ก่อนอื่น เรามาวิคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้สูงวัยกันครับ
👴🏼 ประเภทที่ 1: ผู้สูงวัยที่แก่ไปเลย - นี่คือผลลัพธ์ของ
ภาวะ Sarcopenia ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนื้อทุกส่วนโดยเฉพาะ
Fast-Twitch Fibers เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
🧓🏻 ประเภทที่ 2: ผู้สูงวัยที่แข็งแรง - พวกเขาเอาชนะการสูญเสียกล้ามเนื้อชนิด
Slow-Twitch Fibers ได้จากการใช้งานอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน แต่การทำงานบ้านหรือใช้แรงกายทั่วไปไม่ได้ให้แรงกระตุ้นที่เพียงพอต่อการคงสภาพกล้ามเนื้อชนิด
Fast-Twitch Fibers
💪
ประเภทที่ 3: ผู้สูงวัยกล้ามโต - พวกเขาเอาชนะภาวะ
Sarcopenia ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการฝึกที่ตรงจุดไปยัง
Fast-Twitch Fibers แต่การฝึกของพวกเขามักจะเน้นที่การสร้างขนาดกล้ามเนื้อ (Hypertrophy) ซึ่งอาจไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของทุกคนและดูไม่เป็นธรรมชาติ
🧩 การตามหาจิ๊กซอว์ที่หายไป "ประเภทที่ 4: ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่"
ผู้สูงวัยประเภทที่ 4 คือผู้สูงวัยที่แข็งแรงและยังรักษามวลกล้ามเนื้อ
Fast-Twitch Fibers และ
Slow-Twitch Fibers ในระดับปกติและมีรูปทรงเหมือนหนุ่มสาว
เป็นเพราะการคงสภาพกล้ามเนื้อแบบนี้ต้องอาศัยการกระตุ้นที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งการออกกำลังกายทั่วไปให้ไม่ได้
นี่คือหัวใจของการชะลอวัยที่แท้จริง คือการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย เพื่อคงสภาพร่างกายให้เหมือนหนุ่มสาวในแบบที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ คือสะพานที่เชื่อมช่องว่างระหว่างผู้สูงวัยประเภทที่ 2 และ 3 มันคือการฝึกที่ให้แรงกระตุ้นที่เข้มข้นพอที่จะรักษามวลกล้ามเนื้อ Fast-Twitch Fibers และ Slow-Twitch Fibers ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ถึงกับทำให้กล้ามเนื้อใหญ่โตจนเกินไปเหมือนนักเพาะกาย
การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างกล้ามเนื้อ สูงวัยกล้ามโต vs สูงวัยที่ดูไม่แก่
🆚
เป้าหมายหลัก
● สูงวัยกล้ามโต: สร้างขนาดกล้ามเนื้อสูงสุด (Hypertrophy) และความสวยงามของร่างกายแบบนักเพาะกาย
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: คงสภาพมวลกล้ามเนื้อและรูปร่างแบบหนุ่มสาว เน้นความแข็งแรงที่ใช้งานได้จริง (Functional Strength)
🆚
รูปแบบการฝึก
● สูงวัยกล้ามโต: การฝึกเวทแบบดั้งเดิม (Traditional Weightlifting) โดยใช้การยกน้ำหนักที่หนัก และทำหลายเซตในแต่ละท่า
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: การฝึกแบบบอดี้เวทบาลานซ์ (Bodyweight Balance Exercises) ที่เน้นความเข้มข้นสูงในเวลาอันสั้น
🆚
การกระตุ้นกล้ามเนื้อ
● สูงวัยกล้ามโต: เน้นการสร้างความเครียดทางกลไก (Mechanical Tension) และการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและเติบโต
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ถึงจุดที่หมดแรง (Train to Failure) โดยไม่ทำให้เกิดการฉีกขาดที่รุนแรง และกระตุ้นกล้ามเนื้อแกนกลางและระบบประสาท
🆚
จำนวนครั้งและเซต
● สูงวัยกล้ามโต: มักจะเล่นหลายเซต (3-5 เซตขึ้นไป) ด้วยจำนวนครั้งที่หลากหลาย เพื่อสร้างความเสียหายให้กับกล้ามเนื้อ
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการเล่นเพียง
1 เซตต่อท่า จนถึงระดับที่กล้ามเนื้อหมดแรง เพื่อกระตุ้นอย่างตรงจุดและลดภาระต่อเอ็นและข้อต่อ
🆚
การใช้ฮอร์โมน
● สูงวัยกล้ามโต: มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาฮอร์โมนจากภายนอก เช่น ฮอร์โมนบำบัดทดแทน (TRT) เพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการกระตุ้นฮอร์โมนตามธรรมชาติจากการฝึก และไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนจากภายนอก
📌
บทสรุป
การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า
"ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่" ไม่ได้เกิดจากการบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์การออกกำลังกายที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
👉 ผู้สูงวัยกล้ามโต ใช้หลักการ
"ทำลายแล้วสร้างใหม่" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดในด้านขนาด
👉 ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่ ใช้หลักการ
"กระตุ้นและคงสภาพ" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในแง่ของความยั่งยืน ความแข็งแรงที่ใช้งานได้จริง และการชะลอวัย
👍
การออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์ (Bodyweight Balance Exercises)
ในยุคที่การออกกำลังกายถูกกำหนดด้วยความหนักและจำนวนครั้ง การฝึกแบบ
"บอดี้เวทบาลานซ์" (Bodyweight Balance Exercises) ได้กลายเป็นหนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพและชะลอวัยในระยะยาว
การออกกำลังกายประเภทนี้ไม่ได้เน้นที่การสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่โตเหมือนนักเพาะกาย แต่เน้นการกระตุ้นให้ร่างกายทำงานอย่างเป็นองค์รวม เพื่อคงสภาพร่างกายให้เหมือนหนุ่มสาวไปตลอดชีวิต
👍
ทำไมการออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์มีพลัง?
หลักการสำคัญของการฝึกแบบบอดี้เวทบาลานซ์คือการบังคับให้ร่างกายต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้
การทรงตัว และ
ความสมดุล ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ที่ร่างกายต้อง "เอาชีวิตรอด" ในแบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้
🔵 กระตุ้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย: การที่คุณต้องทรงตัวในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคง ไม่ได้ใช้แค่กล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนไหวหลัก (Primary Movers) เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) และกล้ามเนื้อขนาดเล็กที่ช่วยในการทรงตัว (Stabilizer Muscles) ทำงานอย่างหนัก ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง
🔵 ส่งสัญญาณให้สมองและระบบประสาท: การฝึกในลักษณะนี้ช่วย "รีโปรแกรม" สมองและระบบประสาทให้ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการควบคุมร่างกายและความคล่องตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
🔵 กระตุ้นฮอร์โมนชะลอวัย: ความท้าทายในการรักษาความสมดุลจะส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยังต่อมไร้ท่อ ให้หลั่งฮอร์โมนสำคัญ เช่น
เทสโทสเตอโรน และ
โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์
👍
การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ต่างจากการฝึกทั่วไปอย่างไร?
การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการยกดัมเบลทั่วไป เพราะไม่ได้เน้นการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ แต่เน้นการ
กระตุ้น อย่างลึกซึ้ง ซึ่งช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔵 ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ: เมื่อคุณต้องทำจนถึงจุดที่กล้ามเนื้อหมดแรง (Train to Failure) ในจำนวนครั้งที่น้อยลง (เช่น 5-8 ครั้ง) และเพียงท่าละ 1 เซ็ท คุณจะสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการทำลายเอ็นและข้อต่อจากการทำซ้ำมากเกินไป
🔵 เพิ่มความยั่งยืน: การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบรุนแรง คุณจึงสามารถออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องไปตลอดชีวิตโดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยจนท้อแท้
📌 สรุป: การออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์จึงเป็นมากกว่าแค่การฝึกเพื่อความแข็งแรง แต่เป็น
กลยุทธ์เชิงรุก ที่ช่วยให้คุณสามารถคงสภาพความหนุ่มสาวไว้ได้ในระยะยาว ด้วยการดูแลร่างกายในระดับเซลล์และฮอร์โมนได้อย่างแม่นยำและยั่งยืน
✅ ตัวอย่างของการฝึกบอดี้เวทบาลานซ์
● Suspended Push-up
● Ring Pull-up
● Single-leg Deadlift
● Half Pistol Squat
⚠️ ข้อควรระวัง: ควรมีพื้นฐานความแข็งแรงมาจากการฝึกเวทเทรนนิ่งทั่วไปก่อน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บส่วนของเส้นเอ็นและข้อต่อ
✅ ตัวอย่างของการฝึกบอดี้เวทบาลานซ์แบบเบสิค
● Single-leg Chair Squat
● Plank Leg Lifts
● Reverse Plank Leg Lift
● Side Plank Leg Raise
✅ ตัวอย่างของบอดี้เวทบาลานซ์ในชีวิตประจำวัน
● นั่งขัดสมาธิและลุกขึ้นยืนโดยไม่ใช้แขนยัน
● เอื้อมเก็บของขาเดียว
🎯 ความถี่ในการฝึก
หลักการคือ เราจะต้องฝึกให้ได้ครบทุกส่วนของกล้ามเนื้อ แต่ละท่าทำเพียง
1 เซ็ท แต่ทำให้ถึงระดับ
"Train to Failure" และให้ความสำคัญกับ
ขึ้นสุดลงสุด มากกว่าจำนวนครั้ง จำนวนครั้งไม่ควรเกิน 12 เรพ เพื่อลดการบาดเจ็บเส้นเอ็นจากการทำซ้ำบ่อยๆ ซึ่งถ้าหากเกินก็ให้เพิ่มความท้าทาย
รูปแบบที่ปฏิบัติง่ายที่สุดคือ การแยกกลุ่มกล้ามเนื้อเป็น
Push, Pull, Leg แล้วฝึกแบบไม่ให้ซ้ำกลุ่มกล้ามเนื้อในแต่ละวัน เช่น Push, Pull ไม่ทำในวันเดียวกัน อาจจะเป็นวันเว้นวัน แต่ Leg สามารถนำไปฝึกวันเดียวกับ Push หรือ Pull ได้ แต่ไม่ฝึก Leg ซ้ำกันในแต่ละวัน
และเมื่อนำไปประกอบกับวันวิ่งโซน 2 เราจะสามารถออกแบบตารางการฝึกได้คือ จับวันวิ่งโซน 2 กับ Leg ไปใส่วัน Push หริอ Pull ก็ได้ เช่น:
● จ:
Push, Run, Leg
● อ:
Pull
● พ:
Push, Run, Leg
● พฤ:
Pull
● ศ:
Push, Run, Leg
● ส:
พัก
● อา:
พัก
จากนั้นเริ่มวัน
จ. สลับเป็น
Pull, Run, Leg วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ และอาจมีช่วงพักยาวหากเกิด
DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) หรือาการปวดกล้ามเนื้อสะสม แต่ไม่ควรพักยาวเกิน 1-2 อาทิตย์ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อที่สร้างมาถูกสลายหมดจากภาวะ
Sarcopenia แล้วจะต้องมาเริ่มสร้างใหม่ เมื่อเราฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่า ท่าแต่ละท่าจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะประสาทสามารถสั่งการใช้กล้ามเนื้อแต่ละมัดได้ดีขึ้น
🎯 การวอร์มอัพ (Warm Up)
การวอร์มอัพมีส่วนสำคัญอย่างมากก่อนการเริ่มต้นเวทเทรนนิ่ง เพราะจะเป็นการดึงเลือดให้ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนที่จะออกแรง ทำให้ลดการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดได้เป็นอย่างมาก และจากที่ได้ทดลองกับตัวเองมา การวอร์มอัพด้วยยางยืดมีประสิทธิภาพที่สุดครับ
✅ ตัวอย่างการวอร์มอัพด้วยยางยืด
● จับยางยืดทั้งสองด้านแล้วหมุนแขนไปด้านหลังสลับหมุนมาด้านหน้า ทำซ้ำ 5 ครั้ง
● ใช้ยางยืดพันรอบหลังแล้ววาดแขนทั้งสองข้างไปด้านหน้า ทำซ้ำ 10 ครั้ง
● จับยางยืดทั้งสองด้านไว้ระดับอกแล้วแบะแขนไปด้านหลัง ทำซ้ำ 10 ครั้ง
● จับยางยืดทั้งสองด้านชูขึ้นเหนือศีรษะแล้ววาดแขนลงมา ทำซ้ำ 10 ครั้ง
🎯 โภชนาการ
🔵
กินสารอาหารให้ครบและเพียงพอ เกินนิดหน่อยได้ แต่ไม่ให้ขาด (อ่าน
ตอนที่ 2: ซูเปอร์ฟู้ด & อาหารเสริม )
🔵
ปริมาณโปรตีนต่อวัน ประมาณ
1.5 - 1.7 กรัม ต่อน้ำหนักตัวที่ตัด Body Fat แล้ว หรือ
LBM (Lean Body Mass) เช่น หากน้ำหนักตัว 60 กก. Body Fat ประมาณ 10 กก. LBM จะอยู่ที่ประมาณ 50 กก. จะต้องการโปรตีนประมาณ 50 x 1.5 (หรือ 1.7) = 75 ถึง 85 กรัม
🔵
การนับโปรตีน เช่น ไข่ไก่ 1 ฟอง = 7 กรัม, เนื้อไก่ 10 ชิ้นพอประมาณ = 7 กรัม, นม 1 กล่อง = 7 กรัม
ก็จบลงไปแล้วสำหรับการเวทไม่ให้ดูแก่ ท่าแต่ละท่าสามารถค้นหาจากอินเตอร์เน็ตได้นะครับ
"กิน-ออกกำลังกาย" อย่างไร? ให้ "ชีวิตยืนยาว และ ชะลอวัย" ตอนที่ 4: เวทไม่ให้ดูแก่
👴🏼 ประเภทที่ 1: ผู้สูงวัยที่แก่ไปเลย - นี่คือผลลัพธ์ของ ภาวะ Sarcopenia ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนื้อทุกส่วนโดยเฉพาะ Fast-Twitch Fibers เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
🧓🏻 ประเภทที่ 2: ผู้สูงวัยที่แข็งแรง - พวกเขาเอาชนะการสูญเสียกล้ามเนื้อชนิด Slow-Twitch Fibers ได้จากการใช้งานอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน แต่การทำงานบ้านหรือใช้แรงกายทั่วไปไม่ได้ให้แรงกระตุ้นที่เพียงพอต่อการคงสภาพกล้ามเนื้อชนิด Fast-Twitch Fibers
💪 ประเภทที่ 3: ผู้สูงวัยกล้ามโต - พวกเขาเอาชนะภาวะ Sarcopenia ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการฝึกที่ตรงจุดไปยัง Fast-Twitch Fibers แต่การฝึกของพวกเขามักจะเน้นที่การสร้างขนาดกล้ามเนื้อ (Hypertrophy) ซึ่งอาจไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของทุกคนและดูไม่เป็นธรรมชาติ
🧩 การตามหาจิ๊กซอว์ที่หายไป "ประเภทที่ 4: ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่"
ผู้สูงวัยประเภทที่ 4 คือผู้สูงวัยที่แข็งแรงและยังรักษามวลกล้ามเนื้อ Fast-Twitch Fibers และ Slow-Twitch Fibers ในระดับปกติและมีรูปทรงเหมือนหนุ่มสาว เป็นเพราะการคงสภาพกล้ามเนื้อแบบนี้ต้องอาศัยการกระตุ้นที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งการออกกำลังกายทั่วไปให้ไม่ได้
การเปรียบเทียบรูปแบบการสร้างกล้ามเนื้อ สูงวัยกล้ามโต vs สูงวัยที่ดูไม่แก่
🆚 เป้าหมายหลัก
● สูงวัยกล้ามโต: สร้างขนาดกล้ามเนื้อสูงสุด (Hypertrophy) และความสวยงามของร่างกายแบบนักเพาะกาย
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: คงสภาพมวลกล้ามเนื้อและรูปร่างแบบหนุ่มสาว เน้นความแข็งแรงที่ใช้งานได้จริง (Functional Strength)
🆚 รูปแบบการฝึก
● สูงวัยกล้ามโต: การฝึกเวทแบบดั้งเดิม (Traditional Weightlifting) โดยใช้การยกน้ำหนักที่หนัก และทำหลายเซตในแต่ละท่า
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: การฝึกแบบบอดี้เวทบาลานซ์ (Bodyweight Balance Exercises) ที่เน้นความเข้มข้นสูงในเวลาอันสั้น
🆚 การกระตุ้นกล้ามเนื้อ
● สูงวัยกล้ามโต: เน้นการสร้างความเครียดทางกลไก (Mechanical Tension) และการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและเติบโต
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ถึงจุดที่หมดแรง (Train to Failure) โดยไม่ทำให้เกิดการฉีกขาดที่รุนแรง และกระตุ้นกล้ามเนื้อแกนกลางและระบบประสาท
🆚 จำนวนครั้งและเซต
● สูงวัยกล้ามโต: มักจะเล่นหลายเซต (3-5 เซตขึ้นไป) ด้วยจำนวนครั้งที่หลากหลาย เพื่อสร้างความเสียหายให้กับกล้ามเนื้อ
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการเล่นเพียง 1 เซตต่อท่า จนถึงระดับที่กล้ามเนื้อหมดแรง เพื่อกระตุ้นอย่างตรงจุดและลดภาระต่อเอ็นและข้อต่อ
🆚 การใช้ฮอร์โมน
● สูงวัยกล้ามโต: มีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาฮอร์โมนจากภายนอก เช่น ฮอร์โมนบำบัดทดแทน (TRT) เพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่
● สูงวัยที่ดูไม่แก่: เน้นการกระตุ้นฮอร์โมนตามธรรมชาติจากการฝึก และไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนจากภายนอก
📌 บทสรุป
การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า "ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่" ไม่ได้เกิดจากการบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์การออกกำลังกายที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
👉 ผู้สูงวัยกล้ามโต ใช้หลักการ "ทำลายแล้วสร้างใหม่" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดในด้านขนาด
👉 ผู้สูงวัยที่ดูไม่แก่ ใช้หลักการ "กระตุ้นและคงสภาพ" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในแง่ของความยั่งยืน ความแข็งแรงที่ใช้งานได้จริง และการชะลอวัย
👍 การออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์ (Bodyweight Balance Exercises)
ในยุคที่การออกกำลังกายถูกกำหนดด้วยความหนักและจำนวนครั้ง การฝึกแบบ "บอดี้เวทบาลานซ์" (Bodyweight Balance Exercises) ได้กลายเป็นหนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพและชะลอวัยในระยะยาว
การออกกำลังกายประเภทนี้ไม่ได้เน้นที่การสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่โตเหมือนนักเพาะกาย แต่เน้นการกระตุ้นให้ร่างกายทำงานอย่างเป็นองค์รวม เพื่อคงสภาพร่างกายให้เหมือนหนุ่มสาวไปตลอดชีวิต
👍 ทำไมการออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์มีพลัง?
หลักการสำคัญของการฝึกแบบบอดี้เวทบาลานซ์คือการบังคับให้ร่างกายต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ การทรงตัว และ ความสมดุล ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ที่ร่างกายต้อง "เอาชีวิตรอด" ในแบบที่ปลอดภัยและควบคุมได้
🔵 กระตุ้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย: การที่คุณต้องทรงตัวในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคง ไม่ได้ใช้แค่กล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนไหวหลัก (Primary Movers) เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) และกล้ามเนื้อขนาดเล็กที่ช่วยในการทรงตัว (Stabilizer Muscles) ทำงานอย่างหนัก ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงจากภายในอย่างแท้จริง
🔵 ส่งสัญญาณให้สมองและระบบประสาท: การฝึกในลักษณะนี้ช่วย "รีโปรแกรม" สมองและระบบประสาทให้ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการควบคุมร่างกายและความคล่องตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
🔵 กระตุ้นฮอร์โมนชะลอวัย: ความท้าทายในการรักษาความสมดุลจะส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยังต่อมไร้ท่อ ให้หลั่งฮอร์โมนสำคัญ เช่น เทสโทสเตอโรน และ โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์
👍 การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ต่างจากการฝึกทั่วไปอย่างไร?
การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการยกดัมเบลทั่วไป เพราะไม่ได้เน้นการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ แต่เน้นการ กระตุ้น อย่างลึกซึ้ง ซึ่งช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔵 ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ: เมื่อคุณต้องทำจนถึงจุดที่กล้ามเนื้อหมดแรง (Train to Failure) ในจำนวนครั้งที่น้อยลง (เช่น 5-8 ครั้ง) และเพียงท่าละ 1 เซ็ท คุณจะสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการทำลายเอ็นและข้อต่อจากการทำซ้ำมากเกินไป
🔵 เพิ่มความยั่งยืน: การฝึกบอดี้เวทบาลานซ์ไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการอักเสบรุนแรง คุณจึงสามารถออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องไปตลอดชีวิตโดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยจนท้อแท้
📌 สรุป: การออกกำลังกายแบบบอดี้เวทบาลานซ์จึงเป็นมากกว่าแค่การฝึกเพื่อความแข็งแรง แต่เป็น กลยุทธ์เชิงรุก ที่ช่วยให้คุณสามารถคงสภาพความหนุ่มสาวไว้ได้ในระยะยาว ด้วยการดูแลร่างกายในระดับเซลล์และฮอร์โมนได้อย่างแม่นยำและยั่งยืน
🎯 ความถี่ในการฝึก
หลักการคือ เราจะต้องฝึกให้ได้ครบทุกส่วนของกล้ามเนื้อ แต่ละท่าทำเพียง 1 เซ็ท แต่ทำให้ถึงระดับ "Train to Failure" และให้ความสำคัญกับ ขึ้นสุดลงสุด มากกว่าจำนวนครั้ง จำนวนครั้งไม่ควรเกิน 12 เรพ เพื่อลดการบาดเจ็บเส้นเอ็นจากการทำซ้ำบ่อยๆ ซึ่งถ้าหากเกินก็ให้เพิ่มความท้าทาย
รูปแบบที่ปฏิบัติง่ายที่สุดคือ การแยกกลุ่มกล้ามเนื้อเป็น Push, Pull, Leg แล้วฝึกแบบไม่ให้ซ้ำกลุ่มกล้ามเนื้อในแต่ละวัน เช่น Push, Pull ไม่ทำในวันเดียวกัน อาจจะเป็นวันเว้นวัน แต่ Leg สามารถนำไปฝึกวันเดียวกับ Push หรือ Pull ได้ แต่ไม่ฝึก Leg ซ้ำกันในแต่ละวัน
และเมื่อนำไปประกอบกับวันวิ่งโซน 2 เราจะสามารถออกแบบตารางการฝึกได้คือ จับวันวิ่งโซน 2 กับ Leg ไปใส่วัน Push หริอ Pull ก็ได้ เช่น:
● จ: Push, Run, Leg
● อ: Pull
● พ: Push, Run, Leg
● พฤ: Pull
● ศ: Push, Run, Leg
● ส: พัก
● อา: พัก
จากนั้นเริ่มวัน จ. สลับเป็น Pull, Run, Leg วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ และอาจมีช่วงพักยาวหากเกิด DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) หรือาการปวดกล้ามเนื้อสะสม แต่ไม่ควรพักยาวเกิน 1-2 อาทิตย์ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อที่สร้างมาถูกสลายหมดจากภาวะ Sarcopenia แล้วจะต้องมาเริ่มสร้างใหม่ เมื่อเราฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะรู้สึกว่า ท่าแต่ละท่าจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะประสาทสามารถสั่งการใช้กล้ามเนื้อแต่ละมัดได้ดีขึ้น
🎯 การวอร์มอัพ (Warm Up)
การวอร์มอัพมีส่วนสำคัญอย่างมากก่อนการเริ่มต้นเวทเทรนนิ่ง เพราะจะเป็นการดึงเลือดให้ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนที่จะออกแรง ทำให้ลดการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดได้เป็นอย่างมาก และจากที่ได้ทดลองกับตัวเองมา การวอร์มอัพด้วยยางยืดมีประสิทธิภาพที่สุดครับ
✅ ตัวอย่างการวอร์มอัพด้วยยางยืด
● จับยางยืดทั้งสองด้านแล้วหมุนแขนไปด้านหลังสลับหมุนมาด้านหน้า ทำซ้ำ 5 ครั้ง
● ใช้ยางยืดพันรอบหลังแล้ววาดแขนทั้งสองข้างไปด้านหน้า ทำซ้ำ 10 ครั้ง
● จับยางยืดทั้งสองด้านไว้ระดับอกแล้วแบะแขนไปด้านหลัง ทำซ้ำ 10 ครั้ง
● จับยางยืดทั้งสองด้านชูขึ้นเหนือศีรษะแล้ววาดแขนลงมา ทำซ้ำ 10 ครั้ง
🎯 โภชนาการ
🔵 กินสารอาหารให้ครบและเพียงพอ เกินนิดหน่อยได้ แต่ไม่ให้ขาด (อ่าน ตอนที่ 2: ซูเปอร์ฟู้ด & อาหารเสริม )
🔵 ปริมาณโปรตีนต่อวัน ประมาณ 1.5 - 1.7 กรัม ต่อน้ำหนักตัวที่ตัด Body Fat แล้ว หรือ LBM (Lean Body Mass) เช่น หากน้ำหนักตัว 60 กก. Body Fat ประมาณ 10 กก. LBM จะอยู่ที่ประมาณ 50 กก. จะต้องการโปรตีนประมาณ 50 x 1.5 (หรือ 1.7) = 75 ถึง 85 กรัม
🔵 การนับโปรตีน เช่น ไข่ไก่ 1 ฟอง = 7 กรัม, เนื้อไก่ 10 ชิ้นพอประมาณ = 7 กรัม, นม 1 กล่อง = 7 กรัม
ก็จบลงไปแล้วสำหรับการเวทไม่ให้ดูแก่ ท่าแต่ละท่าสามารถค้นหาจากอินเตอร์เน็ตได้นะครับ