สารคดีเครื่องบินรบ Panavia Tornado นักรบปีกปรับองศา

โครงการ Panavia Tornado ซึ่งเป็นเครื่องบินรบหลายบทบาทปีกกวาดแปรผัน (Variable-Sweep Wing Multi-Role Combat Aircraft) ในฐานะต้นแบบความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศของยุโรป
1.0 จุดกำเนิดของโครงการข้ามชาติ: การก่อตั้ง Panavia และ Turbo Union โครงการเริ่มต้นในปี 1967 ในยุคสงครามเย็น โดยมีเป้าหมายร่วมกันของเยอรมนี อิตาลี เบลเยียม และฮอลแลนด์ เพื่อผลิตเครื่องบินรบใหม่ทดแทน Lockheed F-104 Starfighter แม้ว่าแคนาดาและอังกฤษจะเข้าร่วมในช่วงแรก แต่ความเห็นต่างด้านสมรรถนะทำให้นานาชาติทยอยถอนตัวจนเหลือเพียง อังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี ในปี 1969 จึงมีการจัดตั้งบริษัท Panavia Aircraft GmbH ขึ้นเพื่อบริหารโครงการโดยรวม และ Turbo Union เพื่อรับผิดชอบการพัฒนาเครื่องยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นที่ชัดเจนระหว่างสามประเทศ
2.0 การกำหนดภารกิจ: สู่เครื่องบินรบอเนกประสงค์ (MRCA) จุดเปลี่ยนสำคัญคือการบรรลุข้อตกลงในการพัฒนาเครื่องบินรบอเนกประสงค์ (Multi-Role Combat Aircraft - MRCA) โดยมีการยกเลิกแผนรุ่นที่นั่งเดี่ยวและหันมาพัฒนารุ่น สองที่นั่ง เป็นมาตรฐาน เพื่อรองรับระบบเอวิโอนิกส์ที่ซับซ้อนสำหรับการโจมตีในทุกสภาพอากาศตามความต้องการของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (RAF) โครงการ ณ สิ้นปี 1970 มีประมาณการยอดสั่งซื้อรวมเกือบ 900 ลำ จากสามประเทศหลักและกองบินทหารเรือเยอรมนี
3.0 นวัตกรรมทางวิศวกรรมและการตัดสินใจทางเทคนิคที่สำคัญ การออกแบบ Tornado อาศัยนวัตกรรมหลัก ได้แก่:
ปีกปรับองศาได้ (Variable Geometry Wing): ช่วยให้เครื่องบินมีสมรรถนะสูงทั้งในย่านความเร็วสูงระดับความสูงต่ำ และความเร็วต่ำ
เครื่องยนต์ RB-199: ขนาดเล็กแต่ให้กำลังขับสูง พัฒนาโดย Turbo Union
ระบบควบคุมการบิน Fly-by-wire (CSAS): เป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ภารกิจโจมตีด้วยความเร็วสูงในระดับต่ำเป็นไปได้จริง โดยช่วยลดแรงกระแทกจากกระแสลมแปรปรวน และลดความเหนื่อยล้าของนักบิน
4.0 จากเครื่องต้นแบบสู่การเข้าประจำการ: การทดสอบและการฝึกอบรม โครงการใช้เวลาพัฒนา 13 ปี มีชั่วโมงบินทดสอบเกือบ 5,000 ชั่วโมง เที่ยวบินปฐมฤกษ์ เกิดขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคม 1974 ที่เยอรมนี หลังจากเครื่องบินพร้อมเข้าประจำการ ได้มีการจัดตั้ง สถาบันฝึกอบรมนักบินทอร์นาโดไตรภาคี (TTTE) ที่ฐานทัพอากาศ RAF Cottesmore ในอังกฤษ เพื่อสร้างความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกัน (interoperability) ระหว่างลูกเรือของทั้งสามชาติ
5.0 ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: รุ่น Interdictor/Strike (IDS) และ Air Defence Variant (ADV) แพลตฟอร์ม Tornado ถูกพัฒนาเป็นสองรุ่นหลัก:
รุ่น IDS (Interdictor/Strike - RAF เรียกว่า GR1): แกนหลักของฝูงบิน เน้นภารกิจโจมตีทุกสภาพอากาศในระดับต่ำ มีความเร็วสูงสุด Mach 2.2 ติดตั้งปืนใหญ่อากาศ Mauser 27 มม. 2 กระบอก และสามารถบรรทุกอาวุธที่หลากหลาย รวมถึงระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ Paveway และขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์ ALARM
รุ่น ADV (Air Defence Variant - F2 & F3): พัฒนาเพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นพิสัยไกลของ RAF มีความแตกต่างจาก IDS คือ ส่วนหัวยาวขึ้นเพื่อรองรับเรดาร์สกัดกั้นทางอากาศ Marconi Foxhunter และติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง Skyflash
6.0 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ: บทเรียนจากการฝึกซ้อมและสมรภูมิจริง Tornado สร้างชื่อเสียงจากการคว้าชัยชนะในการแข่งขันทิ้งระเบิดของ SAC สหรัฐฯ ในปี 1984 และการเข้าร่วมการฝึกซ้อม Red Flag บทพิสูจน์ที่แท้จริงคือ สงครามอ่าว (1991):
ช่วงแรก: Tornado GR1 ถูกใช้ในภารกิจโจมตีสนามบินในระดับต่ำด้วยระเบิด JP-233 ซึ่งส่งผลให้อัตราการสูญเสียสูง
การปรับยุทธวิธี: เนื่องจากความเสี่ยงสูง จึงเปลี่ยนมาใช้การทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ Paveway จากระดับความสูงที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งยังคงประสิทธิภาพในการทำลายเป้าหมาย
รุ่น F3 (ADV): ทำหน้าที่หลักในการบินลาดตระเวนรบ (Combat Air Patrols)

สารคดีเครื่องบินรบ Panavia Tornado นักรบปีกปรับองศา
1.0 จุดกำเนิดของโครงการข้ามชาติ: การก่อตั้ง Panavia และ Turbo Union โครงการเริ่มต้นในปี 1967 ในยุคสงครามเย็น โดยมีเป้าหมายร่วมกันของเยอรมนี อิตาลี เบลเยียม และฮอลแลนด์ เพื่อผลิตเครื่องบินรบใหม่ทดแทน Lockheed F-104 Starfighter แม้ว่าแคนาดาและอังกฤษจะเข้าร่วมในช่วงแรก แต่ความเห็นต่างด้านสมรรถนะทำให้นานาชาติทยอยถอนตัวจนเหลือเพียง อังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี ในปี 1969 จึงมีการจัดตั้งบริษัท Panavia Aircraft GmbH ขึ้นเพื่อบริหารโครงการโดยรวม และ Turbo Union เพื่อรับผิดชอบการพัฒนาเครื่องยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นที่ชัดเจนระหว่างสามประเทศ
2.0 การกำหนดภารกิจ: สู่เครื่องบินรบอเนกประสงค์ (MRCA) จุดเปลี่ยนสำคัญคือการบรรลุข้อตกลงในการพัฒนาเครื่องบินรบอเนกประสงค์ (Multi-Role Combat Aircraft - MRCA) โดยมีการยกเลิกแผนรุ่นที่นั่งเดี่ยวและหันมาพัฒนารุ่น สองที่นั่ง เป็นมาตรฐาน เพื่อรองรับระบบเอวิโอนิกส์ที่ซับซ้อนสำหรับการโจมตีในทุกสภาพอากาศตามความต้องการของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร (RAF) โครงการ ณ สิ้นปี 1970 มีประมาณการยอดสั่งซื้อรวมเกือบ 900 ลำ จากสามประเทศหลักและกองบินทหารเรือเยอรมนี
3.0 นวัตกรรมทางวิศวกรรมและการตัดสินใจทางเทคนิคที่สำคัญ การออกแบบ Tornado อาศัยนวัตกรรมหลัก ได้แก่:
ปีกปรับองศาได้ (Variable Geometry Wing): ช่วยให้เครื่องบินมีสมรรถนะสูงทั้งในย่านความเร็วสูงระดับความสูงต่ำ และความเร็วต่ำ
เครื่องยนต์ RB-199: ขนาดเล็กแต่ให้กำลังขับสูง พัฒนาโดย Turbo Union
ระบบควบคุมการบิน Fly-by-wire (CSAS): เป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ภารกิจโจมตีด้วยความเร็วสูงในระดับต่ำเป็นไปได้จริง โดยช่วยลดแรงกระแทกจากกระแสลมแปรปรวน และลดความเหนื่อยล้าของนักบิน
4.0 จากเครื่องต้นแบบสู่การเข้าประจำการ: การทดสอบและการฝึกอบรม โครงการใช้เวลาพัฒนา 13 ปี มีชั่วโมงบินทดสอบเกือบ 5,000 ชั่วโมง เที่ยวบินปฐมฤกษ์ เกิดขึ้นในวันที่ 14 สิงหาคม 1974 ที่เยอรมนี หลังจากเครื่องบินพร้อมเข้าประจำการ ได้มีการจัดตั้ง สถาบันฝึกอบรมนักบินทอร์นาโดไตรภาคี (TTTE) ที่ฐานทัพอากาศ RAF Cottesmore ในอังกฤษ เพื่อสร้างความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกัน (interoperability) ระหว่างลูกเรือของทั้งสามชาติ
5.0 ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง: รุ่น Interdictor/Strike (IDS) และ Air Defence Variant (ADV) แพลตฟอร์ม Tornado ถูกพัฒนาเป็นสองรุ่นหลัก:
รุ่น IDS (Interdictor/Strike - RAF เรียกว่า GR1): แกนหลักของฝูงบิน เน้นภารกิจโจมตีทุกสภาพอากาศในระดับต่ำ มีความเร็วสูงสุด Mach 2.2 ติดตั้งปืนใหญ่อากาศ Mauser 27 มม. 2 กระบอก และสามารถบรรทุกอาวุธที่หลากหลาย รวมถึงระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ Paveway และขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์ ALARM
รุ่น ADV (Air Defence Variant - F2 & F3): พัฒนาเพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นพิสัยไกลของ RAF มีความแตกต่างจาก IDS คือ ส่วนหัวยาวขึ้นเพื่อรองรับเรดาร์สกัดกั้นทางอากาศ Marconi Foxhunter และติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลาง Skyflash
6.0 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ: บทเรียนจากการฝึกซ้อมและสมรภูมิจริง Tornado สร้างชื่อเสียงจากการคว้าชัยชนะในการแข่งขันทิ้งระเบิดของ SAC สหรัฐฯ ในปี 1984 และการเข้าร่วมการฝึกซ้อม Red Flag บทพิสูจน์ที่แท้จริงคือ สงครามอ่าว (1991):
ช่วงแรก: Tornado GR1 ถูกใช้ในภารกิจโจมตีสนามบินในระดับต่ำด้วยระเบิด JP-233 ซึ่งส่งผลให้อัตราการสูญเสียสูง
การปรับยุทธวิธี: เนื่องจากความเสี่ยงสูง จึงเปลี่ยนมาใช้การทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ Paveway จากระดับความสูงที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งยังคงประสิทธิภาพในการทำลายเป้าหมาย
รุ่น F3 (ADV): ทำหน้าที่หลักในการบินลาดตระเวนรบ (Combat Air Patrols)