รัสเซียปรับปรุงเครื่องบินรบ Su-57M1 ด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2025 บริษัท United Aircraft Corporation (UAC) ของรัสเซีย ภายใต้การนำของสำนักงานออกแบบ Sukhoi ได้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของ Su-57M ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Su-57 และถือเป็นเครื่องบินรบเจเนอเรชันที่ห้ารุ่นปรับปรุงขั้นสูง โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันศักยภาพทางอากาศของรัสเซียเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกอีกครั้ง ท่ามกลางบริบทความตึงเครียดทางการเมืองและการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้นในระดับนานาชาติ
เทคโนโลยีเหนือชั้น และการผสาน AI กับสนามรบ
Su-57M เป็นเครื่องบินที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของรัสเซียที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดในอดีต และสร้างแพลตฟอร์มรบทางอากาศที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของสหรัฐฯ หรือจีน เครื่องบินรุ่นใหม่นี้มาพร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการระบบภายในและสนับสนุนการตัดสินใจของนักบินแบบเรียลไทม์
นักบินทดสอบชื่อดังของรัสเซีย เซอร์เก บ็อกดาน เปิดเผยว่า Su-57M สามารถเปิดใช้งานระบบทั้งหมดด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว ทำให้ขั้นตอนการเตรียมก่อนบินที่เคยใช้เวลานานหลายสิบนาที ถูกลดลงเหลือไม่กี่วินาที ระบบตรวจสอบอัตโนมัติยังช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องพร้อมรบทุกครั้งที่ต้องขึ้นบิน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก้าวกระโดดของการใช้ AI ในระบบอาวุธของรัสเซีย
นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดเครื่องยนต์หลักเป็นรุ่น Saturn AL-51 ซึ่งให้แรงขับมากขึ้น ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และที่สำคัญคือสามารถรักษาความเร็วระดับเหนือเสียง (supersonic cruise) ได้โดยไม่ต้องเปิดระบบ afterburner หรือการเผาไหม้ท้าย – จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้า ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศจะสามารถพัฒนาได้
Su-57M มีโครงสร้างลำตัวที่แบนราบมากขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่น Su-57 ดั้งเดิม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าการสะท้อนคลื่นเรดาร์ (Radar Cross-Section หรือ RCS) ช่องเก็บอาวุธทั้งหมดถูกฝังไว้ภายในลำตัว ทำให้ไม่มีอุปกรณ์หรืออาวุธใดโผล่ออกมาภายนอกที่อาจสะท้อนเรดาร์ได้เหมือนเครื่องบินทั่วไป
ระบบเรดาร์ที่ใช้ใน Su-57M ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยรายงานระบุว่าเป็นรุ่นที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ในระยะที่ไกลขึ้น มีความละเอียดสูงขึ้น และสามารถติดตามเป้าหมายหลายเป้าพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การรบทางอากาศต้องอาศัยการรู้ตำแหน่งศัตรูก่อนที่จะถูกตรวจพบ

โครงการ Su-57 หรือชื่อดั้งเดิมในช่วงพัฒนาแรกเริ่มว่า PAK FA ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมุ่งหวังจะสร้างเครื่องบินที่สามารถเทียบชั้นกับ F-22 Raptor ของสหรัฐฯ ได้ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ต้องเผชิญกับความล่าช้า ซับซ้อนทางเทคโนโลยี และข้อจำกัดทางการเงิน ทำให้ Su-57 รุ่นดั้งเดิมเพิ่งจะเข้าประจำการในปี 2020 โดยมีจำนวนเพียงหยิบมือ
Su-57M จึงถือเป็นความพยายามครั้งใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การปรับแต่งเล็กน้อย แต่คือการ “ปั้นใหม่” ทั้งเครื่อง ตั้งแต่ระบบภายในไปจนถึงโครงสร้างทางกายภาพ ปรับปรุงทั้งความคล่องตัวในการบิน การใช้พลังงาน การรับมือกับเป้าหมายหลายประเภท ไปจนถึงการสื่อสารกับเครื่องบินไร้คนขับ (UAVs) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสงครามอากาศยุคใหม่
หากมองในเชิงเปรียบเทียบ เครื่องบิน Su-57M มีคุณลักษณะบางอย่างที่เทียบชั้นได้กับ F-22 Raptor โดยเฉพาะในด้านความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการบินล่องเหนือเสียงโดยไม่ใช้ afterburner
แม้จะยังไม่สามารถเทียบได้กับ F-35 ในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเครือข่ายหรือระบบเซ็นเซอร์ฟิวชัน (sensor fusion) ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งแล้วแสดงผลแบบเรียลไทม์ให้กับนักบิน แต่ Su-57M ก็มีจุดขายของตัวเอง เช่น ความสามารถในการปฏิบัติการเดี่ยวโดยไม่ต้องพึ่งโครงข่ายพันธมิตร ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และการปรับปรุงในส่วนที่เน้น “การรุก” มากกว่า “การป้องกัน” แบบแพลตฟอร์มตะวันตก
ขณะที่ยุโรปมีเครื่องบินรบอย่าง Eurofighter Typhoon และ Dassault Rafale ซึ่งแม้จะมีความสามารถหลากหลาย แต่ยังคงต้องพึ่ง afterburner เพื่อรักษาความเร็วเหนือเสียง และยังไม่สามารถหลบหลีกเรดาร์ได้เทียบเท่า Su-57M
มิติทางยุทธศาสตร์: เครื่องบินรบในฐานะสัญลักษณ์ของอำนาจ
ในระดับยุทธศาสตร์ Su-57M ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ “ปฏิเสธการเข้าถึง” (A2/AD) ของรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความขัดแย้งสูง เช่น ยุโรปตะวันออก อาร์กติก และเอเชียกลาง เครื่องบินล่องหนที่สามารถตรวจจับเป้าหมายจากระยะไกล จัดการศัตรูได้ก่อนที่จะถูกตรวจพบ ย่อมทำให้รัสเซียสามารถควบคุมพื้นที่ทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การพัฒนา Su-57M ยังมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ กล่าวคือ เป็นการแสดงออกว่ารัสเซียยังคงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารระดับสูงได้ แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ การที่รัสเซียสามารถผลักดันโครงการนี้ให้ก้าวหน้าได้ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ย่อมเป็นการส่งสารถึงพันธมิตรและลูกค้าอาวุธทั่วโลกว่า รัสเซียยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาดอาวุธยุคใหม่
สรุป
Su-57M ไม่ใช่แค่การอัปเกรดเครื่องบินรุ่นเดิม แต่คือการนิยามใหม่ของ “เครื่องบินขับไล่แห่งอนาคต” ในแบบฉบับของรัสเซีย ที่เน้นความเร็ว ความคล่องตัว ความล่องหน และการใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ แม้อาจยังไม่เทียบเท่าคู่แข่งบางรายในบางมิติ แต่ในภาพรวม Su-57M ได้กลายเป็นหมากตัวสำคัญในกระดานยุทธศาสตร์โลก เป็นเครื่องมือที่บ่งบอกว่า รัสเซียยังไม่ถอยจากเวทีการแข่งขันทางทหารระดับโลก และพร้อมจะขึ้นบินอีกครั้งในเวทีที่มีแต่ผู้เล่นรายใหญ่เท่านั้นที่ยังเหลือรอด

รัสเซียปรับปรุงเครื่องบินรบ Su-57M1 ด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI
เทคโนโลยีเหนือชั้น และการผสาน AI กับสนามรบ
Su-57M เป็นเครื่องบินที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของรัสเซียที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดในอดีต และสร้างแพลตฟอร์มรบทางอากาศที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของสหรัฐฯ หรือจีน เครื่องบินรุ่นใหม่นี้มาพร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการระบบภายในและสนับสนุนการตัดสินใจของนักบินแบบเรียลไทม์
นักบินทดสอบชื่อดังของรัสเซีย เซอร์เก บ็อกดาน เปิดเผยว่า Su-57M สามารถเปิดใช้งานระบบทั้งหมดด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว ทำให้ขั้นตอนการเตรียมก่อนบินที่เคยใช้เวลานานหลายสิบนาที ถูกลดลงเหลือไม่กี่วินาที ระบบตรวจสอบอัตโนมัติยังช่วยให้มั่นใจว่าเครื่องพร้อมรบทุกครั้งที่ต้องขึ้นบิน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก้าวกระโดดของการใช้ AI ในระบบอาวุธของรัสเซีย
นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดเครื่องยนต์หลักเป็นรุ่น Saturn AL-51 ซึ่งให้แรงขับมากขึ้น ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และที่สำคัญคือสามารถรักษาความเร็วระดับเหนือเสียง (supersonic cruise) ได้โดยไม่ต้องเปิดระบบ afterburner หรือการเผาไหม้ท้าย – จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้า ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศจะสามารถพัฒนาได้
Su-57M มีโครงสร้างลำตัวที่แบนราบมากขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่น Su-57 ดั้งเดิม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าการสะท้อนคลื่นเรดาร์ (Radar Cross-Section หรือ RCS) ช่องเก็บอาวุธทั้งหมดถูกฝังไว้ภายในลำตัว ทำให้ไม่มีอุปกรณ์หรืออาวุธใดโผล่ออกมาภายนอกที่อาจสะท้อนเรดาร์ได้เหมือนเครื่องบินทั่วไป
ระบบเรดาร์ที่ใช้ใน Su-57M ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยรายงานระบุว่าเป็นรุ่นที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ในระยะที่ไกลขึ้น มีความละเอียดสูงขึ้น และสามารถติดตามเป้าหมายหลายเป้าพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การรบทางอากาศต้องอาศัยการรู้ตำแหน่งศัตรูก่อนที่จะถูกตรวจพบ
Su-57M จึงถือเป็นความพยายามครั้งใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การปรับแต่งเล็กน้อย แต่คือการ “ปั้นใหม่” ทั้งเครื่อง ตั้งแต่ระบบภายในไปจนถึงโครงสร้างทางกายภาพ ปรับปรุงทั้งความคล่องตัวในการบิน การใช้พลังงาน การรับมือกับเป้าหมายหลายประเภท ไปจนถึงการสื่อสารกับเครื่องบินไร้คนขับ (UAVs) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสงครามอากาศยุคใหม่
หากมองในเชิงเปรียบเทียบ เครื่องบิน Su-57M มีคุณลักษณะบางอย่างที่เทียบชั้นได้กับ F-22 Raptor โดยเฉพาะในด้านความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการบินล่องเหนือเสียงโดยไม่ใช้ afterburner
แม้จะยังไม่สามารถเทียบได้กับ F-35 ในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเครือข่ายหรือระบบเซ็นเซอร์ฟิวชัน (sensor fusion) ที่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งแล้วแสดงผลแบบเรียลไทม์ให้กับนักบิน แต่ Su-57M ก็มีจุดขายของตัวเอง เช่น ความสามารถในการปฏิบัติการเดี่ยวโดยไม่ต้องพึ่งโครงข่ายพันธมิตร ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และการปรับปรุงในส่วนที่เน้น “การรุก” มากกว่า “การป้องกัน” แบบแพลตฟอร์มตะวันตก
ขณะที่ยุโรปมีเครื่องบินรบอย่าง Eurofighter Typhoon และ Dassault Rafale ซึ่งแม้จะมีความสามารถหลากหลาย แต่ยังคงต้องพึ่ง afterburner เพื่อรักษาความเร็วเหนือเสียง และยังไม่สามารถหลบหลีกเรดาร์ได้เทียบเท่า Su-57M
มิติทางยุทธศาสตร์: เครื่องบินรบในฐานะสัญลักษณ์ของอำนาจ
ในระดับยุทธศาสตร์ Su-57M ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ “ปฏิเสธการเข้าถึง” (A2/AD) ของรัสเซีย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความขัดแย้งสูง เช่น ยุโรปตะวันออก อาร์กติก และเอเชียกลาง เครื่องบินล่องหนที่สามารถตรวจจับเป้าหมายจากระยะไกล จัดการศัตรูได้ก่อนที่จะถูกตรวจพบ ย่อมทำให้รัสเซียสามารถควบคุมพื้นที่ทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การพัฒนา Su-57M ยังมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ กล่าวคือ เป็นการแสดงออกว่ารัสเซียยังคงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารระดับสูงได้ แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ การที่รัสเซียสามารถผลักดันโครงการนี้ให้ก้าวหน้าได้ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ย่อมเป็นการส่งสารถึงพันธมิตรและลูกค้าอาวุธทั่วโลกว่า รัสเซียยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาดอาวุธยุคใหม่
สรุป
Su-57M ไม่ใช่แค่การอัปเกรดเครื่องบินรุ่นเดิม แต่คือการนิยามใหม่ของ “เครื่องบินขับไล่แห่งอนาคต” ในแบบฉบับของรัสเซีย ที่เน้นความเร็ว ความคล่องตัว ความล่องหน และการใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบ แม้อาจยังไม่เทียบเท่าคู่แข่งบางรายในบางมิติ แต่ในภาพรวม Su-57M ได้กลายเป็นหมากตัวสำคัญในกระดานยุทธศาสตร์โลก เป็นเครื่องมือที่บ่งบอกว่า รัสเซียยังไม่ถอยจากเวทีการแข่งขันทางทหารระดับโลก และพร้อมจะขึ้นบินอีกครั้งในเวทีที่มีแต่ผู้เล่นรายใหญ่เท่านั้นที่ยังเหลือรอด