คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล:ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน ยุคแผนพัฒนาฯ8 เปรียบเทียบกับ ยุคประชานิยม

กระทู้สนทนา
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่ออนาคต: ฟื้นคืนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน

1. ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจชุมชนแบบพึ่งตนเอง
กลับไปยึดหลัก พัฒนา “จากล่างขึ้นบน” (bottom-up) ไม่ใช่ “บนลงล่าง” (top-down)
ให้ชุมชนเป็นเจ้าของงบประมาณและแผนงาน แทนการเป็นเพียงผู้รับนโยบาย
ปรับบทบาทรัฐเป็น “ผู้ส่งเสริม” มากกว่า “ผู้จัดสรร”

2. ยกระดับกองทุนเศรษฐกิจชุมชน
ปรับโครงสร้างกองทุนให้ทันสมัย โปร่งใส ผ่าน Digital Community Finance Platform
สร้างระบบติดตามผลแบบเปิดเผย ให้ประชาชนมี สิทธิรู้ สิทธิตรวจสอบ
สนับสนุนการรวมกลุ่มเครือข่าย เช่น กลุ่มออมทรัพย์ – ผลิต – แปรรูป – ตลาด – ส่งออก

3. สร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น
ต่อยอดสินค้าชุมชนด้วยแนวคิด Branding, Packaging, Storytelling
ส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่เป็นผู้พัฒนา Content และผลิตภัณฑ์ผ่าน ทุนวัฒนธรรม + เทคโนโลยี
จับมือภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สร้างตลาดระดับภูมิภาคและโลก

4. ปฏิรูประบบสนับสนุนจากรัฐ
เปลี่ยนการ “แจก” เป็นการ “เสริมพลัง” เช่น Matching Fund, กู้แบบร่วมลงทุน (Equity Loan)
ลดประชานิยมแบบระยะสั้น หันมาสนับสนุนการสร้างทุนมนุษย์ระยะยาว เช่น อาชีวะชุมชน – สถาบันทักษะใหม่
บูรณาการหน่วยงานรัฐ – ท้องถิ่น – เอกชน เพื่อการสนับสนุนอย่างมีทิศทางเดียว

5. ประเมินผลตามเป้าหมาย “การเติบโตจากภายใน”
ใช้เกณฑ์ประเมินใหม่ เช่น ความสามารถในการพึ่งตนเอง รายได้เฉลี่ยในชุมชน การกระจายโอกาส
จัดตั้งหน่วยงานภาคประชาชนติดตามประเมินผลร่วมกับรัฐ
ประยุกต์ใช้ Big Data และ AI ในการประเมินผลเชิงพื้นที่

การเปรียบเทียบระหว่าง สินค้าเศรษฐกิจชุมชนในยุคสุขวิช รังสิตพล ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539–2543) กับ นโยบาย OTOP (One Tambon One Product) ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย (เริ่มปี 2544) นั้น สามารถวิเคราะห์ได้ผ่านหลายมิติ ดังนี้:





การวิเคราะห์การใช้แนวทางสุขวิชในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 (พ.ศ. 2539-2543 ปีที่ใช้จริง)

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539-2543) มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยภายใต้การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน พร้อมกับการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ขณะเดียวกัน สุขวิช รังสิตพลในช่วงเวลาดังกล่าวเสนอแนวทางเศรษฐกิจชุมชนที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก โดยเน้นการพึ่งพาตนเองของชุมชนและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ

ในบทความนี้จะทำการวิเคราะห์ว่า หากใช้แนวทาง เศรษฐกิจชุมชนของสุขวิช ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็น "ประเทศพัฒนาแล้ว" ในปี 2020 ได้อย่างไร?

1. แนวทางของสุขวิช: พึ่งพาตนเองและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น
เศรษฐกิจชุมชน ตามแนวคิดของ สุขวิช รังสิตพล มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก โดยการพึ่งพาตนเองของชุมชนและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ชุมชนจะต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาจากภายใน ไม่เพียงแค่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น แต่ยังต้องมีการพัฒนาแนวคิดและทักษะการจัดการในระดับชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว

ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการพัฒนาความสามารถในการผลิตภายในประเทศ การใช้แนวทางนี้สามารถช่วยให้ชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าจากการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น โดยมีการควบคุมการผลิตและการจัดการในระดับชุมชน

2. การพัฒนาอย่างยั่งยืน: การสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันในระดับโลก ซึ่งในแง่ของ เศรษฐกิจชุมชนของสุขวิชสามารถเสริมสร้างความยั่งยืนจากการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย:
การกระจายศักยภาพเศรษฐกิจ: แนวทางนี้ช่วยให้เศรษฐกิจไม่เน้นการเติบโตเฉพาะในเมืองใหญ่หรือภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถกระจายการพัฒนาไปยังชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง
การลดความเหลื่อมล้ำ: การพัฒนาชุมชนตามแนวทางสุขวิชสามารถช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เนื่องจากชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม
การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากและการพึ่งพาทรัพยากรท้องถิ่นจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาภายนอกเกินไป

3. การเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจในแผนฯ 8: การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจของประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ แนวทางของสุขวิชที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสามารถเชื่อมโยงกับเป้าหมายนี้ได้โดย:
การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์: ชุมชนสามารถผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์และมีคุณภาพสูงจากทรัพยากรท้องถิ่น ซึ่งสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เช่น ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรหรือสินค้าเกษตรที่ได้รับการพัฒนามาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น
การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดต่างประเทศ: การส่งเสริมการผลิตในระดับท้องถิ่นที่มีความหลากหลายและคุณภาพสูงสามารถสร้างโอกาสในการส่งออก ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

4. การใช้แนวทางสุขวิช
แนวทางเศรษฐกิจชุมชนจะมีประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากและการกระจายศักยภาพเศรษฐกิจไปยังชุมชนต่างๆ :
การขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ: ชุมชนอาจขาดการสนับสนุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การศึกษา การพัฒนาทักษะ และการเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

การเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่: ชุมชนจะสามารถผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพดี จึงสามารถถึงตลาดขนาดใหญ่ในระดับโลกหรือในระดับประเทศ ผ่านคณะกรรมการสถานศึกษา ในยุคอภิวัฒน์การศึกษา 2538

5. การผสมผสานระหว่างแนวทางเศรษฐกิจชุมชนและนโยบายระดับประเทศ
การใช้แนวทาง เศรษฐกิจชุมชน ของสุขวิชในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 มีการผสมผสานกับนโยบายของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 1ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างเครือข่ายการตลาด และการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการเงินและการส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ การสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนและภาครัฐ จึงสามารถเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ และ รัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน 1 สามารถใช้หนี้ IMF ทั้งยังมีเงินงบประมาณเหลือให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย แจกในการ เปลี่ยนเป็น แนวทางประชานิยม

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่นำเสนอเกี่ยวกับการฟื้นคืนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืนนั้น มีการเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากและการพึ่งพาตนเองของชุมชน โดยมุ่งหวังให้ชุมชนมีความสามารถในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและการสนับสนุนจากภาครัฐในลักษณะ “เสริมพลัง” มากกว่าการ “แจกจ่าย” ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะในมิติของการยกระดับกองทุนเศรษฐกิจชุมชน การสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น และการสนับสนุนการศึกษาทักษะใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดในอนาคต

เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางเศรษฐกิจชุมชนของสุขวิช รังสิตพลในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539-2543) และนโยบาย OTOP ของรัฐบาลไทยรักไทย (เริ่มปี 2544) นั้นมีหลายมิติที่สามารถวิเคราะห์ได้:

การพึ่งพาตนเองและการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น: ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 สุขวิชเน้นการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากฐานราก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และมีคุณภาพในสมัยนั้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

การกระจายศักยภาพเศรษฐกิจและการลดความเหลื่อมล้ำ: แนวทางของสุขวิชสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่มุ่งเน้นแค่เมืองใหญ่หรืออุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังสามารถกระจายไปยังชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำและทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง
การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการแข่งขันในตลาดโลก: การผลิตสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์สามารถสร้างโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งเชื่อมโยงกับการส่งเสริมเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8

ความยั่งยืนในระยะยาว: การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนตามแนวทางของสุขวิชมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาภายนอกมากเกินไป โดยเน้นการพัฒนาในท้องถิ่นและสร้างความยั่งยืนจากฐานราก

ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงจากนโยบาย OTOP ซึ่งเน้นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์เฉพาะของแต่ละตำบล อาจจะมุ่งเน้นที่การสร้างรายได้ระยะสั้นและความสำเร็จในระดับท้องถิ่น แต่มักจะขาดการเชื่อมโยงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดที่กว้างขึ้น รวมถึงการพัฒนาทักษะและความรู้ของคนในชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในอนาคต

โดยสรุปแล้ว แนวทางของสุขวิช รังสิตพลในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 8 สามารถช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่