สาเหตุหลักๆ มาจาก 2 อย่าง คือ ยอดผ่อนขั้นต่ำที่ "น้อย" และดอกเบี้ยที่ "ลอยตัว"
1. พูดตรงๆ ว่าการ “ผ่อนน้อย” นั้น มันก็ “น้อยเกิน” ไป
คิดกลมๆ เช่น กู้ 1 ล้าน ดอกเบี้ย 6% ต่อปี แปลว่า 1 ปีนั้น เราต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารแน่ๆ เท่ากับ
1,000,000x6% = 60,000 บาทต่อปี
หารเป็นต่อเดือน ก็จะเท่ากับ
60,000/12 = 5,000 บาทต่อเดือน
แต่ธนาคาร “ใจดี” ให้กำหนดขั้นต่ำเงินผ่อน ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน
ดังนั้น เลยจะเป็น ผ่อน 6,000
แต่เข้าเงินต้น 1,000 บาท และดอกเบี้ย 5,000 บาท
ปล. นี่สมมติตัวเลขเฉยๆ นะครับ
2. แต่ธนาคารก็ “ใจดี” (ผมมองว่าใจดีแหละ)
เพราะมันจะมีข้อดีคือ
✅ ผ่อนน้อย ก็ทำให้ “สภาพคล่องดี”
✅ เดือนไหนมีเงินเยอะ ก็ค่อยโปะเพิ่ม เดือนไหนมีเงินน้อย ก็ผ่อนตามปกติ
✅ เข้าต้นน้อย แต่จ่ายไหวทุกเดือน เครดิตก็ไม่เสีย
✅ พอเครดิตไม่เสีย อนาคตรายได้เพิ่มขึ้น จะกู้เพิ่ม หรือกู้ลงทุน ก็ไม่ลำบาก
3. ซื้อบ้าน “ของตัวเอง” ต้องวางแผนให้ดี เพราะนี่คือบ้านของเรา
✅ ใส่เงินโปะเพิ่มเข้าไปหน่อย เพื่อตัดต้น เพราะดอกเบี้ยบ้าน มัน “ลดต้น ลดดอก”
✅ มันก็มีเทคนิคที่ทำให้ผ่อนบ้านหมดเร็วอยู่บ้าง เช่น
✅ ผ่อนเพิ่ม 10% ของยอดผ่อนรายเดือน
✅ ผ่อนเพิ่ม งวดที่ 13 ของปี
✅ ผ่อนเพิ่ม โดยใช้ “เงินคืนภาษี” จากดอกเบี้ยบ้าน
✅ ขอลดดอกเบี้ยโดยรีไฟแนนซ์ หรือรีเทนชั่น ทุกๆ 3 ปี
✅ ทำแบบนี้ “เขาว่า” จะช่วยผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้น เกือบ 10 ปี
4. ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ ก็ “ลำบาก” ชีวิตบางเดือน
อันนี้ผมโลกสวย มองว่าธนาคารก็ใจดี และเป็นห่วง “สภาพคล่อง” ของผู้ซื้อนะ
‼️ ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ แต่ผ่อนได้ไม่ตรงทุกเดือน เครดิตเราอาจไม่ดี
‼️ ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ แต่เราเงินไม่พอ อาจต้องไปก่อหนี้สินจากทางอื่น มาใช้ผ่อน หรือมากินมาใช้
✅ เงินเหลือก็โปะเพิ่ม เงินขาดก็ผ่อนปกติ
✅ ไม่มีใครเสียเปรียบเทียบใคร เขาให้เรายืมเงิน 20-30 ปี แต่เราได้บ้านอยู่อาศัย
✅ ดอกเบี้ยเราก็ต้องให้เขาอยู่ดี แต่เราให้ตัวเองน้อยหน่อย เพราะเดือนนี้เราอาจยังไม่ไหว
✅ เดือนหน้าๆ เราไหว เราก็ให้ตัวเองเยอะขึ้น เดียวเขาก็ค่อยๆ ได้จากเราน้อยลง (ลดต้น ลดดอก)
5. ดอกเบี้ยบ้าน ยังเป็น “ดอกเบี้ยที่ดี ที่สุด” ของคนธรรมดาทั่วไป
ดอกเบี้ย = ต้นทุนทางการเงิน
ทุกวันนี้ เราจะไปกู้ยืมเงินใคร ด้วยอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ ดอกเบี้ยบ้าน นั้น “หายาก” มาก และที่สำคัญ มันยัง “ลดต้น ลดดอก” ให้อีกด้วย
ตัวเลข “อัตราดอกเบี้ย” ต่อปี (ซึ่งผมไม่แน่ใจตัวเลข)
- สินเชื่อเอนกประสงค์ (กู้ตกแต่ง) > 7% ต่อปี
- สินเชื่อบัตรเครดิต > 15% ต่อปี
- สินเชื่อนอกระบบ > 100% ต่อปี
แต่สินเชื่อรถยนต์ มือหนึ่ง บางครั้งก็น้อยกว่าดอกเบี้ยบ้าน แต่ก็ “ไม่ลดต้น ลดดอก
6. สุดท้าย มันเป็นเรื่องปกติ ที่เราจะ “กู้ธนาคาร” เพื่อซื้อบ้าน
มันเป็นเรื่องยาก ที่คนธรรมดาทั่วไป จะมี “เงินสด” หลักล้าน ไปซื้อบ้านได้เลย
💗 เข้าเงินต้นน้อยหน่อย ปลดหนี้ได้ช้าหน่อย ก็ไม่เป็นไร
💗 มีเงินเหลือก็ค่อยใส่เพิ่ม อดทนไปหน่อย ผ่านไป 3 ปี รอรีไฟแนนซ์ ชีวิตจะดีขึ้นมากมาย
💗 ตราบใดที่ “สภาพคล่อง” ยังดี เงินไม่ตึง = เรายังไม่จน
💗 ตราบใดที่ ยังไม่จน = สักวันเดียวก็สบาย เดียวก็รวยขึ้นได้
ปล. ส่วนตัวผมจะชอบ “ผ่อนน้อย” เพราะมันยืดหยุ่นกว่า
แต่ส่วนมากผมก็จะ “โปะ” เข้าไปตลอด
แต่ใครจะรู้? ว่าเดือนไหนเงินผมจะช็อค
ใครจะรู้? ว่าเดือนไหนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันให้ต้องใช้เงินมากกว่าปกติ
เพราะงั้นกำหนดผ่อนน้อยไว้ก่อน ผมจะสบายใจ และยืดหยุ่นกว่า
"ผ่อนบ้าน" เข้าแต่ดอกเบี้ย แต่เข้าเงินต้นน้อยมาก
สาเหตุหลักๆ มาจาก 2 อย่าง คือ ยอดผ่อนขั้นต่ำที่ "น้อย" และดอกเบี้ยที่ "ลอยตัว"
1. พูดตรงๆ ว่าการ “ผ่อนน้อย” นั้น มันก็ “น้อยเกิน” ไป
คิดกลมๆ เช่น กู้ 1 ล้าน ดอกเบี้ย 6% ต่อปี แปลว่า 1 ปีนั้น เราต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารแน่ๆ เท่ากับ
1,000,000x6% = 60,000 บาทต่อปี
หารเป็นต่อเดือน ก็จะเท่ากับ
60,000/12 = 5,000 บาทต่อเดือน
แต่ธนาคาร “ใจดี” ให้กำหนดขั้นต่ำเงินผ่อน ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน
ดังนั้น เลยจะเป็น ผ่อน 6,000
แต่เข้าเงินต้น 1,000 บาท และดอกเบี้ย 5,000 บาท
ปล. นี่สมมติตัวเลขเฉยๆ นะครับ
2. แต่ธนาคารก็ “ใจดี” (ผมมองว่าใจดีแหละ)
เพราะมันจะมีข้อดีคือ
✅ ผ่อนน้อย ก็ทำให้ “สภาพคล่องดี”
✅ เดือนไหนมีเงินเยอะ ก็ค่อยโปะเพิ่ม เดือนไหนมีเงินน้อย ก็ผ่อนตามปกติ
✅ เข้าต้นน้อย แต่จ่ายไหวทุกเดือน เครดิตก็ไม่เสีย
✅ พอเครดิตไม่เสีย อนาคตรายได้เพิ่มขึ้น จะกู้เพิ่ม หรือกู้ลงทุน ก็ไม่ลำบาก
3. ซื้อบ้าน “ของตัวเอง” ต้องวางแผนให้ดี เพราะนี่คือบ้านของเรา
✅ ใส่เงินโปะเพิ่มเข้าไปหน่อย เพื่อตัดต้น เพราะดอกเบี้ยบ้าน มัน “ลดต้น ลดดอก”
✅ มันก็มีเทคนิคที่ทำให้ผ่อนบ้านหมดเร็วอยู่บ้าง เช่น
✅ ผ่อนเพิ่ม 10% ของยอดผ่อนรายเดือน
✅ ผ่อนเพิ่ม งวดที่ 13 ของปี
✅ ผ่อนเพิ่ม โดยใช้ “เงินคืนภาษี” จากดอกเบี้ยบ้าน
✅ ขอลดดอกเบี้ยโดยรีไฟแนนซ์ หรือรีเทนชั่น ทุกๆ 3 ปี
✅ ทำแบบนี้ “เขาว่า” จะช่วยผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้น เกือบ 10 ปี
4. ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ ก็ “ลำบาก” ชีวิตบางเดือน
อันนี้ผมโลกสวย มองว่าธนาคารก็ใจดี และเป็นห่วง “สภาพคล่อง” ของผู้ซื้อนะ
‼️ ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ แต่ผ่อนได้ไม่ตรงทุกเดือน เครดิตเราอาจไม่ดี
‼️ ถ้ากำหนดผ่อนเยอะ แต่เราเงินไม่พอ อาจต้องไปก่อหนี้สินจากทางอื่น มาใช้ผ่อน หรือมากินมาใช้
✅ เงินเหลือก็โปะเพิ่ม เงินขาดก็ผ่อนปกติ
✅ ไม่มีใครเสียเปรียบเทียบใคร เขาให้เรายืมเงิน 20-30 ปี แต่เราได้บ้านอยู่อาศัย
✅ ดอกเบี้ยเราก็ต้องให้เขาอยู่ดี แต่เราให้ตัวเองน้อยหน่อย เพราะเดือนนี้เราอาจยังไม่ไหว
✅ เดือนหน้าๆ เราไหว เราก็ให้ตัวเองเยอะขึ้น เดียวเขาก็ค่อยๆ ได้จากเราน้อยลง (ลดต้น ลดดอก)
5. ดอกเบี้ยบ้าน ยังเป็น “ดอกเบี้ยที่ดี ที่สุด” ของคนธรรมดาทั่วไป
ดอกเบี้ย = ต้นทุนทางการเงิน
ทุกวันนี้ เราจะไปกู้ยืมเงินใคร ด้วยอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ ดอกเบี้ยบ้าน นั้น “หายาก” มาก และที่สำคัญ มันยัง “ลดต้น ลดดอก” ให้อีกด้วย
ตัวเลข “อัตราดอกเบี้ย” ต่อปี (ซึ่งผมไม่แน่ใจตัวเลข)
- สินเชื่อเอนกประสงค์ (กู้ตกแต่ง) > 7% ต่อปี
- สินเชื่อบัตรเครดิต > 15% ต่อปี
- สินเชื่อนอกระบบ > 100% ต่อปี
แต่สินเชื่อรถยนต์ มือหนึ่ง บางครั้งก็น้อยกว่าดอกเบี้ยบ้าน แต่ก็ “ไม่ลดต้น ลดดอก
6. สุดท้าย มันเป็นเรื่องปกติ ที่เราจะ “กู้ธนาคาร” เพื่อซื้อบ้าน
มันเป็นเรื่องยาก ที่คนธรรมดาทั่วไป จะมี “เงินสด” หลักล้าน ไปซื้อบ้านได้เลย
💗 เข้าเงินต้นน้อยหน่อย ปลดหนี้ได้ช้าหน่อย ก็ไม่เป็นไร
💗 มีเงินเหลือก็ค่อยใส่เพิ่ม อดทนไปหน่อย ผ่านไป 3 ปี รอรีไฟแนนซ์ ชีวิตจะดีขึ้นมากมาย
💗 ตราบใดที่ “สภาพคล่อง” ยังดี เงินไม่ตึง = เรายังไม่จน
💗 ตราบใดที่ ยังไม่จน = สักวันเดียวก็สบาย เดียวก็รวยขึ้นได้
ปล. ส่วนตัวผมจะชอบ “ผ่อนน้อย” เพราะมันยืดหยุ่นกว่า
แต่ส่วนมากผมก็จะ “โปะ” เข้าไปตลอด
แต่ใครจะรู้? ว่าเดือนไหนเงินผมจะช็อค
ใครจะรู้? ว่าเดือนไหนจะเกิดเหตุไม่คาดฝันให้ต้องใช้เงินมากกว่าปกติ
เพราะงั้นกำหนดผ่อนน้อยไว้ก่อน ผมจะสบายใจ และยืดหยุ่นกว่า