบจนน้ำหนัก 65 กก. นั้นผ่านไปในรูปแบบของเด็กทอม ๆ แต่งตัวไม่เป็น... แต่จริง ๆ แล้วคือไม่กล้าแต่งมากกว่าค่ะ
เราคิดว่าตัวเราอ้วนแบบนี้ หน้าตาสิวเขรอะแบบนี้ แต่งยังไงมันก็คงออกมาพินาศอยู่ดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะทำตัวเรียบ ๆ ง่าย ๆ ใส่เสื้อยืดผู้ชายตัวโคร่ง ๆ กับกางเกงยีนส์ขากระบอกดีกว่า
(ป.ล. สมัยก่อนการแต่งหน้าและการประทินผิวของเด็กวัยรุ่นยังไม่ได้เป็นที่นิยมแบบในทุกวันนี้ ส่วนเสื้อผ้าก็ยังไม่มีไซส์สำหรับคนอ้วนที่มีดีไซน์สวย ๆ ออกมาวางขายให้เลือกซื้อกันอย่างมากมายแบบในปัจจุบัน ดังนั้นคนไซส์ลูกฮิปโปอย่างเราจะซื้อเสื้อผ้าที ก็ต้องเดินเข้าไปดูแผนกเสื้อผ้าผู้ชายเท่านั้นล่ะ >_<)
65 กก. กับความสูง 165 ซม. ฟังดูอาจจะไม่ได้ว่าอ้วนสักเท่าไหร่...
ใช่แล้วค่ะ เพราะนั่นยังไม่ใช่น้ำหนักสูงสุดในชีวิต เพียงแต่เป็นจุดที่เราเริ่มรู้สึกตัวว่า..
ตัวเองอ้วน แล้วเท่านั้นเอง
เพราะหลังจากนั้นอีกแค่ราว 2 ปี เราก็ทำน้ำหนักเพิ่มให้กับตัวเองมากขึ้นไปถึง 82-83 กิโลกรัม เป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่จุดนี้ค่ะ
เพราะอะไรถึงไม่ขยับน้ำหนักขึ้นไปมากกว่านี้น่ะเหรอ? เจ็บเข่าน่ะสิคะ!
“พอน้ำหนักมากจะทำให้ไปกดเข่า” คำนี้ลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะค่ะ
ตอนแรกก็คิดแค่ว่าไปทำอะไรมารึเปล่าถึงเจ็บ พักก็คงหาย แต่ไม่ใช่ค่ะ
เพราะลองสังเกตุตัวเองว่าถ้าน้ำหนักขึ้นไปแตะที่ 83 กิโลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็...
อาการเจ็บหัวเข่าจะมา แต่พอน้ำหนักลง อาการเจ็บก็จะเบาลง
ถึงแม้ว่าน้ำหนักเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพล่ะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองอ้วนมากเกินปกติ จนกระทั่ง...
“เอ๊ะ! ทำไมเก้าอี้บนเครื่องบินลำนี้มันเล็กจัง?!”
ย้อนนึกถึงตอนนั้นแล้วก็อดขำกับตัวเองไม่ได้ เก้าอี้มันก็ขนาดเท่าเดิมน่ะแหล่ะ แต่ตัวเธอตังหากล่ะยะที่พองขึ้นจนแน่นเก้าอี้!
ขนาดนี้แล้ว.. แต่ก็ยังไม่สำนึกในความอ้วนของตัวเองหรอกนะคะ จนกระทั่งเมื่อเราตระเวนหาซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน ก็ได้ประสบกับปากหอยปากปูจากร้านขายเสื้อผ้าที่(ส่วนใหญ่จะเป็น)แม่ค้านอกจากจะทำสายตาดูถูกใส่แล้ว ยังชอบพูดตอกย้ำเสียเหลือเกินว่า
“ไซส์อย่างน้องไม่มีหรอกค่ะ”
และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่จุดไฟให้กับตัวเราเริ่ม
”คิด” ที่จะลดน้ำหนัก โดยเริ่มจากค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? มีวิธีไหนบ้างหนอที่จะทำให้ลดน้ำหนักได้ไว ๆ แบบง่าย ๆ (สูตรสำเร็จที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง) ...
และแล้วเราก็ไปสะดุดตาเข้ากับการลดน้ำหนักแบบ Atkins (เนื่องจากเราไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด จึงขอพูดแค่คร่าว ๆ ว่าเป็นวิธีการที่ให้งดบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด แต่สามารถทานโปรตีนและไขมันได้ไม่อั้น)
อ่านแล้วก็ประเมินว่าตัวเองน่าจะทำได้ ก็ลงมือลองทำเลยค่ะ กำหนดระยะเวลาให้ตัวเอง 3 เดือน
สู้ตาย !!!
ยากที่สุดคือ 1 เดือนแรก! เพราะมันคือช่วงแห่งการปรับตัว
เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มแล้ว ก็ตั้งคติไว้ในใจว่า ถ้าไม่แน่วแน่จริง ก็จะพังโดยการได้น้ำหนักเพิ่มมาแทนแน่ ๆ
อารมณ์ไขว้เขว ถูกเย้ายวนด้วยกลิ่นอาหาร และขนมหวานมีมาท้าทายอยู่ตลอด
แต่ด้วยคำห้ามปรามจากเพื่อนที่ว่า
“เธอกินไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” เป็นเชือกที่คอยรั้งเราไว้ไม่ให้หลุดจากเส้นทางและเป็นแรงผลักดันได้เราสามารถก้าวข้ามผ่านเดือนแรกที่ยากลำบากไปได้
พอเข้าเดือนที่ 2 เราก็เริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่และไม่รู้สึกว่าลำบากเหมือนตอนเดือนแรกแล้วล่ะค่ะ
ผ่านพ้นไป 3 เดือน... เราก็คุ้นเคยกับชีวิตในแบบแผนใหม่โดยไม่รู้สึกลำบากใจอีกแล้ว
ผลลัพธ์ของความพยายามที่ผ่านมาปรากฎออกมาเป็นที่น่าพอใจมากค่ะ น้ำหนักเราลงไป 10 กิโลกรัม คนรอบข้างทักว่าผอมลง แต่มันก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่เราอยากได้ (แหม.. ก็หล่อนเล่นไปเพิ่มน้ำหนักมา 18 กิโลนะอย่าลืม)
จากนั้นก็เลยยังคงใช้ชีวิตอยู่กับ Atkins ไปอีก 1 ปี 6 เดือน จนกระทั่งวิธีนี้เริ่มไม่ค่อยจะเห็นผลแล้วล่ะ เราจึงตัดสินใจว่า
พอเสียที
จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 6 เดือนในการค่อย ๆ ปรับตัวให้กลับมารับประทานอาหารประเภทแป้งอีกครั้ง ระหว่างการปรับตัวก็ใช้เวลาท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาวิธีใหม่ พร้อมกับเริ่มศึกษาเรื่องเสริมสวย ทั้งเรื่องเครื่องประทินผิวและการแต่งหน้าไปพร้อม ๆ กัน (กะกว่าผอมแล้วก็สวยได้เลยในทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาทีละเรื่อง)
“ออกกำลังกาย” ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นหนทางที่เราพยายามเลี่ยงมาตลอด อ้างว่าไม่ชอบบ้าง ขี้เกียจบ้าง...
ก็มันเรื่องจริงนี่! ในความคิดตอนนั้นคิดว่ามันต้องมีวิธีอื่นสิที่ไม่ต้องออกกำลังกาย
แต่หลังจากที่เราค้นพบไอดอลเพื่อการลดน้ำหนักเป็นสรีระชวนน่าน้ำลายสอของเหล่านางฟ้าแบรนด์ Victoria’s Secret และติดตามข่าวคราวดูแล้ว พบว่าขนาดพวกนางยังต้องฟิตออกกำลังกาย เราก็ต้องตามพวกนางล่ะน่ะ และแล้วก็ตัดใจทุ่มเงินซื้อเครื่อง Elliptical Machine มาตั้งที่บ้านด้วยราคา 1 หมื่นบาทเศษ
(ไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้ เลยขอใช้เป็นภาพเครื่อง Arc Trainer ลงแทนนะคะ หน้าตาคล้าย ๆ กันค่ะ)
แต่กว่าเราจะซื้อเครื่องออกกำลังเครื่องนี้ได้ เราทั้งค้นคว้าและคิดไตร่ตรองหลายตลบนะคะ เช่น การเล่นเวท... มันเป็นการออกกำลังกายที่มีหลายท่ามาก แถมทฤษฎีก็เยอะ ปฏิบัติก็แยะ เราไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก เพราะฉะนั้น ตัดวิธีนี้ทิ้งในทันที
มามองวิธีการที่ง่าย ๆ และไม่ต้องลงทุนมากอย่างการวิ่ง พร้อมกับทดลองจริงก่อนจะควักสตางค์ออกจากกระเป๋า เพื่อศึกษาว่า
เจ้าเครื่องนี่มันจะเหมาะกับชีวิตเรารึเปล่า? (ซื้อมาแล้วเครื่องออกกำลังกายจะต้องไม่กลายเป็นราวตากผ้า!) ด้วยการทดลองวิ่งภายในหมู่บ้าน
แต่เนื่องจากกลับบ้านค่ำแทบทุกวัน แถมวันไหนฟ้ามืดไวก็รีบเผ่นเข้าบ้านแล้วล่ะค่ะ ทั้งยังค้นพบอีกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกายเอาซะเลย ดังนั้นก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาดึงความสนใจเราออกไปจากความรู้สึกนี้ให้ได้... นั่นก็คือ
ทีวี นั่นเอง! ^^
แต่ก็ไม่ใช่เพียงโทรทัศน์เท่านั้นนะคะ ต้องมีออพชั่นเสริมเป็นซีรี่ส์หรือแผ่นหนังด้วย ถึงจะดึงความขี้เกียจออกจากตัวเราให้ออกไปได้สัก 30 นาทีเป็นอย่างน้อย (ทฤษฎีที่อ่านมาเขาว่าไว้อย่างนั้น...)
ในช่วงเริ่มต้นออกกำลังกาย มีบ้างที่ขี้เกียจและหาข้ออ้างให้กับตัวเองสารพัดเพื่อที่จะงดออกกำลังกาย เลยทำ
ตารางบันทึกการออกกำลังกายมาติดไว้ที่ฝาบ้าน เมื่อเห็นตารางว่างติดต่อกันมาก ๆ เข้า ก็จะเปิดแฟชั่นโชว์ของ Victoria’s Secret ขึ้นมากระตุ้นตัวเองค่ะ (อยากได้หุ่นแบบพวกเธอ... ถ้าขี้เกียจแล้วมันจะได้งั้นเรอะ! ฉะนั้น ลุกขึ้นมาวิ่งซะดีๆ)
ผลที่ได้ก็คือน้ำหนักตัวค่อย ๆ ลดลงค่ะ เรารู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าเริ่มหลวมขึ้น แอบยิ้มให้กับตัวเองเล็ก ๆ กับผลความสำเร็จที่ได้มา
แต่ชีวิตคนเรามันต่างคนต่างมุมมองจริง ๆ คนอื่นอาจมองเห็นว่าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยก็มี เรามารู้ได้ก็จากคำพูดของพี่ที่ทำงานที่ว่า
“พี่ได้ยินใคร ๆ ก็บอกว่าน้องผอมลง แต่พี่ไม่เห็นน้องจะผอมลงตรงไหนเลย”
คำพูดนี้เสียดแทงอกนับจนทุกวันนี้ เมื่อตอนหาซื้อเสื้อผ้าทำงานครั้งโน้นว่าทำให้เราเสียใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ทำร้ายหัวใจเราเท่ากับคำพูดจาถากถางนี้ แถมยังพ่วงมาด้วยกับอีก 1 คำพูดของพี่อีกคนในบริษัทที่ว่า
“ถ้าน้องใส่เสื้อไซส์ XL ได้ พี่ให้เลย 500”
ตอนนั้นเราถึงกับขอเสื้อมาลองสวมทับ ณ ตรงที่ได้ยินตอนนั้น พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าใส่ได้
แต่พอหันไปอีกที... พี่เขาเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 555+
ทุกครั้งที่เหนื่อย... ทุกครั้งที่ท้อ... เราจะได้ยิน 2 คำนี้ลอยขึ้นมา
เป็นคำพูดจาถากถางที่เอาไว้คอยกระตุ้นและผลักดันให้เข้มงวดกับตัวเอง ฮึดขึ้นสู้ได้ใหม่ทุกครั้งไป
พูดในใจว่า
“คอยดูนะ ชั้นจะผอมให้ดู!” พร้อมกับยิ่งกดดันตัวเองด้วยการตั้งกฎขึ้นมาใหม่ว่า จะ
ไม่ทานอาหารหลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป !
กลับมาเรื่องผลลัพธ์ของการออกกำลังกาย + การควบคุมอาหารอีก 1 ปีต่อมา
(ที่ถึงแม้เราจะเลิก Atkins ไปแล้ว แต่มันก็ยังส่งอิทธิพลให้กับชีวิตเราอยู่ ทำให้เราเป็นคนกลัวการกิน)
ปริมาณในการทานแต่ละมื้อเท่ากับปริมาณแมวดม ซ้ำยังแทบจะไม่เอาช้อนสะกิดอาหารประเภทแป้งเลย
น้ำหนักเราลงไปอีก 10 กิโล เหลืออยู่ที่ประมาณ 61-62 กิโลค่ะ
เดี๋ยวต่อเรื่องราวที่คห.นะคะ หมดพื้นที่พิมพ์ตรงนี้แล้วค่ะ ^^"
ขอแชร์ปสก.10 ปีกับการลดน้ำหนักสู่การปฏิวัติตัวเอง
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาของการมาตั้งกระทู้ในครั้งนี้ก่อนนะคะว่า มันมีที่มาจากน้ำเสียงคนรอบข้างที่บอกกันเหลือเกินว่า... กระทู้ใน pantip สักทีเถอะ แต่เราคิดว่า กระทู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมีคนตั้งไว้แล้วตั้งเยอะแยะ เรื่องราวการลดน้ำหนักของเราก็คงจะไม่ต่างจากคนอื่นมากนักหรอก ที่ผ่านมาก็เลยไม่เคยคิดที่จะลงมือทำเลย
แต่ที่ตัดสินใจดีดนิ้วพิมพ์ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากการได้ยินคำพูดที่ว่า “พี่เห็นน้องเป็นไอดอลเลยนะเนี่ย ว่าพี่ก็ต้องลดน้ำหนักได้อย่างน้องเหมือนกัน” ณ เวลาที่ได้ยินประโยคนี้ หัวใจมันพองโตอย่างบอกไม่ถูก
เราไม่เคยคิดว่าความพยายามลดน้ำหนักของเราเองจะสามารถกลายเป็นแรงผลักดันให้กับคนอื่นได้ จากนั้นคำพูดของคนรอบข้างที่เคยผ่านหูในอดีตว่า “ให้ตั้งกระทู้ใน pantip” ก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง พร้อมกับความหวังว่าเรื่องราวของเราน่าจะเป็นพลังงานด้านบวกให้กับคนอื่น ๆ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างถูกวิธีได้ด้วยเช่นกัน
เริ่มต้นอย่างแรกเลยก็คือ... ต้องคิดและตัดสินใจก่อนให้ได้ว่า “อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง” ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม (หรือโดยที่ไม่ต้องมีสาเหตุก็ได้) ขอเพียงค้นหาจุดเริ่มต้นที่จะออกสตาร์ทให้ได้ก่อน สำหรับตัวเรานั้น... จุดเริ่มต้นมาจากการที่เราเริ่มพบกับปัญหาของ ”การอ้วน” นั่นก็คือสุขภาพ
และอีกข้อหนึ่งที่เชื่อว่าคนอวบอ้วนทั่วไปมักประสบกันก็คือ.. ลมปากของคนรอบข้างที่คอยทำร้ายจิตใจกันอยู่เสมอนั่นเองค่ะ
เราเป็นเด็กที่อ้วนขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ใช่อ้วนแต่เด็กนะคะ เพราะลองไปค้นดูรูปตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กอ้วน แต่เป็นประมาณค่อย ๆ อ้วนขึ้นเรื่อย ๆ ทุก 365 วัน (^^”) พอมารู้สึกตัวอีกทีก็มีน้ำหนักปาเข้าไป 65 กิโลแล้วล่ะค่ะ (สูงประมาณ 160 ซม.)
ชีวิตที่ผ่านมาจวบจนน้ำหนัก 65 กก. นั้นผ่านไปในรูปแบบของเด็กทอม ๆ แต่งตัวไม่เป็น... แต่จริง ๆ แล้วคือไม่กล้าแต่งมากกว่าค่ะ
เราคิดว่าตัวเราอ้วนแบบนี้ หน้าตาสิวเขรอะแบบนี้ แต่งยังไงมันก็คงออกมาพินาศอยู่ดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะทำตัวเรียบ ๆ ง่าย ๆ ใส่เสื้อยืดผู้ชายตัวโคร่ง ๆ กับกางเกงยีนส์ขากระบอกดีกว่า
(ป.ล. สมัยก่อนการแต่งหน้าและการประทินผิวของเด็กวัยรุ่นยังไม่ได้เป็นที่นิยมแบบในทุกวันนี้ ส่วนเสื้อผ้าก็ยังไม่มีไซส์สำหรับคนอ้วนที่มีดีไซน์สวย ๆ ออกมาวางขายให้เลือกซื้อกันอย่างมากมายแบบในปัจจุบัน ดังนั้นคนไซส์ลูกฮิปโปอย่างเราจะซื้อเสื้อผ้าที ก็ต้องเดินเข้าไปดูแผนกเสื้อผ้าผู้ชายเท่านั้นล่ะ >_<)
65 กก. กับความสูง 165 ซม. ฟังดูอาจจะไม่ได้ว่าอ้วนสักเท่าไหร่...
ใช่แล้วค่ะ เพราะนั่นยังไม่ใช่น้ำหนักสูงสุดในชีวิต เพียงแต่เป็นจุดที่เราเริ่มรู้สึกตัวว่า.. ตัวเองอ้วน แล้วเท่านั้นเอง
เพราะหลังจากนั้นอีกแค่ราว 2 ปี เราก็ทำน้ำหนักเพิ่มให้กับตัวเองมากขึ้นไปถึง 82-83 กิโลกรัม เป็นสถิติสูงสุดอยู่ที่จุดนี้ค่ะ
เพราะอะไรถึงไม่ขยับน้ำหนักขึ้นไปมากกว่านี้น่ะเหรอ? เจ็บเข่าน่ะสิคะ!
“พอน้ำหนักมากจะทำให้ไปกดเข่า” คำนี้ลอยเข้ามาในหัวเลยล่ะค่ะ
ตอนแรกก็คิดแค่ว่าไปทำอะไรมารึเปล่าถึงเจ็บ พักก็คงหาย แต่ไม่ใช่ค่ะ
เพราะลองสังเกตุตัวเองว่าถ้าน้ำหนักขึ้นไปแตะที่ 83 กิโลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็...
อาการเจ็บหัวเข่าจะมา แต่พอน้ำหนักลง อาการเจ็บก็จะเบาลง
ถึงแม้ว่าน้ำหนักเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพล่ะ แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองอ้วนมากเกินปกติ จนกระทั่ง...
“เอ๊ะ! ทำไมเก้าอี้บนเครื่องบินลำนี้มันเล็กจัง?!”
ย้อนนึกถึงตอนนั้นแล้วก็อดขำกับตัวเองไม่ได้ เก้าอี้มันก็ขนาดเท่าเดิมน่ะแหล่ะ แต่ตัวเธอตังหากล่ะยะที่พองขึ้นจนแน่นเก้าอี้!
ขนาดนี้แล้ว.. แต่ก็ยังไม่สำนึกในความอ้วนของตัวเองหรอกนะคะ จนกระทั่งเมื่อเราตระเวนหาซื้อเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน ก็ได้ประสบกับปากหอยปากปูจากร้านขายเสื้อผ้าที่(ส่วนใหญ่จะเป็น)แม่ค้านอกจากจะทำสายตาดูถูกใส่แล้ว ยังชอบพูดตอกย้ำเสียเหลือเกินว่า “ไซส์อย่างน้องไม่มีหรอกค่ะ”
และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่จุดไฟให้กับตัวเราเริ่ม ”คิด” ที่จะลดน้ำหนัก โดยเริ่มจากค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี? มีวิธีไหนบ้างหนอที่จะทำให้ลดน้ำหนักได้ไว ๆ แบบง่าย ๆ (สูตรสำเร็จที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง) ...
และแล้วเราก็ไปสะดุดตาเข้ากับการลดน้ำหนักแบบ Atkins (เนื่องจากเราไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด จึงขอพูดแค่คร่าว ๆ ว่าเป็นวิธีการที่ให้งดบริโภคอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิด แต่สามารถทานโปรตีนและไขมันได้ไม่อั้น)
อ่านแล้วก็ประเมินว่าตัวเองน่าจะทำได้ ก็ลงมือลองทำเลยค่ะ กำหนดระยะเวลาให้ตัวเอง 3 เดือน สู้ตาย !!!
ยากที่สุดคือ 1 เดือนแรก! เพราะมันคือช่วงแห่งการปรับตัว
เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มแล้ว ก็ตั้งคติไว้ในใจว่า ถ้าไม่แน่วแน่จริง ก็จะพังโดยการได้น้ำหนักเพิ่มมาแทนแน่ ๆ
อารมณ์ไขว้เขว ถูกเย้ายวนด้วยกลิ่นอาหาร และขนมหวานมีมาท้าทายอยู่ตลอด
แต่ด้วยคำห้ามปรามจากเพื่อนที่ว่า “เธอกินไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” เป็นเชือกที่คอยรั้งเราไว้ไม่ให้หลุดจากเส้นทางและเป็นแรงผลักดันได้เราสามารถก้าวข้ามผ่านเดือนแรกที่ยากลำบากไปได้
พอเข้าเดือนที่ 2 เราก็เริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่และไม่รู้สึกว่าลำบากเหมือนตอนเดือนแรกแล้วล่ะค่ะ
ผ่านพ้นไป 3 เดือน... เราก็คุ้นเคยกับชีวิตในแบบแผนใหม่โดยไม่รู้สึกลำบากใจอีกแล้ว
ผลลัพธ์ของความพยายามที่ผ่านมาปรากฎออกมาเป็นที่น่าพอใจมากค่ะ น้ำหนักเราลงไป 10 กิโลกรัม คนรอบข้างทักว่าผอมลง แต่มันก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่เราอยากได้ (แหม.. ก็หล่อนเล่นไปเพิ่มน้ำหนักมา 18 กิโลนะอย่าลืม)
จากนั้นก็เลยยังคงใช้ชีวิตอยู่กับ Atkins ไปอีก 1 ปี 6 เดือน จนกระทั่งวิธีนี้เริ่มไม่ค่อยจะเห็นผลแล้วล่ะ เราจึงตัดสินใจว่า พอเสียที
จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 6 เดือนในการค่อย ๆ ปรับตัวให้กลับมารับประทานอาหารประเภทแป้งอีกครั้ง ระหว่างการปรับตัวก็ใช้เวลาท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาวิธีใหม่ พร้อมกับเริ่มศึกษาเรื่องเสริมสวย ทั้งเรื่องเครื่องประทินผิวและการแต่งหน้าไปพร้อม ๆ กัน (กะกว่าผอมแล้วก็สวยได้เลยในทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาทีละเรื่อง)
“ออกกำลังกาย” ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นหนทางที่เราพยายามเลี่ยงมาตลอด อ้างว่าไม่ชอบบ้าง ขี้เกียจบ้าง... ก็มันเรื่องจริงนี่! ในความคิดตอนนั้นคิดว่ามันต้องมีวิธีอื่นสิที่ไม่ต้องออกกำลังกาย
แต่หลังจากที่เราค้นพบไอดอลเพื่อการลดน้ำหนักเป็นสรีระชวนน่าน้ำลายสอของเหล่านางฟ้าแบรนด์ Victoria’s Secret และติดตามข่าวคราวดูแล้ว พบว่าขนาดพวกนางยังต้องฟิตออกกำลังกาย เราก็ต้องตามพวกนางล่ะน่ะ และแล้วก็ตัดใจทุ่มเงินซื้อเครื่อง Elliptical Machine มาตั้งที่บ้านด้วยราคา 1 หมื่นบาทเศษ
(ไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้ เลยขอใช้เป็นภาพเครื่อง Arc Trainer ลงแทนนะคะ หน้าตาคล้าย ๆ กันค่ะ)
แต่กว่าเราจะซื้อเครื่องออกกำลังเครื่องนี้ได้ เราทั้งค้นคว้าและคิดไตร่ตรองหลายตลบนะคะ เช่น การเล่นเวท... มันเป็นการออกกำลังกายที่มีหลายท่ามาก แถมทฤษฎีก็เยอะ ปฏิบัติก็แยะ เราไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก เพราะฉะนั้น ตัดวิธีนี้ทิ้งในทันที
มามองวิธีการที่ง่าย ๆ และไม่ต้องลงทุนมากอย่างการวิ่ง พร้อมกับทดลองจริงก่อนจะควักสตางค์ออกจากกระเป๋า เพื่อศึกษาว่าเจ้าเครื่องนี่มันจะเหมาะกับชีวิตเรารึเปล่า? (ซื้อมาแล้วเครื่องออกกำลังกายจะต้องไม่กลายเป็นราวตากผ้า!) ด้วยการทดลองวิ่งภายในหมู่บ้าน
แต่เนื่องจากกลับบ้านค่ำแทบทุกวัน แถมวันไหนฟ้ามืดไวก็รีบเผ่นเข้าบ้านแล้วล่ะค่ะ ทั้งยังค้นพบอีกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกายเอาซะเลย ดังนั้นก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาดึงความสนใจเราออกไปจากความรู้สึกนี้ให้ได้... นั่นก็คือ ทีวี นั่นเอง! ^^
แต่ก็ไม่ใช่เพียงโทรทัศน์เท่านั้นนะคะ ต้องมีออพชั่นเสริมเป็นซีรี่ส์หรือแผ่นหนังด้วย ถึงจะดึงความขี้เกียจออกจากตัวเราให้ออกไปได้สัก 30 นาทีเป็นอย่างน้อย (ทฤษฎีที่อ่านมาเขาว่าไว้อย่างนั้น...)
ในช่วงเริ่มต้นออกกำลังกาย มีบ้างที่ขี้เกียจและหาข้ออ้างให้กับตัวเองสารพัดเพื่อที่จะงดออกกำลังกาย เลยทำตารางบันทึกการออกกำลังกายมาติดไว้ที่ฝาบ้าน เมื่อเห็นตารางว่างติดต่อกันมาก ๆ เข้า ก็จะเปิดแฟชั่นโชว์ของ Victoria’s Secret ขึ้นมากระตุ้นตัวเองค่ะ (อยากได้หุ่นแบบพวกเธอ... ถ้าขี้เกียจแล้วมันจะได้งั้นเรอะ! ฉะนั้น ลุกขึ้นมาวิ่งซะดีๆ)
ผลที่ได้ก็คือน้ำหนักตัวค่อย ๆ ลดลงค่ะ เรารู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าเริ่มหลวมขึ้น แอบยิ้มให้กับตัวเองเล็ก ๆ กับผลความสำเร็จที่ได้มา
แต่ชีวิตคนเรามันต่างคนต่างมุมมองจริง ๆ คนอื่นอาจมองเห็นว่าเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยก็มี เรามารู้ได้ก็จากคำพูดของพี่ที่ทำงานที่ว่า “พี่ได้ยินใคร ๆ ก็บอกว่าน้องผอมลง แต่พี่ไม่เห็นน้องจะผอมลงตรงไหนเลย”
คำพูดนี้เสียดแทงอกนับจนทุกวันนี้ เมื่อตอนหาซื้อเสื้อผ้าทำงานครั้งโน้นว่าทำให้เราเสียใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ทำร้ายหัวใจเราเท่ากับคำพูดจาถากถางนี้ แถมยังพ่วงมาด้วยกับอีก 1 คำพูดของพี่อีกคนในบริษัทที่ว่า “ถ้าน้องใส่เสื้อไซส์ XL ได้ พี่ให้เลย 500”
ตอนนั้นเราถึงกับขอเสื้อมาลองสวมทับ ณ ตรงที่ได้ยินตอนนั้น พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าใส่ได้
แต่พอหันไปอีกที... พี่เขาเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 555+
ทุกครั้งที่เหนื่อย... ทุกครั้งที่ท้อ... เราจะได้ยิน 2 คำนี้ลอยขึ้นมา
เป็นคำพูดจาถากถางที่เอาไว้คอยกระตุ้นและผลักดันให้เข้มงวดกับตัวเอง ฮึดขึ้นสู้ได้ใหม่ทุกครั้งไป
พูดในใจว่า “คอยดูนะ ชั้นจะผอมให้ดู!” พร้อมกับยิ่งกดดันตัวเองด้วยการตั้งกฎขึ้นมาใหม่ว่า จะไม่ทานอาหารหลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป !
กลับมาเรื่องผลลัพธ์ของการออกกำลังกาย + การควบคุมอาหารอีก 1 ปีต่อมา
(ที่ถึงแม้เราจะเลิก Atkins ไปแล้ว แต่มันก็ยังส่งอิทธิพลให้กับชีวิตเราอยู่ ทำให้เราเป็นคนกลัวการกิน)
ปริมาณในการทานแต่ละมื้อเท่ากับปริมาณแมวดม ซ้ำยังแทบจะไม่เอาช้อนสะกิดอาหารประเภทแป้งเลย
น้ำหนักเราลงไปอีก 10 กิโล เหลืออยู่ที่ประมาณ 61-62 กิโลค่ะ
เดี๋ยวต่อเรื่องราวที่คห.นะคะ หมดพื้นที่พิมพ์ตรงนี้แล้วค่ะ ^^"