กองทัพอากาศรัสเซียรับเครื่องบินรบ Su-35 ชุดใหม่

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท United Aircraft Corporation (UAC) ของรัสเซียได้ส่งมอบเครื่องบินขับไล่ Su-35S ล็อตใหม่ให้แก่กองกำลังอวกาศรัสเซีย (VKS) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับขีดความสามารถทางอากาศ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่
การส่งมอบครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยโดย Rostec ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย โดยระบุว่าเครื่องบินแต่ละลำผ่านกระบวนการทดสอบอย่างเข้มข้นที่โรงงานการบิน Komsomolsk-on-Amur ในเขตตะวันออกไกล ก่อนจะถูกจัดส่งไปประจำการยังฐานปฏิบัติการ เครื่องบินรุ่นนี้ถูกนำมาเสริมกำลังในช่วงเวลาที่กองทัพรัสเซียต้องเผชิญกับการสูญเสียด้านอากาศยานในสนามรบยูเครนอย่างต่อเนื่อง
แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเครื่องบินที่ส่งมอบอย่างเป็นทางการ แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมอสโกวในการรักษาความได้เปรียบในอากาศ ด้วยแพลตฟอร์มที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องบินขับไล่รุ่นล้ำสมัยที่สุดของประเทศ
การเสริมฝูงบินด้วย Su-35S เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ VKS ต้องสูญเสียอากาศยานจำนวนมาก โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวโอเพ่นซอร์สประเมินว่า VKS มีเครื่องบินรุ่นนี้อยู่ราว 100 ลำ แม้ตัวเลขจริงจะยังถูกเก็บเป็นความลับก็ตาม Su-35S จึงเป็นตัวเชื่อมระหว่างเครื่องบินรบยุคเก่าและเครื่องบินสเตลท์รุ่นใหม่อย่าง Su-57
ตั้งแต่สงครามในยูเครนปะทุขึ้นในปี 2022 กองทัพรัสเซียสูญเสียเครื่องบินแล้วไม่น้อยกว่า 134 ลำ รวมถึง Su-35S จำนวนหนึ่ง อันเนื่องมาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนที่มีประสิทธิภาพและการรบที่ดุเดือดในพื้นที่ต่าง ๆ
เครื่องยนต์หลักของ Su-35S คือคู่เครื่องยนต์ Saturn AL-41F1S ที่ติดตั้งหัวฉีดควบคุมทิศทางแรงขับ ช่วยให้เครื่องบินมีความสามารถในการบินด้วยมุมโจมตีสูงถึง 120 องศา และเลี้ยวในระยะสั้นได้ดี ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2.25 มัค (ราว 1,500 ไมล์ต่อชั่วโมง) และมีรัศมีปฏิบัติการถึง 2,200 ไมล์ หรือสูงสุด 4,500 กิโลเมตรเมื่อใช้น้ำมันเสริมภายนอก
โครงสร้างของเครื่องบินใช้โลหะผสมไททาเนียมเพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยคงน้ำหนักขึ้นบินสูงสุดไว้ที่ 34.5 ตัน ความคล่องตัวควบคู่กับพลังขับเคลื่อนทำให้เครื่องบินรุ่นนี้โดดเด่นทั้งในภารกิจต่อสู้อากาศและโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน
Su-35S ยังมาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ขั้นสูง โดยมีเรดาร์หลัก Irbis-E แบบ PESA ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 250 ไมล์ และติดตามเป้าหมายพร้อมกันได้ 30 รายการ อีกทั้งยังสามารถโจมตีได้พร้อมกันถึง 8 เป้าหมาย
เมื่อเปรียบเทียบกับเรดาร์ AESA ที่ใช้ในเครื่องบินอย่าง F-35 แล้ว Irbis-E แม้มีพิสัยตรวจจับที่ไกล แต่ยังด้อยกว่าด้านการต้านการรบกวน ระบบ OLS-35 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ค้นหาเป้าหมายด้วยอินฟราเรด ช่วยให้เครื่องบินสามารถจับเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเรดาร์ ทำให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเครื่องบินสเตลท์ในระยะใกล้
ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินประกอบด้วยเครื่องรบกวนสัญญาณและระบบปล่อยล่อ เพื่อหลบหลีกอาวุธนำวิถี และในห้องนักบิน นักบินจะได้รับข้อมูลผ่านจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชันที่ช่วยในการควบคุมเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านอาวุธ เครื่องบินสามารถบรรทุกอาวุธได้ถึง 17,630 ปอนด์ บนจุดติดตั้งภายนอก 12 จุด ซึ่งรวมถึงปืนอัตโนมัติขนาด 30 มม. แบบ GSh-30-1 และขีปนาวุธ R-37M, K-77M, R-73 สำหรับการรบอากาศสู่อากาศ ครอบคลุมทุกระยะ

ในภารกิจโจมตีภาคพื้น Su-35S ใช้ขีปนาวุธ Kh-31, Kh-59 รวมถึงระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์หรือระบบดาวเทียม เพื่อโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ความสามารถในการติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านการแผ่รังสี ยังทำให้เครื่องบินสามารถใช้ในการปราบปรามระบบป้องกันภัยทางอากาศของศัตรูได้ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบินขับไล่จากตะวันตก Su-35S มีจุดเด่นด้านความคล่องตัวจากระบบขับเคลื่อนแบบควบคุมทิศทางแรงขับ แม้จะบรรทุกได้น้อยกว่า F-15EX ซึ่งสามารถติดตั้งขีปนาวุธได้ถึง 22 ลูก แต่ Su-35S ก็โดดเด่นในระยะประชิด
ส่วน F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 เน้นการพรางตัวและความสามารถเชิงเครือข่ายมากกว่า Su-35S ที่ยังเน้นพลังและความเร็ว อย่างไรก็ตาม พิสัยของขีปนาวุธ R-37M และเรดาร์อันทรงพลังช่วยให้ Su-35S เป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายโดยเฉพาะต่อเครื่องบินที่ไม่ใช่แบบล่องหน
ข้อมูลจาก Oryx ระบุว่า Su-35S อย่างน้อย 7 ลำถูกยิงตกในยูเครน และยังมีรายงานอื่นที่ระบุถึงการสูญเสียเพิ่มเติมในปี 2023 และ 2024 รวมถึงกรณีที่ถูกยิงตกโดยพวกเดียวกันจากระบบ S-300 ที่ระบุเป้าหมายผิดพลาด
ข้อจำกัดด้านพรางตัวทำให้ Su-35S ยังคงมีความเปราะบางต่อระบบป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีการสนับสนุนทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มที่ และเมื่อถูกใช้งานอย่างเข้มข้นจนเกิดความสึกหรอของโครงเครื่องบินเร็วกว่าปกติ
Su-35S พัฒนาขึ้นหลังสงครามกับจอร์เจียปี 2008 โดยมุ่งหวังจะแทนที่เครื่องบินเก่าของกองทัพ ก่อนที่ Su-57 จะพร้อมผลิตจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนหลักนิยมทางทหารของรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับความเร็วและพิสัยโจมตี มากกว่าความล่องหนหรือการเชื่อมต่อทางดิจิทัลแบบที่ชาติตะวันตกนิยมใช้
ในปี 2024 เพียงปีเดียว รัสเซียจัดหาเครื่องบินรบใหม่ถึง 14 ลำจากหลายรุ่น รวมถึง Su-35S สี่ลำ เพื่อชดเชยการสูญเสียและคงความพร้อมของฝูงบิน แม้ว่าความท้าทายด้านอุตสาหกรรมและการขาดชิ้นส่วนจากต่างประเทศจะยังคงส่งผลต่อสายการผลิต
Su-35S ยังคงมีบทบาทสำคัญในกองทัพอากาศรัสเซียในระยะสั้นถึงกลาง แม้จะมีข้อจำกัดในบริบทของสงครามยุคใหม่ก็ตาม ประสิทธิภาพของมันในสนามรบยูเครนจะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองในเวทีระหว่างประเทศต่อไป

กองทัพอากาศรัสเซียรับเครื่องบินรบ Su-35 ชุดใหม่
การส่งมอบครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยโดย Rostec ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย โดยระบุว่าเครื่องบินแต่ละลำผ่านกระบวนการทดสอบอย่างเข้มข้นที่โรงงานการบิน Komsomolsk-on-Amur ในเขตตะวันออกไกล ก่อนจะถูกจัดส่งไปประจำการยังฐานปฏิบัติการ เครื่องบินรุ่นนี้ถูกนำมาเสริมกำลังในช่วงเวลาที่กองทัพรัสเซียต้องเผชิญกับการสูญเสียด้านอากาศยานในสนามรบยูเครนอย่างต่อเนื่อง
แม้จะไม่มีการเปิดเผยจำนวนเครื่องบินที่ส่งมอบอย่างเป็นทางการ แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมอสโกวในการรักษาความได้เปรียบในอากาศ ด้วยแพลตฟอร์มที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องบินขับไล่รุ่นล้ำสมัยที่สุดของประเทศ
การเสริมฝูงบินด้วย Su-35S เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ VKS ต้องสูญเสียอากาศยานจำนวนมาก โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวโอเพ่นซอร์สประเมินว่า VKS มีเครื่องบินรุ่นนี้อยู่ราว 100 ลำ แม้ตัวเลขจริงจะยังถูกเก็บเป็นความลับก็ตาม Su-35S จึงเป็นตัวเชื่อมระหว่างเครื่องบินรบยุคเก่าและเครื่องบินสเตลท์รุ่นใหม่อย่าง Su-57
ตั้งแต่สงครามในยูเครนปะทุขึ้นในปี 2022 กองทัพรัสเซียสูญเสียเครื่องบินแล้วไม่น้อยกว่า 134 ลำ รวมถึง Su-35S จำนวนหนึ่ง อันเนื่องมาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนที่มีประสิทธิภาพและการรบที่ดุเดือดในพื้นที่ต่าง ๆ
เครื่องยนต์หลักของ Su-35S คือคู่เครื่องยนต์ Saturn AL-41F1S ที่ติดตั้งหัวฉีดควบคุมทิศทางแรงขับ ช่วยให้เครื่องบินมีความสามารถในการบินด้วยมุมโจมตีสูงถึง 120 องศา และเลี้ยวในระยะสั้นได้ดี ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2.25 มัค (ราว 1,500 ไมล์ต่อชั่วโมง) และมีรัศมีปฏิบัติการถึง 2,200 ไมล์ หรือสูงสุด 4,500 กิโลเมตรเมื่อใช้น้ำมันเสริมภายนอก
โครงสร้างของเครื่องบินใช้โลหะผสมไททาเนียมเพื่อเพิ่มความแข็งแรง โดยคงน้ำหนักขึ้นบินสูงสุดไว้ที่ 34.5 ตัน ความคล่องตัวควบคู่กับพลังขับเคลื่อนทำให้เครื่องบินรุ่นนี้โดดเด่นทั้งในภารกิจต่อสู้อากาศและโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน
Su-35S ยังมาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ขั้นสูง โดยมีเรดาร์หลัก Irbis-E แบบ PESA ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 250 ไมล์ และติดตามเป้าหมายพร้อมกันได้ 30 รายการ อีกทั้งยังสามารถโจมตีได้พร้อมกันถึง 8 เป้าหมาย
เมื่อเปรียบเทียบกับเรดาร์ AESA ที่ใช้ในเครื่องบินอย่าง F-35 แล้ว Irbis-E แม้มีพิสัยตรวจจับที่ไกล แต่ยังด้อยกว่าด้านการต้านการรบกวน ระบบ OLS-35 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ค้นหาเป้าหมายด้วยอินฟราเรด ช่วยให้เครื่องบินสามารถจับเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดใช้งานเรดาร์ ทำให้มีประสิทธิภาพในการต่อต้านเครื่องบินสเตลท์ในระยะใกล้
ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินประกอบด้วยเครื่องรบกวนสัญญาณและระบบปล่อยล่อ เพื่อหลบหลีกอาวุธนำวิถี และในห้องนักบิน นักบินจะได้รับข้อมูลผ่านจอ LCD แบบมัลติฟังก์ชันที่ช่วยในการควบคุมเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านอาวุธ เครื่องบินสามารถบรรทุกอาวุธได้ถึง 17,630 ปอนด์ บนจุดติดตั้งภายนอก 12 จุด ซึ่งรวมถึงปืนอัตโนมัติขนาด 30 มม. แบบ GSh-30-1 และขีปนาวุธ R-37M, K-77M, R-73 สำหรับการรบอากาศสู่อากาศ ครอบคลุมทุกระยะ
เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบินขับไล่จากตะวันตก Su-35S มีจุดเด่นด้านความคล่องตัวจากระบบขับเคลื่อนแบบควบคุมทิศทางแรงขับ แม้จะบรรทุกได้น้อยกว่า F-15EX ซึ่งสามารถติดตั้งขีปนาวุธได้ถึง 22 ลูก แต่ Su-35S ก็โดดเด่นในระยะประชิด
ส่วน F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 เน้นการพรางตัวและความสามารถเชิงเครือข่ายมากกว่า Su-35S ที่ยังเน้นพลังและความเร็ว อย่างไรก็ตาม พิสัยของขีปนาวุธ R-37M และเรดาร์อันทรงพลังช่วยให้ Su-35S เป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายโดยเฉพาะต่อเครื่องบินที่ไม่ใช่แบบล่องหน
ข้อมูลจาก Oryx ระบุว่า Su-35S อย่างน้อย 7 ลำถูกยิงตกในยูเครน และยังมีรายงานอื่นที่ระบุถึงการสูญเสียเพิ่มเติมในปี 2023 และ 2024 รวมถึงกรณีที่ถูกยิงตกโดยพวกเดียวกันจากระบบ S-300 ที่ระบุเป้าหมายผิดพลาด
ข้อจำกัดด้านพรางตัวทำให้ Su-35S ยังคงมีความเปราะบางต่อระบบป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีการสนับสนุนทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มที่ และเมื่อถูกใช้งานอย่างเข้มข้นจนเกิดความสึกหรอของโครงเครื่องบินเร็วกว่าปกติ
Su-35S พัฒนาขึ้นหลังสงครามกับจอร์เจียปี 2008 โดยมุ่งหวังจะแทนที่เครื่องบินเก่าของกองทัพ ก่อนที่ Su-57 จะพร้อมผลิตจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนหลักนิยมทางทหารของรัสเซียที่ให้ความสำคัญกับความเร็วและพิสัยโจมตี มากกว่าความล่องหนหรือการเชื่อมต่อทางดิจิทัลแบบที่ชาติตะวันตกนิยมใช้
ในปี 2024 เพียงปีเดียว รัสเซียจัดหาเครื่องบินรบใหม่ถึง 14 ลำจากหลายรุ่น รวมถึง Su-35S สี่ลำ เพื่อชดเชยการสูญเสียและคงความพร้อมของฝูงบิน แม้ว่าความท้าทายด้านอุตสาหกรรมและการขาดชิ้นส่วนจากต่างประเทศจะยังคงส่งผลต่อสายการผลิต
Su-35S ยังคงมีบทบาทสำคัญในกองทัพอากาศรัสเซียในระยะสั้นถึงกลาง แม้จะมีข้อจำกัดในบริบทของสงครามยุคใหม่ก็ตาม ประสิทธิภาพของมันในสนามรบยูเครนจะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองในเวทีระหว่างประเทศต่อไป