ประโยชน์ “ถั่วพู” ผักพื้นบ้าน ช่วยเสริมแคลเซียม ใยอาหารสูง

ผักถั่วพู จัดเป็นพืชในเขตร้อน ในไทยนิยมรับประทานยอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน ฝักอ่อน ให้รสมัน จึงจัดเป็นผักเคียงที่รสชาติดี สามารถทานคู่กับน้ำพริกต่างๆ  หรือ ใส่เป็นวัตถุดิบในอาหาร อาทิ ยำถั่วพู ที่ช่วยเสริมรสชาติได้เป็นอย่างดี  จัดเป็นไม้เลื้อย ไม่มีเนื้อไม้แต่มีอายุหลายปี ฝักเป็นรูปขอบขนานถึงรูปแถบ มีหน้าตัดเป็นรูปสีเหลี่ยม และแต่ละมุมของฝักจะมีปีกตามยาว  คุณค่าทางโภชนาการของฝักอ่อน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงานราว 19 กิโลแคลอรีประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี ธาตุแคลเซียม


    สำหรับเมล็ดแก่จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากเทียบเคียงกับถั่วเหลือง และในเมล็ดแก่จะประกอบด้วยน้ำมัน 15-18.3% ซึ่งประกอบไปด้วย กรดไขมันไม่อิ่มตัว แอลฟาโทโคฟีรอล เบต้าโทโคฟีรอล ในปริมาณที่สูง

ประโยชน์ของถั่วพู
-ถั่วพูเป็นพืชที่มีสารขัดขวางต่ำ จึงช่วยทำให้การดูดซึมของแคลเซียมเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อรับประทานถั่วพูแล้วร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้ถึง 39.1-51.9% เลยทีเดียว
-ถั่วพูเป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
-การรับประทานถั่วพูอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สามารถช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และยังส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิงอีกด้วย เพราะพืชตระกูลถั่วที่กินได้ทั้งฝักทั้งหลายจะมีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส
-การรับประทานถั่วทั้งชนิดแห้งและสด เช่น ถั่วพู นอกจากจะได้เส้นใยอาหารมากแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
-ปัจจุบันนิยมปลูกถั่วพูไว้ตามริมรั้วหรือในสวนหลังบ้าน หรือปลูกตามหัวไร่ปลายนาเพื่อใช้เป็นผักสวนครัว โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นอาหารได้แก่ ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝักอ่อน รสมัน (ใช้กินเป็นผัก) และหัวใต้ดิน (ใช้กินเป็นอาหารแห้ง)
-ในบ้านเรามีการบริโภคหัวถั่วพู ด้วยการนำมาต้มกินคล้ายกับหัวมัน โดยหัวใต้ดินของถั่วพูนี้จะมีประมาณของโปรตีนสูงถึงร้อยละ 20-30 เลยทีเดียว จึงมีการนำหัวมาแปรรูปเป็นแป้งสำหรับใช้ประกอบอาหาร หรือนำไปเชื่อมเป็นขนมหวาน หรือจะฝานเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วนำมาทอดกรอบเหมือนมันฝรั่งก็ได้ แถมยังเป็นอาหารขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงอีกด้วย
-เมล็ดแก่มีน้ำมันอยู่ร้อยละ 16-18 สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันพืชสำหรับใช้ปรุงอาหารได้ และยังมีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ ด้วย โดยในน้ำมันถั่วพูจะมีกรดโอเลอิก 39%, กรดไลโนเลอิก 27%, กรดบีเฮนิก, และกรดพารินาริก ซึ่งไม่ทำให้เกิดคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด นอกจากนี้ในน้ำมันถั่วพูยังมีสารโทโคฟีรอลในปริมาณที่สูงมากอีกด้วย โดยเป็นสารที่ทำให้น้ำมันมีรสหวานและอยู่ตัว มีประโยชน์ในเรื่องการต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้เป็นอย่างดี
-มีการนำถั่วพูมาใช้ในการรักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิด

    นอกจากนี้ ถั่วพูมีสรรพคุณทางยา รากใช้ประกอบสมุนไพรและน้ำดอกไม้ เป็นยาแก้โรคหัวใจและชูกำลัง หัวใต้ดินเผาหรือนึ่งกินช่วยบำรุงกำลัง เมล็ดแก่ของถั่วพู ตากแห้งบดเป็นผงละลายน้ำครั้งละ 5-6 กรัม กินวันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย อย่างไรก็ตามควรรับประทานแต่พอดี และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย เพื่อสุขภาพที่ดีครบด้านด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดสุรินทร์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่