ติ่มซำ 1 คาเฟ่ 2 ร้านไอศครีม 1 คือร้านทั้งหมดที่ผมตระเวนกินในชลบุรี
Steaktory คือ ร้านสุดท้ายที่ผมตั้งใจว่าจะแวะเวียนไปให้ได้ก่อนจะหมดวัน
และการแวะปิดท้ายที่ Steaktory ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังทั้งรสชาติและบริการ
เพราะหลังจากผมสั่งอาหารเสร็จไม่นาน เสียงกริ่งจากห้องครัวก็ส่งเสียงดังกังวาน จนผมสงสัยว่าทำไม อาหารทำเสร็จเร็วจัง ?
แต่ไม่นานนัก
Amuse bouche - อาหารเรียกน้ำย่อยที่ผมไม่ได้สั่งกลับมาวางอยู่ตรงหน้า
น้องที่ยกมาเสิร์ฟก็แจ้งว่า เป็นอาหารสมนาคุณจากทางร้าน ที่เจ้าของร้านได้รับแรงบันดาลใจอาหารที่ได้กินตอนเด็กและเขาอยากให้ลูกค้าที่แวะเข้ามาได้ลิ้มลอง
Amuse bouche: ข้าวแมวบนข้าวตัง
ข้าวแมวที่รสเปรี้ยวนำแต่กลมกล่อมถูกวางบนแผ่นข้าวตังกรอบ ๆ จากนั้นจึงถูกวางทับด้วยปลาตัวเล็ก ๆ ที่ทอดจนกรอบ
เป็นจานที่ผมทำให้นึกถึงวัยเด็กของตัวเองเช่นกัน เพราะหลายมื้อผมก็กินอะไรง่าย ๆ แค่ข้าวคลุกกับปลาทู ที่แม่และยายเอาปลาทูขยำกับข้าวให้ผมกิน
รสเค็มกับความมันของปลาทูกับที่ปนไปกับข้าวร้อน ๆ ที่ป้อนด้วยปลายนิ้วเพราะกลัวว่าจะมีก้างปนไปติดคอ
อีกจานหนึ่งที่ผมสั่งคือ
BiBimPi
ข้าวยำแบบเกาหลีที่ใส่ซอสกะปิ แทนโคชูจัง ที่ถูกเสิร์ฟมาในถ้วยหินร้อน ๆ ข้างบนถูกทับด้วยไข่ดาวกับเนื้อพิคานย่ารสเข้มที่ได้รสชาติของเนื้อเต็มที่
ตอนที่เสริฟ ผมแปลกใจเล็กน้อยที่น้องพนักงานเข้ามาคลุกข้าวกับซอสให้ แต่กลับคลุกไม่ทั่ว บางส่วนข้าวยังคงเป็นสีขาวและไม่เปื้อนซอส
แต่กลายเป็นว่าการคลุกแบบนี้ทำให้ลิ้นของผมกลับรับรสชาตของทุกอย่างได้ดีขึ้น
รสชาติเข้ม ๆ ของข้าวที่ถูกคลุกซอสกะปิ สลับกับ รสข้าวสวยร้อน ๆ และเนื้อพอคาย่าที่ผ่านการซูซีและย่างมาให้ตามที่คุณเลือก
กลิ่นหอมของกะปิที่โดนความร้อนจากถ้วยหิน กลิ่นหอมของข้าวก้นหม้อที่เกรียมเล็กน้อย ทำให้ผมอิ่มเอมกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าและ
ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ยายหุงข้าวด้วยหม้อและเตาถ่าน พอข้าวสวยถูกแจกจนหมด
ข้าวก้นหม้อที่เกรียมนิด ๆ เริ่มเย็น หลาน ๆ ของยายรวมถึงผมบางทีเราก็ชอบแย่งกันขูดข้าวก้นหม้อตรงนี้มากินเล่นกัน
หลังจากจานหลักหมดไป
Pana Cotta ที่ถูกราดด้วยซอสราสเบอร์รี่ก็ถูกนำมาเสริฟปิดท้าย
กลิ่นหอมและความมันของนมถูกตัดด้วยซอสราสเบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวาน ที่ตอนแรกผมได้กลิ่นเป็นเชอรี่ผสมพุทราจีน
อาจเพราผมเคยกินแต่ราสเบอร์รี่แช่แข็ง ผมเลยไม่รู้ว่ากลิ่นหอมของราสเบอร์รี่จริง ๆ เป็นยังไง แม้ในซอสจะมีเมล็ดของราสเบอร์รี่อยู่เต็มไปหมด
อาหารแต่ละจานของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกถึงความตั้งใจของเชฟที่รังสรรค์แต่ละเมนู รสของวัตถุที่ถูกดึงออกมา
บรรยากาศและเรื่องเล่า SideStory ของอาหารที่นำมาเสริฟทำให้รู้สึกจริง ๆ ว่า
ที่ Steaktory ผมเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
จาน อื่น ๆ
Quesadilla shrimp & cheese sauce:grilled salsa & aioli
BiBimPi
#กินข้าวกับอาเฮีย
# เหล็กไม่เอาถ่าน
Steaktory: ร้านอาหารที่มีเรื่องเล่า
Steaktory คือ ร้านสุดท้ายที่ผมตั้งใจว่าจะแวะเวียนไปให้ได้ก่อนจะหมดวัน
และการแวะปิดท้ายที่ Steaktory ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังทั้งรสชาติและบริการ
เพราะหลังจากผมสั่งอาหารเสร็จไม่นาน เสียงกริ่งจากห้องครัวก็ส่งเสียงดังกังวาน จนผมสงสัยว่าทำไม อาหารทำเสร็จเร็วจัง ?
แต่ไม่นานนัก
Amuse bouche - อาหารเรียกน้ำย่อยที่ผมไม่ได้สั่งกลับมาวางอยู่ตรงหน้า
น้องที่ยกมาเสิร์ฟก็แจ้งว่า เป็นอาหารสมนาคุณจากทางร้าน ที่เจ้าของร้านได้รับแรงบันดาลใจอาหารที่ได้กินตอนเด็กและเขาอยากให้ลูกค้าที่แวะเข้ามาได้ลิ้มลอง
Amuse bouche: ข้าวแมวบนข้าวตัง
ข้าวแมวที่รสเปรี้ยวนำแต่กลมกล่อมถูกวางบนแผ่นข้าวตังกรอบ ๆ จากนั้นจึงถูกวางทับด้วยปลาตัวเล็ก ๆ ที่ทอดจนกรอบ
เป็นจานที่ผมทำให้นึกถึงวัยเด็กของตัวเองเช่นกัน เพราะหลายมื้อผมก็กินอะไรง่าย ๆ แค่ข้าวคลุกกับปลาทู ที่แม่และยายเอาปลาทูขยำกับข้าวให้ผมกิน
รสเค็มกับความมันของปลาทูกับที่ปนไปกับข้าวร้อน ๆ ที่ป้อนด้วยปลายนิ้วเพราะกลัวว่าจะมีก้างปนไปติดคอ
อีกจานหนึ่งที่ผมสั่งคือ
BiBimPi
ข้าวยำแบบเกาหลีที่ใส่ซอสกะปิ แทนโคชูจัง ที่ถูกเสิร์ฟมาในถ้วยหินร้อน ๆ ข้างบนถูกทับด้วยไข่ดาวกับเนื้อพิคานย่ารสเข้มที่ได้รสชาติของเนื้อเต็มที่
ตอนที่เสริฟ ผมแปลกใจเล็กน้อยที่น้องพนักงานเข้ามาคลุกข้าวกับซอสให้ แต่กลับคลุกไม่ทั่ว บางส่วนข้าวยังคงเป็นสีขาวและไม่เปื้อนซอส
แต่กลายเป็นว่าการคลุกแบบนี้ทำให้ลิ้นของผมกลับรับรสชาตของทุกอย่างได้ดีขึ้น
รสชาติเข้ม ๆ ของข้าวที่ถูกคลุกซอสกะปิ สลับกับ รสข้าวสวยร้อน ๆ และเนื้อพอคาย่าที่ผ่านการซูซีและย่างมาให้ตามที่คุณเลือก
กลิ่นหอมของกะปิที่โดนความร้อนจากถ้วยหิน กลิ่นหอมของข้าวก้นหม้อที่เกรียมเล็กน้อย ทำให้ผมอิ่มเอมกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าและ
ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ยายหุงข้าวด้วยหม้อและเตาถ่าน พอข้าวสวยถูกแจกจนหมด
ข้าวก้นหม้อที่เกรียมนิด ๆ เริ่มเย็น หลาน ๆ ของยายรวมถึงผมบางทีเราก็ชอบแย่งกันขูดข้าวก้นหม้อตรงนี้มากินเล่นกัน
หลังจากจานหลักหมดไป
Pana Cotta ที่ถูกราดด้วยซอสราสเบอร์รี่ก็ถูกนำมาเสริฟปิดท้าย
กลิ่นหอมและความมันของนมถูกตัดด้วยซอสราสเบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวาน ที่ตอนแรกผมได้กลิ่นเป็นเชอรี่ผสมพุทราจีน
อาจเพราผมเคยกินแต่ราสเบอร์รี่แช่แข็ง ผมเลยไม่รู้ว่ากลิ่นหอมของราสเบอร์รี่จริง ๆ เป็นยังไง แม้ในซอสจะมีเมล็ดของราสเบอร์รี่อยู่เต็มไปหมด
อาหารแต่ละจานของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกถึงความตั้งใจของเชฟที่รังสรรค์แต่ละเมนู รสของวัตถุที่ถูกดึงออกมา
บรรยากาศและเรื่องเล่า SideStory ของอาหารที่นำมาเสริฟทำให้รู้สึกจริง ๆ ว่า
ที่ Steaktory ผมเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
จาน อื่น ๆ
Quesadilla shrimp & cheese sauce:grilled salsa & aioli
BiBimPi
#กินข้าวกับอาเฮีย
# เหล็กไม่เอาถ่าน