ในขณะที่ อีกค่ายนั้น …เขาถนอม บข Gen5 ไม่นำออกมาเสี่ยง แต่ฝั่งโลกเสรี เอามันออกมาใช้จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทพิสูจน์แรกในสนามรบ: F-22 ในปฏิบัติการอินฮีเรนท์ รีโซล์ฟ
ส่วนนี้จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกถึงการเข้าสู่สมรภูมิจริงครั้งแรกของ เอฟ-22 โดยตรวจสอบเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์และรายละเอียดการปฏิบัติภารกิจโจมตีกลุ่ม ISIS ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่ของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ในสงครามจริง
บริบทเชิงยุทธศาสตร์ (กันยายน 2014)
ปฏิบัติการอินฮีเรนท์ รีโซล์ฟ (Operation Inherent Resolve - OIR) ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วของกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ในอิรักและซีเรีย โดยหัวใจหลักของการปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังผสมคือการทัพทางอากาศที่หนักหน่วงและต่อเนื่อง การตัดสินใจนำ เอฟ-22 ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศที่ล้ำสมัยที่สุด เข้ามาต่อสู้กับศัตรูที่ไม่มีกองทัพอากาศเลยแม้แต่ลำเดียว ได้สร้างคำถามในหมู่นักวิเคราะห์บางส่วน
อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักเบื้องหลังการตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวตนของศัตรู (ISIS) แต่อยู่ที่ "สภาพแวดล้อม" ของสมรภูมิ นั่นคือการมีอยู่ของระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบบูรณาการ (Integrated Air Defense Systems - IADS) ที่ทันสมัยของซีเรีย สหรัฐอเมริกาไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการที่เครื่องบินรบของกองกำลังผสมรุกล้ำน่านฟ้าของตน ดังนั้น คุณสมบัติการล่องหน (Stealth) และขีดความสามารถในการสอดแนมทางอิเล็กทรอนิกส์ของ เอฟ-22 จึงถูกมองว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการคุ้มกันฝูงบินโจมตียุคที่ 4 ที่ไม่มีคุณสมบัติล่องหน เช่น F-15E, F-16 และ B-1 ให้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การส่ง เอฟ-22 เข้าสู่สมรภูมิจึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจับคู่ขีดความสามารถกับศัตรูโดยตรง แต่เป็นกลยุทธ์ "การบริหารความเสี่ยง" เพื่อประกันความปลอดภัยให้กับปฏิบัติการทางอากาศในภาพรวม
ภารกิจรบครั้งแรก (คืนวันที่ 22-23 กันยายน 2014)
ฝูงบิน เอฟ-22 จำนวน 4 ลำ จากฝูงบินขับไล่ที่ 1 (1st Fighter Wing) ฐานทัพอากาศแลงลีย์ เป็นส่วนหนึ่งของระลอกการโจมตีที่สามที่มุ่งหน้าเข้าสู่ซีเรีย เป้าหมายของภารกิจคืออาคารศูนย์บัญชาการและควบคุม (Command and Control - C2) ของกลุ่ม ISIS ในเมืองรักกา แผนการที่วางไว้คือให้ เอฟ-22 สองลำเข้าโจมตีเป้าหมายโดยตรง ในขณะที่อีกสองลำทำหน้าที่คุ้มกันทางอากาศในระดับความสูง อาวุธที่ใช้คือระเบิดนำวิถีด้วยดาวเทียม (GPS-guided bombs) ขนาด 1,000 ปอนด์ ซึ่งคาดว่าเป็น GBU-32 JDAMs
ทว่าภารกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดหลายประการ จากบันทึกของนักบินที่เข้าร่วมภารกิจ พบว่าเหตุการณ์เครื่องยนต์ขัดข้องของ F-15E ในกลุ่มบินนำระหว่างการวิ่งขึ้น ส่งผลให้ต้องยกเลิกการบินอย่างกะทันหันและปิดทางวิ่งนานถึง 20 นาที ซึ่งทำให้เวลาสำรองของฝูงบิน เอฟ-22 ที่อยู่ในลำดับท้ายสุดของการขึ้นบินหมดไปเกือบทั้งหมด ความล่าช้านี้สร้างปัญหาต่อเนื่องให้กับการควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งต้องพยายามจัดระเบียบฝูงบินรบและเชื่อมต่อกับเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ สภาพอากาศที่เลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วยกระแสลมแรง 60-80 นอต และการนำทางที่ผิดพลาดโดยเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศของอิรักซึ่งนำฝูงบินมุ่งหน้าไปยังอิหร่านแทนที่จะเป็นซีเรีย ยิ่งทำให้แผนการบินต้องหยุดชะงักและเกิดความล่าช้าสะสม
สถานการณ์บีบบังคับให้นักบิน เอฟ-22 ต้องปรับเปลี่ยนแผนการบินกลางอากาศ พวกเขาต้องรับเชื้อเพลิงให้ได้มากที่สุดจากเครื่องบิน KC-10 แล้วเร่งความเร็วโดยใช้สันดาปท้าย (Afterburner) ไปที่ 1.5 มัค เพื่อไต่ระดับความสูงสู่ 40,000 ฟุต และร่นระยะเวลาการเดินทางเข้าสู่ซีเรีย แม้จะเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและแรงกดดันมหาศาล แต่ระเบิด JDAMs ก็พุ่งเข้ากระทบเป้าหมายคลาดเคลื่อนจากเวลาที่กำหนดไว้เพียง 5 วินาทีเท่านั้น ตลอดภารกิจ ระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรียยังคงนิ่งเฉย และระบบเอวิโอนิกส์ขั้นสูงของ เอฟ-22 ก็ได้มอบการรับรู้สถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบ ทำให้นักบินคลายความกังวลว่าจะถูกโจมตี ความสำเร็จของภารกิจแรกนี้จึงไม่ใช่แค่การทำลายเป้าหมาย แต่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบหลอมรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์และส่วนต่อประสานกับนักบิน (Human-Machine Interface) ของเครื่องบิน สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้สภาวะกดดันสูงสุดในสนามรบจริง มันแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินสามารถประมวลผลข้อมูลใหม่จำนวนมหาศาลและนำเสนอให้นักบินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและซับซ้อน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์คุณค่าที่เหนือกว่าการทดสอบในห้องจำลอง
ในช่วงแรกของการทัพ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2014 ถึงกรกฎาคม 2015 เอฟ-22 ได้ปฏิบัติภารกิจรวม 204 เที่ยวบิน โจมตีที่หมาย 60 แห่ง และทิ้งระเบิดรวม 270 ลูก
III. ผู้บัญชาการในสนามรบ: บทบาทที่ไม่คาดคิดของแร็พเตอร์
ส่วนนี้จะวิเคราะห์พัฒนาการของ เอฟ-22 ที่ก้าวข้ามบทบาท "ผู้คุ้มกันทางอากาศ" เริ่มแรก ไปสู่การเป็นสินทรัพย์ทางการรบอเนกประสงค์ โดยเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งในบทบาทที่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยตรง ซึ่งได้เปลี่ยนมุมมองต่อขีดความสามารถของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ไปอย่างสิ้นเชิง
จากผู้คุ้มกันสู่หน่วยโจมตีแม่นยำ: กำเนิดภารกิจ CAS ของ F-22
แม้ว่าในช่วงแรก เอฟ-22 จะเน้นการโจมตีเป้าหมายที่วางแผนไว้ล่วงหน้า แต่ในเวลาต่อมา บทบาทของมันได้ขยายไปสู่ภารกิจที่ต้องอาศัยการตอบสนองอย่างฉับพลันตามสถานการณ์หน้างาน เหตุการณ์สำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนคือภารกิจสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด (Close Air Support - CAS) ครั้งแรกในวันที่ 23 มิถุนายน 2015 ในวันนั้น เอฟ-22 สองลำได้รับคำร้องขอด่วนจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการโจมตีภาคพื้นดิน (Joint Terminal Attack Controller - JTAC) ให้เข้าทำลายปืนใหญ่ 2 กระบอกของกลุ่ม ISIS ที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อกองกำลังฝ่ายเดียวกันในซีเรีย นักบิน เอฟ-22 ได้ใช้ระเบิดขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลาง (Small-Diameter Bombs - SDBs) โจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักนิยมการใช้งานครั้งสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงนี้บังคับให้นักบิน เอฟ-22 ซึ่งเดิมทีการฝึกฝนจะมุ่งเน้นไปที่การรบทางอากาศและการโจมตีลึกในดินแดนข้าศึก ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ฝูงบินต่างๆ ได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมถึงการฝึกร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านภารกิจ CAS จากฝูงบิน F-15E และการซ้อมรบจริงกับหน่วยซีลของกองทัพเรือที่ทำหน้าที่เป็น JTAC สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของทั้งตัวนักบินและแพลตฟอร์ม เอฟ-22 เอง
"มุมมองของพระเจ้า": F-22 ในฐานะสุดยอดแพลตฟอร์ม ISR
บทบาทที่อาจกล่าวได้ว่าสำคัญที่สุดของ เอฟ-22 ในปฏิบัติการ OIR คือการใช้ชุดเซ็นเซอร์ขั้นสูง ซึ่งประกอบด้วยเรดาร์ AN/APG-77 AESA และระบบรับสัญญาณเชิงรับ AN/ALR-94 เพื่อปฏิบัติภารกิจข่าวกรอง การเฝ้าตรวจ และการลาดตระเวน (Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance - ISR) ด้วยคุณสมบัติการล่องหน เอฟ-22 สามารถบินลึกเข้าไปในน่านฟ้าที่มีการป้องกันหนาแน่นเพื่อรวบรวมข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์และข้อมูลเป้าหมายจำนวนมหาศาลโดยไม่ถูกตรวจจับ สิ่งนี้ได้สร้างการรับรู้สถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบให้กับกองกำลังผสมทั้งหมด ทำให้ เอฟ-22 ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ควอเตอร์แบ็ก" หรือศูนย์บัญชาการและควบคุมลอยฟ้า คอยชี้นำและคุ้มกันอากาศยานลำอื่นจากภัยคุกคามที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ นักบิน เอฟ-22 ยังได้ริเริ่มกระบวนการส่งต่อข้อมูลข่าวกรองที่รวบรวมได้จากเซ็นเซอร์ของเครื่องบินไปยังหน่วยข่าวกรองในวงกว้าง ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับทุกเที่ยวบินที่ปฏิบัติภารกิจ
ปัญหาดาต้าลิงก์: หอคอยบาเบลแห่งเทคโนโลยีขั้นสูง
แม้ว่า เอฟ-22 จะสามารถสร้างภาพของสนามรบได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับมีข้อจำกัดร้ายแรงในการแบ่งปันภาพนั้นในรูปแบบดิจิทัลกับอากาศยานลำอื่น เอฟ-22 ใช้ระบบดาต้าลิงก์ภายในฝูงบินที่เรียกว่า Intra-Flight Data Link (IFDL) ซึ่งมีคุณสมบัติล่องหนและสื่อสารได้เฉพาะกับ เอฟ-22 ด้วยกันเท่านั้น แม้ว่ามันจะสามารถ "รับ" ข้อมูลจากเครือข่าย Link 16 ซึ่งเป็นมาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯ และนาโต้ได้ แต่มันไม่สามารถ "ส่ง" ข้อมูลผ่านเครือข่ายนี้ได้
ข้อจำกัดทางเทคนิคนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการปฏิบัติการ "มุมมองของพระเจ้า" ที่ เอฟ-22 สร้างขึ้นมานั้น ต้องถูกถ่ายทอดไปยังเครื่องบิน F-15, F-16 และอากาศยานอื่นๆ ผ่านทางการสื่อสารด้วยเสียงทางวิทยุเป็นหลัก ซึ่งเป็นวิธีการที่เชื่องช้า ขาดประสิทธิภาพ และเสี่ยงต่อความผิดพลาดสูงเมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลดิจิทัลโดยตรง นักบินคนหนึ่งบรรยายบทบาทของตนว่าต้องคอยบินคุ้มกันและชี้นำฝูงบิน F-16 ผ่านทางวิทยุ เพื่อให้พวกเขาจดจ่อกับภารกิจทิ้งระเบิดได้อย่างเต็มที่ ประสบการณ์รบในซีเรียได้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่พื้นฐานในยุทธศาสตร์การบูรณาการของเครื่องบินยุคที่ 5 เอฟ-22 ถูกออกแบบมาในยุคที่คาดว่าจะปฏิบัติการร่วมกับ เอฟ-22 ด้วยกันเป็นหลัก แต่ความเป็นจริงของสงครามกองกำลังผสมในซีเรียบังคับให้มันต้องกลายเป็นศูนย์กลางของฝูงบินรบที่ผสมผสานระหว่างเครื่องบินยุคที่ 4 และ 5 การไม่สามารถแบ่งปันข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่เหนือกว่าในรูปแบบดิจิทัลได้ ได้สร้าง "คอขวดของข้อมูล" ขึ้นในสนามรบ และจำกัดศักยภาพของมันในฐานะตัวคูณกำลังรบอย่างรุนแรง เซ็นเซอร์ที่ล้ำสมัยที่สุดในสนามรบกลับต้องถูกจำกัดด้วยวิธีการสื่อสารที่มีมาตั้งแต่ยุค 1940 ประสบการณ์รบจริงครั้งนี้จึงเป็นเหมือน "เครื่องมือวินิจฉัย" ราคาแพงที่ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างทางขีดความสามารถที่สำคัญ และน่าจะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการจัดสรรงบประมาณและพัฒนาโครงการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เช่น โครงการ TACLink 16
ในอีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จในหลากหลายบทบาทของ เอฟ-22 ก็ได้สร้างความซับซ้อนให้กับเหตุผลในการจัดหาเครื่องบินเฉพาะทางในอนาคต การที่เครื่องบินขับไล่ครองอากาศราคาสูงสามารถปฏิบัติภารกิจ CAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ ISR ล่องหนได้อย่างยอดเยี่ยม ได้ก่อให้เกิดคำถามที่ตอบได้ยากต่อกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง หากเครื่องบินที่แพงที่สุดสามารถ "ลดระดับ" ลงมาทำภารกิจระดับล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นจะเปลี่ยนแปลงสมการการลงทุนในเครื่องบินโจมตีขนาดเล็กโดยเฉพาะหรือไม่ ดังที่ปรากฏในกรณีการใช้ เอฟ-22 ทิ้งระเบิดโรงงานผลิตยาเสพติดในอัฟกานิสถานซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และนำไปสู่การที่รัฐมนตรีกระทรวงทหารอากาศสนับสนุนการใช้เครื่องบินโจมตีขนาดเล็กเพื่อปลดปล่อยเครื่องบินยุคที่ 5 ให้ไปรับมือกับภัยคุกคามระดับสูง ความสำเร็จของ เอฟ-22 ในปฏิบัติการ OIR จึงสร้างชุดข้อมูลที่ทรงพลังแต่ก็ย้อนแย้งในตัวเอง: แพลตฟอร์มระดับสูงสุดสามารถทำงานระดับล่างได้ดีเยี่ยม แต่การทำเช่นนั้นเป็นการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่งและสิ้นเปลืองอายุการใช้งานอันมีจำกัดของสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ
F22 Raptor .. ม้างาน ร้อยเอ็ด เจ็ดย่านน้ำ..ประวัติ โขกโชน..ยันบอลลูนจีน
ในขณะที่ อีกค่ายนั้น …เขาถนอม บข Gen5 ไม่นำออกมาเสี่ยง แต่ฝั่งโลกเสรี เอามันออกมาใช้จริง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้