5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "สตรอว์เบอร์รี" ผลไม้ที่ทุกคนคุ้นเคย ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ผลไม้ ซับซ้อนจนคาดไม่ถึง
สตรอว์เบอร์รี ผลไม้สีแดงรสหวานที่หลายคนคุ้นเคย ดูเหมือนเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันซับซ้อนกว่าที่คิด เรื่องราวเบื้องหลังของสตรอว์เบอร์รีเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด ตั้งแต่ชนิดของผล วิธีการเจริญเติบโต จนถึงที่มาของชื่อ วันนี้เรามาเปิดเผย 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสตรอว์เบอร์รี ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
1. สตรอว์เบอร์รีไม่ใช่ผลไม้ และไม่ใช่เบอรี
ทางด้านพฤกษศาสตร์ สตรอว์เบอร์รีไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็นไม้ดอก และสตรอว์เบอร์รีอยู่ใน ตระกูลกุหลาบ (Rosaceae) ไม่ใช่เบอรีแท้เหมือนบลูเบอร์รี
ในทางพฤกษศาสตร์นั้น เบอร์รี คือผลไม้ที่เนื้อและเมล็ดเกิดขึ้นจากรังไข่เดียว มีเมล็ดตั้งแต่ 2 เมล็ดขึ้นไป และมี 3 ส่วนประกอบ คือผิวด้านนอก (เปลือก) ผิวชั้นกลาง (เนื้อ) และผิวชั้นในสุด (หุ้มเมล็ด) ซึ่งทั้งสตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี และ แบล็กเบอร์รีไม่ได้มีลักษณะเช่นนั้น
ความสับสนในการเรียกชื่อนี้มาจากคนสมัยก่อนเรียก ผลไม้ลูกเล็ก ๆ กลม ๆ สีสันสดใส ที่มีรสเปรี้ยวหรือหวานก็ว่า “เบอร์รี” ทั้งหมด โดย จูดี เจิร์นสเต็ดต์ (Judy Jernstedt) ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส กล่าวว่า “คนเรียกผลไม้เหล่านี้ว่าเบอร์รีกันมาเป็นพัน ๆ ปี ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มให้แบ่งการจำแนกประเภทเสียอีก เพราะการจำแนกจัดทำอนุกรมวิธานพันธุ์พืชนั้นทำได้ยากและซับซ้อน” เบอร์รีตามหลักพฤกษศาสตร์ จึงมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า “เบอร์รีแท้” (True Berry)
โครงสร้างของผลเบอร์รีตามหลักพฤกษศาสตร์ หรือ เบอร์รีแท้นี้ ยังพบได้ใน “กล้วย” และ “แตงโม” แม้ว่าเปลือกของกล้วยและแตงโมจะแข็งกว่าผลไม้เบอร์รีอื่น จนไม่สามารถรับประทานทั้งเปลือกได้ก็ตาม เช่นเดียวกับ มะเขือเทศ พริก แครนเบอร์รี มะเขือม่วง และกีวี ที่มีเนื้อและเมล็ดเกิดขึ้นจากรังไข่เดียวเช่นกัน
บลูเบอร์รีเป็นเบอร์รีแท้
2. สีแดงที่เรากินคือฐานรองดอก ไม่ใช่ผลแท้
เนื้อสีแดงฉ่ำที่เรากินกันอยู่และคิดว่ามันคือผลของสตรอว์เบอร์รี แท้จริงแล้วคือ ฐานรองดอก (receptacle) ที่ขยายใหญ่
3. จุดเล็ก ๆ รอบผิวสตรอว์เบอร์รีไม่ใช่เมล็ด
ส่วนประกอบที่มีหลุมคล้ายเม็ดเล็กๆ ซึ่งพบได้ทั่วพื้นผิวของสตรอว์เบอร์รี่เรียกว่า อะคีน (achene) และแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายเมล็ด แต่จุดเล็กๆ เหล่านี้แท้จริงแล้วคือผลของพืช หรือก็คือผลของสตอรว์เบอร์รี่ที่อยู่ด้านนอก เพราะมันพัฒนามาจากรังไข่โดยตรง
4. น้ำตาลต่ำ แต่กินมากก็มีผลต่อระดับน้ำตาล
แม้สตรอว์เบอร์รีจะหวานอมเปรี้ยว และอุดมไปด้วย วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้หลายคนชะล่าใจกินในปริมาณมากโดยไม่ระวัง แต่การกินมากเกินไปก็อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ ควรกินพอเหมาะเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน
5. ชื่อ “strawberry” มาจากอะไร
หลายคนคิดว่าชื่อ straw ซึ่งแปลว่าฟางข้าว มาจากการใช้ฟางคลุมต้นเวลาปลูก แต่ความจริงยังไม่ชัดเจน การอธิบายชื่อ ควรเน้นที่สตรอว์เบอร์รีป่า (Fragaria vesca) ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รีปลูก (Fragaria x ananassa) เพราะสตรอว์เบอร์รีปลูกเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 เป็นต้นไป
มีข้อสันนิษฐานชื่ออาจมาจากคำว่า “strewn berry” หมายถึงผลกระจายเต็มพื้นจากการขยายพันธุ์โดยใช้ไหล (Stolon or runner) เป็นการด้วยกิ่งหรือเถาแบบไม่อาศัยเมล็ด
ปี 1863 William R. Prince หนึ่งในนักพฤกษศาสตร์สตรอว์เบอร์รีชั้นนำในสหรัฐฯ ในเวลานั้น กล่าวไว้ในรายงานว่า “ชื่อ strawberry มีต้นกำเนิดจากเด็ก ๆ ที่ร้อยผลเบอร์รีเข้ากับฟางและนำไปขายในเมือง”
เหตุผลเพราะสตรอว์เบอร์รีป่ามีเนื้อนุ่มและชื้น หากใส่รวมกันในถังจะติดกันเป็นก้อน การร้อยบนฟางช่วยให้แต่ละผลแยกจากกัน รักษารูปร่างและง่ายต่อการพกพา
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการร้อยสตรอว์เบอร์รีป่าด้วยฟาง พบในบทกวีและนิทานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-19 ในอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เยอรมนี ยังมีการอ้างอิงใน หนังสือเด็กและวัฒนธรรมป๊อปสมัยใหม่ เช่น หนังสือของ Astrid Lindgren และเพลงของนักดนตรีสวีเดน นอกจากสแกนดิเนเวีย ยังมีหลักฐานใน ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย โปแลนด์ และบางส่วนของสเปน (Basque Country)
สรุปแนวคิดคือ ธรรมเนียมนี้เป็นวิธีเก็บสตรอว์เบอร์รีแบบปฏิบัติจริงตั้งแต่สมัยก่อนการเกษตร และเป็นเหตุผลที่เชื่อมโยงกับ ที่มาของชื่ออังกฤษ “strawberry” มากกว่าทฤษฎีอื่น
https://www.sanook.com/news/9833718/
5 ความเข้าใจผิดเรื่อง "สตรอว์เบอร์รี" ผลไม้ที่โลกคุ้นเคย ที่จริงแล้วไม่ใช่ผลไม้