Sukhoi Su-35 นักล่าหรือแค่ภาพลวงตาจากแดนหมีขาว?

เครื่องบินขับไล่ ซูคอย ซู-35 (Sukhoi Su-35) ตั้งแต่ประวัติการพัฒนาอันยาวนาน การอัปเกรดทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ไปจนถึงการปฏิบัติการจริงในสนามรบและการซื้อขายในตลาดโลก
1. จุดกำเนิดและการพัฒนา (ซู-27เอ็ม)
ต้นกำเนิด: ซู-35 คือชื่อเรียกของเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ เจนเนอเรชัน 4.5 ที่พัฒนามาจาก ซู-27 ในช่วงทศวรรษ 1980 โดยมีชื่อแรกคือ ซู-27เอ็ม (Su-27M)
การออกแบบครั้งแรก: ซู-27เอ็ม ถูกพัฒนาให้เป็นเครื่องบิน มัลติโรล โดยมีจุดเด่นคือการเพิ่ม ครีบนำทาง (Canards) ด้านหน้าปีก เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบินมุมปะทะสูง (สามารถทนแรง 10g ได้) และติดตั้ง เรดาร์แบบแถวลำดับเฟส N011 Bars ที่สามารถติดตาม 15 เป้าหมายและโจมตีพร้อมกันได้ 6 เป้าหมาย
การทดสอบ: มีการผลิตเครื่องบินต้นแบบและรุ่นก่อนการผลิตรวม 14 ลำ มีการพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสาธิตเทคโนโลยี ซู-37 ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ ปรับทิศทางแรงขับ (Thrust-Vectoring) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ถึงขีดสุด
2. การปรับปรุงครั้งใหญ่ (ซู-35/ซู-35เอส)
ในปี 2003 ซูคอยเริ่มโครงการปรับปรุงครั้งที่สอง (T-10BM) เพื่อให้เป็นทางออกชั่วคราวก่อนที่ ซู-57 จะเข้าประจำการ โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ:
การถอดครีบนำทาง: นักออกแบบได้ตัดสินใจ ถอดครีบนำทางออก เนื่องจากความคล่องตัวที่เสียไปสามารถชดเชยได้ด้วย หัวฉีดเครื่องยนต์แบบปรับทิศทางแรงขับ AL-41F1S ที่ทรงพลังกว่า
เครื่องยนต์: ใช้เครื่องยนต์ Saturn AL-41F1S ที่สามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้สันดาปท้าย หรือที่เรียกว่า "Supercruise" (เหนือ มัค 1.1)
เรดาร์และห้องนักบิน: ติดตั้งเรดาร์ N035 Irbis-E ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก (ตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 400 กม.) และออกแบบห้องนักบินใหม่ให้เป็นระบบ Glass Cockpit พร้อมจอ LCD มัลติฟังก์ชันขนาดใหญ่เพื่อลดภาระงานของนักบิน
การเข้าประจำการ: กองทัพอากาศรัสเซียกลายเป็นลูกค้ารายแรกในปี 2009 และเรียกชื่อรุ่นผลิตจริงว่า ซู-35เอส (Su-35S) โดยเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติการอย่างเป็นทางการในปี 2014
3. ประวัติการปฏิบัติการรบ
สงครามกลางเมืองซีเรีย (2016): รัสเซียส่ง ซู-35เอส ไปประจำการ 4 ลำ ถือเป็นการส่งเข้าสู่สนามรบจริงครั้งแรก โดยเน้นภารกิจป้องกันภัยทางอากาศและสกัดกั้นเครื่องบินของกองทัพตุรกีและอิสราเอลหลายครั้ง
สงครามรัสเซีย-ยูเครน (2022-ปัจจุบัน):
ซู-35เอส ถูกใช้งานในภารกิจครองอากาศและสามารถยืนยันชัยชนะในการรบทางอากาศกับเครื่องบินยูเครนได้หลายครั้ง
มีการรายงานการสูญเสียหลายครั้ง โดยถูกยิงตกโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครน เช่น ขีปนาวุธ MIM-104 Patriot และที่น่าเศร้าคือถูกยิงตกด้วย ขีปนาวุธ S-300 ของฝ่ายเดียวกันเอง (Friendly Fire)
4. ลูกค้าส่งออกและดีลที่ล้มเหลว
จีน: เป็นลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อ 24 ลำ ในปี 2015 แม้การเจรจาจะยืดเยื้อเพราะความกังวลของรัสเซียเรื่องการ ลอกเลียนแบบ (จีนเคยแกะแบบ Su-27 มาก่อน) แต่ท้ายที่สุดดีลก็สำเร็จลงโดยไม่มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี
อิหร่าน: มีรายงานว่าได้ตกลงซื้อ ซู-35 (อาจเป็น 24 ลำที่เดิมผลิตให้อียิปต์) เพื่อแลกกับการส่งมอบโดรนให้กับรัสเซีย โดยมีการยืนยันการทำสัญญาแล้ว
ดีลที่ล้มเหลว:
อียิปต์: สั่งซื้อกว่า 24 ลำ แต่ดีลต้องล้มเลิกไปเนื่องจาก แรงกดดันและการขู่คว่ำบาตรจากสหรัฐฯ (ภายใต้กฎหมาย CAATSA)
อินโดนีเซีย: ได้ลงนามในสัญญาซื้อ 11 ลำ แต่การส่งมอบถูกขัดขวางและดีลถูกยกเลิกในภายหลังเนื่องจาก ปัญหาด้านงบประมาณ และแรงกดดันจากสหรัฐฯ
บราซิล: ซู-35 เคยเข้าประกวดราคาถึงสองครั้ง แต่สุดท้ายบราซิลก็เลือกเครื่องบินรุ่นอื่น
บทสรุปคือ ซูคอย ซู-35 เป็นเครื่องบินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะเครื่องบิน เจนเนอเรชัน 4.5 ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและการออกแบบที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ยังคงมีความเกี่ยวข้องและน่าจับตามองในยุทธศาสตร์การรบทางอากาศของโลกปัจจุบัน

Sukhoi Su-35 นักล่าหรือแค่ภาพลวงตาจากแดนหมีขาว?
1. จุดกำเนิดและการพัฒนา (ซู-27เอ็ม)
ต้นกำเนิด: ซู-35 คือชื่อเรียกของเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ เจนเนอเรชัน 4.5 ที่พัฒนามาจาก ซู-27 ในช่วงทศวรรษ 1980 โดยมีชื่อแรกคือ ซู-27เอ็ม (Su-27M)
การออกแบบครั้งแรก: ซู-27เอ็ม ถูกพัฒนาให้เป็นเครื่องบิน มัลติโรล โดยมีจุดเด่นคือการเพิ่ม ครีบนำทาง (Canards) ด้านหน้าปีก เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบินมุมปะทะสูง (สามารถทนแรง 10g ได้) และติดตั้ง เรดาร์แบบแถวลำดับเฟส N011 Bars ที่สามารถติดตาม 15 เป้าหมายและโจมตีพร้อมกันได้ 6 เป้าหมาย
การทดสอบ: มีการผลิตเครื่องบินต้นแบบและรุ่นก่อนการผลิตรวม 14 ลำ มีการพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสาธิตเทคโนโลยี ซู-37 ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ ปรับทิศทางแรงขับ (Thrust-Vectoring) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ถึงขีดสุด
2. การปรับปรุงครั้งใหญ่ (ซู-35/ซู-35เอส)
ในปี 2003 ซูคอยเริ่มโครงการปรับปรุงครั้งที่สอง (T-10BM) เพื่อให้เป็นทางออกชั่วคราวก่อนที่ ซู-57 จะเข้าประจำการ โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ:
การถอดครีบนำทาง: นักออกแบบได้ตัดสินใจ ถอดครีบนำทางออก เนื่องจากความคล่องตัวที่เสียไปสามารถชดเชยได้ด้วย หัวฉีดเครื่องยนต์แบบปรับทิศทางแรงขับ AL-41F1S ที่ทรงพลังกว่า
เครื่องยนต์: ใช้เครื่องยนต์ Saturn AL-41F1S ที่สามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงต่อเนื่องโดยไม่ต้องใช้สันดาปท้าย หรือที่เรียกว่า "Supercruise" (เหนือ มัค 1.1)
เรดาร์และห้องนักบิน: ติดตั้งเรดาร์ N035 Irbis-E ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก (ตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 400 กม.) และออกแบบห้องนักบินใหม่ให้เป็นระบบ Glass Cockpit พร้อมจอ LCD มัลติฟังก์ชันขนาดใหญ่เพื่อลดภาระงานของนักบิน
การเข้าประจำการ: กองทัพอากาศรัสเซียกลายเป็นลูกค้ารายแรกในปี 2009 และเรียกชื่อรุ่นผลิตจริงว่า ซู-35เอส (Su-35S) โดยเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติการอย่างเป็นทางการในปี 2014
3. ประวัติการปฏิบัติการรบ
สงครามกลางเมืองซีเรีย (2016): รัสเซียส่ง ซู-35เอส ไปประจำการ 4 ลำ ถือเป็นการส่งเข้าสู่สนามรบจริงครั้งแรก โดยเน้นภารกิจป้องกันภัยทางอากาศและสกัดกั้นเครื่องบินของกองทัพตุรกีและอิสราเอลหลายครั้ง
สงครามรัสเซีย-ยูเครน (2022-ปัจจุบัน):
ซู-35เอส ถูกใช้งานในภารกิจครองอากาศและสามารถยืนยันชัยชนะในการรบทางอากาศกับเครื่องบินยูเครนได้หลายครั้ง
มีการรายงานการสูญเสียหลายครั้ง โดยถูกยิงตกโดยระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครน เช่น ขีปนาวุธ MIM-104 Patriot และที่น่าเศร้าคือถูกยิงตกด้วย ขีปนาวุธ S-300 ของฝ่ายเดียวกันเอง (Friendly Fire)
4. ลูกค้าส่งออกและดีลที่ล้มเหลว
จีน: เป็นลูกค้ารายแรกที่สั่งซื้อ 24 ลำ ในปี 2015 แม้การเจรจาจะยืดเยื้อเพราะความกังวลของรัสเซียเรื่องการ ลอกเลียนแบบ (จีนเคยแกะแบบ Su-27 มาก่อน) แต่ท้ายที่สุดดีลก็สำเร็จลงโดยไม่มีการถ่ายโอนเทคโนโลยี
อิหร่าน: มีรายงานว่าได้ตกลงซื้อ ซู-35 (อาจเป็น 24 ลำที่เดิมผลิตให้อียิปต์) เพื่อแลกกับการส่งมอบโดรนให้กับรัสเซีย โดยมีการยืนยันการทำสัญญาแล้ว
ดีลที่ล้มเหลว:
อียิปต์: สั่งซื้อกว่า 24 ลำ แต่ดีลต้องล้มเลิกไปเนื่องจาก แรงกดดันและการขู่คว่ำบาตรจากสหรัฐฯ (ภายใต้กฎหมาย CAATSA)
อินโดนีเซีย: ได้ลงนามในสัญญาซื้อ 11 ลำ แต่การส่งมอบถูกขัดขวางและดีลถูกยกเลิกในภายหลังเนื่องจาก ปัญหาด้านงบประมาณ และแรงกดดันจากสหรัฐฯ
บราซิล: ซู-35 เคยเข้าประกวดราคาถึงสองครั้ง แต่สุดท้ายบราซิลก็เลือกเครื่องบินรุ่นอื่น
บทสรุปคือ ซูคอย ซู-35 เป็นเครื่องบินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะเครื่องบิน เจนเนอเรชัน 4.5 ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและการออกแบบที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ยังคงมีความเกี่ยวข้องและน่าจับตามองในยุทธศาสตร์การรบทางอากาศของโลกปัจจุบัน