สืบเนื่องจากความคิดเห็นนี้
http://pantip.com/topic/30044400/comment21
จนเป็นผลมาสู่ปัจจุบัน
จากรูปจะเป็นช่วงที่อ้วนที่สุด ถ่ายก่อนที่จะลดความอ้วนแบบจริงจัง ประมาณ 5-6 เดือนได้ ก่อนหน้านี้พยามมาหลายครั้งแล้วครับ
แต่ไม่สำเร็จ ฮ่าๆ จนมาถึงช่วง เดือนสิงหาคม 2555 ได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ได้เดินตบเท้าเข้าห้างดังย่านอโศก มุ่งตรงไปบูทของรองเท้ายี่ห้อหนึ่ง เชื่อไหมครับ กว่าจะได้รองเท้าสักคู่เนี่ย ผมต้องเดินวน เป็น 10 รอบ ดูแล้วดูอีก รองแล้วรองอีก เพราะไม่เคยซื้อรองเท้าเกินพันใส่สักที ฮ่าๆ พอได้รองเท้าคู่ใหม่มา เกิดจิตตก จะใส่มันได้กี่วันละเนี่ย ค่ากับข้าวตรู อาการเสียดายตังค์มาละ เอิกๆ แต่ก็อย่างว่าละครับ ซื้อมาแล้วก็ต้องใส่ไปวิ่งสิ เอาละ วันแรกของการไปวิ่ง มีอาการประหม่านิดๆ เพราะไม่เคยใส่ชุดกีฬาไปออกกำลังกายเลย ระยะทางจากหอพัก กับสนามสวนสาธารณะ ห่างกันก็ประมาณเกือบ 1 กิโลได้ ผมใช้วิธีเดินไป-กลับ เอาครับ ประหยัดค่าใช่จ่าย และยังสามารถ วอร์มร่างกายไปในตัวด้วย อิอิ วันแรกนี่สุดๆเลยครับ เหนื่อยเร็วมาก แต่ก็วิ่งแบบเชฟตัวเองสุดๆ พอวิ่งได้หลายๆวันต่อมา เกิดอาการ สิ่งเสพติดการวิ่งละทีนี้ ไม่ไปไม่ได้ ต้องออกกฎให้ตัวเองใหม่ละทีนี้ กินข้าวให้น้อยลง งดข้าวเย็น งดของหวานทุกชนิด โค้ก เป๊ปซี่ ไปไกลๆเลย ต้องมาวางแผนการทำงานใหม่ ปกติผมจะเลิกงาน 17.00 แล้วจะทำ OT ต่อ เพื่อที่จะมีเงินเก็บกับเขาบ้างอะนะ งี้แหละชีวิตของกรรมกรออฟฟิศ ผมเลือกที่จะงดทำ OT ไปประมาณ 3 เดือนได้อะครับ ออกงาน 17.00 ตลอดเลยละทีนี้ กับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มุ่งหน้าสู่สวนสาธารณะ ทุกเย็นผมได้ที่สิงสถิตแห่งใหม่แล้ว ทุกทีจะอยู่แต่หน้าจอคอม แต่บัดนี้ มีต้นไม้ มีคลอง มีเรือวิ่งผ่าน มีผู้คนมากมายมาวิ่ง มาออกกำลังกาย จุดประสงค์น่าจะอันเดียวกันนะกับเรานะ ฮ่าๆ มันรู้สึกโล่งๆอะครับ สบายปอดดี อิอิ วันไหนเหนื่อยก็พัก
พอผมวิ่งมาได้ประมาณสองอาทิตย์ โฮ่ น้ำหนัดลดลงไปเกือบ 5 กิโล เลย กำลังใจมาเลยละทีนี้ ผมใช้วิธี สองอาทิตย์ชั่งครั้งนะครับ ถ้าชั่งดูทุกวันนี้มันจะบั่นทอนจิตใจเราเปล่าๆ เพราะมันจะดูไม่ค่อยลดเลย และอีกอย่างผมจะใช้เวลาวิ่งประมาณ 30+ ขึ้นไป เหนื่อยก็เดิน พอน้ำหนักมันลดลงเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สี่ ผมเริ่มผ่อนคลายตัวเอง เริ่มไปวิ่ง วันเว้นวัน หันมากินข้าวเย็นเป็นบางมื้อ พยามทำให้ร่างกายมันอยู่ตัว
เริ่มกับมาทำ OT มากขึ้น อันนี้สำคัญเลย ฮ่าๆ จนมาถึงทุกวันนี้ น้ำหนักอยู่ที่62.5 จากเคยใส่เสื้อ Size XL ลงมา L หยุดอยู่ที่ M ฮ่าๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะได้ถึงขนาดนี้ เพราะรองเท้าคู่นี้เลยทีเดียว ทุกวันนี้ก็ยังไปวิ่งอยู่เหมือนเดิมครับ เพียงแต่อาจะเหลือแค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงนี้ติดฝนครับ เลยอืดขึ้นทีเดียว ฮ่าๆ ยังมีพุงอันน้อยๆอยู่เหมือนเดิม ไม่มี 6 แพ็ค อย่างใครๆ แต่ก็ภูมิใจครับที่ตัวเองทำได้ถึงเพียงนี้
อีกอย่างนะครับ ในช่วงที่ลดน้ำหนักตัวผมเองไม่ได้ใช้ยาลดน้ำหนักคู่ไปด้วยนะครับ ใช้หัวใจเพียวๆ กับรองเท้าคู่นี้ ที่ทำให้เราต้องประหยัดมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจจากมันนี่แหละ ว่าต้องใช้มันให้คุ้มกับเงินที่เสียไป
"คุณละครับ แรงบันดาลใจของคุณมีหรือยัง ถ้ามีแล้ว ก็ขึ้นกับหัวใจของคุณละครับ ว่าจะทำมันให้สำเร็จได้ไหม" ส่วนทุกวันนี้ผมก็ยังสู่อยู่ครับ ว่าจะเอาให้ลงต่ำกว่า 60 ให้ได้ หรือว่าจะตันอยู่แค่นี้ละว๊า อิอิ ช่วงนี้เอาลงอยากจริงๆครับ จากต้นปี มาจนถึงบัดนี้ ลดลงไปไม่กี่กิโลเอง แต่ก็จะทำไปเรื่อยๆครับ อาจจะใช้เวลานาน แต่ผลออกมามันคุ้มกันนะครับ สู้ต่อไปครับทุกท่าน >,< (ไปต่อไม่เป็นละ ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ละกันนะครับ หุหุ )
ขอบคุณครับ ที่ทนอ่าน ^^
แรงบันดาลใจจากรองเท้าคู่เดียว
จนเป็นผลมาสู่ปัจจุบัน
จากรูปจะเป็นช่วงที่อ้วนที่สุด ถ่ายก่อนที่จะลดความอ้วนแบบจริงจัง ประมาณ 5-6 เดือนได้ ก่อนหน้านี้พยามมาหลายครั้งแล้วครับ
แต่ไม่สำเร็จ ฮ่าๆ จนมาถึงช่วง เดือนสิงหาคม 2555 ได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ได้เดินตบเท้าเข้าห้างดังย่านอโศก มุ่งตรงไปบูทของรองเท้ายี่ห้อหนึ่ง เชื่อไหมครับ กว่าจะได้รองเท้าสักคู่เนี่ย ผมต้องเดินวน เป็น 10 รอบ ดูแล้วดูอีก รองแล้วรองอีก เพราะไม่เคยซื้อรองเท้าเกินพันใส่สักที ฮ่าๆ พอได้รองเท้าคู่ใหม่มา เกิดจิตตก จะใส่มันได้กี่วันละเนี่ย ค่ากับข้าวตรู อาการเสียดายตังค์มาละ เอิกๆ แต่ก็อย่างว่าละครับ ซื้อมาแล้วก็ต้องใส่ไปวิ่งสิ เอาละ วันแรกของการไปวิ่ง มีอาการประหม่านิดๆ เพราะไม่เคยใส่ชุดกีฬาไปออกกำลังกายเลย ระยะทางจากหอพัก กับสนามสวนสาธารณะ ห่างกันก็ประมาณเกือบ 1 กิโลได้ ผมใช้วิธีเดินไป-กลับ เอาครับ ประหยัดค่าใช่จ่าย และยังสามารถ วอร์มร่างกายไปในตัวด้วย อิอิ วันแรกนี่สุดๆเลยครับ เหนื่อยเร็วมาก แต่ก็วิ่งแบบเชฟตัวเองสุดๆ พอวิ่งได้หลายๆวันต่อมา เกิดอาการ สิ่งเสพติดการวิ่งละทีนี้ ไม่ไปไม่ได้ ต้องออกกฎให้ตัวเองใหม่ละทีนี้ กินข้าวให้น้อยลง งดข้าวเย็น งดของหวานทุกชนิด โค้ก เป๊ปซี่ ไปไกลๆเลย ต้องมาวางแผนการทำงานใหม่ ปกติผมจะเลิกงาน 17.00 แล้วจะทำ OT ต่อ เพื่อที่จะมีเงินเก็บกับเขาบ้างอะนะ งี้แหละชีวิตของกรรมกรออฟฟิศ ผมเลือกที่จะงดทำ OT ไปประมาณ 3 เดือนได้อะครับ ออกงาน 17.00 ตลอดเลยละทีนี้ กับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มุ่งหน้าสู่สวนสาธารณะ ทุกเย็นผมได้ที่สิงสถิตแห่งใหม่แล้ว ทุกทีจะอยู่แต่หน้าจอคอม แต่บัดนี้ มีต้นไม้ มีคลอง มีเรือวิ่งผ่าน มีผู้คนมากมายมาวิ่ง มาออกกำลังกาย จุดประสงค์น่าจะอันเดียวกันนะกับเรานะ ฮ่าๆ มันรู้สึกโล่งๆอะครับ สบายปอดดี อิอิ วันไหนเหนื่อยก็พัก
พอผมวิ่งมาได้ประมาณสองอาทิตย์ โฮ่ น้ำหนัดลดลงไปเกือบ 5 กิโล เลย กำลังใจมาเลยละทีนี้ ผมใช้วิธี สองอาทิตย์ชั่งครั้งนะครับ ถ้าชั่งดูทุกวันนี้มันจะบั่นทอนจิตใจเราเปล่าๆ เพราะมันจะดูไม่ค่อยลดเลย และอีกอย่างผมจะใช้เวลาวิ่งประมาณ 30+ ขึ้นไป เหนื่อยก็เดิน พอน้ำหนักมันลดลงเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สี่ ผมเริ่มผ่อนคลายตัวเอง เริ่มไปวิ่ง วันเว้นวัน หันมากินข้าวเย็นเป็นบางมื้อ พยามทำให้ร่างกายมันอยู่ตัว
เริ่มกับมาทำ OT มากขึ้น อันนี้สำคัญเลย ฮ่าๆ จนมาถึงทุกวันนี้ น้ำหนักอยู่ที่62.5 จากเคยใส่เสื้อ Size XL ลงมา L หยุดอยู่ที่ M ฮ่าๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะได้ถึงขนาดนี้ เพราะรองเท้าคู่นี้เลยทีเดียว ทุกวันนี้ก็ยังไปวิ่งอยู่เหมือนเดิมครับ เพียงแต่อาจะเหลือแค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ช่วงนี้ติดฝนครับ เลยอืดขึ้นทีเดียว ฮ่าๆ ยังมีพุงอันน้อยๆอยู่เหมือนเดิม ไม่มี 6 แพ็ค อย่างใครๆ แต่ก็ภูมิใจครับที่ตัวเองทำได้ถึงเพียงนี้
อีกอย่างนะครับ ในช่วงที่ลดน้ำหนักตัวผมเองไม่ได้ใช้ยาลดน้ำหนักคู่ไปด้วยนะครับ ใช้หัวใจเพียวๆ กับรองเท้าคู่นี้ ที่ทำให้เราต้องประหยัดมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจจากมันนี่แหละ ว่าต้องใช้มันให้คุ้มกับเงินที่เสียไป "คุณละครับ แรงบันดาลใจของคุณมีหรือยัง ถ้ามีแล้ว ก็ขึ้นกับหัวใจของคุณละครับ ว่าจะทำมันให้สำเร็จได้ไหม" ส่วนทุกวันนี้ผมก็ยังสู่อยู่ครับ ว่าจะเอาให้ลงต่ำกว่า 60 ให้ได้ หรือว่าจะตันอยู่แค่นี้ละว๊า อิอิ ช่วงนี้เอาลงอยากจริงๆครับ จากต้นปี มาจนถึงบัดนี้ ลดลงไปไม่กี่กิโลเอง แต่ก็จะทำไปเรื่อยๆครับ อาจจะใช้เวลานาน แต่ผลออกมามันคุ้มกันนะครับ สู้ต่อไปครับทุกท่าน >,< (ไปต่อไม่เป็นละ ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ละกันนะครับ หุหุ )
ขอบคุณครับ ที่ทนอ่าน ^^