พอดีได้ไปวิ่งงาน United Half Marathon งานวิ่ง Half ที่ใหญ่ขนาดต้องปิด Time Square! สาบานสนามนี้สนามสุดท้าย! หลังจากประกอบร่างเสร็จ ก็เลยอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง นึกขึ้นมาได้ เออว่ะ นี่ผมยังไม่เคยเล่าเรื่องราวการเข้าสู่วงการนักวิ่งของผมเลย วันนี้เลยจะมาเอ็นวายกูเลยจะมาเล่าให้ฟังกันครับ ว่า ว่างๆ จากวิ่งทำงานในร้านอาหาร ผมมาวิ่ง Half Marathon กันได้ยังไง
ถ้าพูดถึงการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ก็ต้องนึกถึงสนาม New York Marathon ด้วยความที่มันเป็น 1 ใน 5 ของรายการ Major ระดับโลก นักวิ่งทั่วโลก ต่างก็ฝันว่าจะต้องมาโดนให้ได้สักครั้งในชิวิต เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเกิดจากความสำเร็จเล็ก ๆ รวมกัน’ ตอนนี้หากจะมีสักอย่างหนึ่งที่ผมทำสำเร็จแล้วก็คือ ผมทำสำเร็จที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง! ผ่าง! งงป่ะล่ะ? 555
อย่างไรก็เถอะ สาบานเลยว่าการวิ่งมาราธอนกับผมเนี่ย ไม่ได้เกิดมาคู่กันเลย ยิ่งงานประจำ Food Runner ของร้านอาหารที่ทำอยู่นั้น วันนึงๆ ก็วิ่งเสิร์ฟอาหารเข้าหลัก 10 กิโลแล้ว ถ้าจะมีเวลาว่างขนาดว่าไปวิ่งล่ะก็ ขอเอามานั่งพักให้หายเหนื่อย ไม่ดีกว่าเหรอ? และเมื่อยืนยัน จนนอนยันว่า ไม่ชอบวิ่งขนาดนี้แล้ว ทำไมเอ็นวายกูตอนนี้ ถึงจะมาเล่าเรื่องของการวิ่งมาราธอนของผมได้ยังไง มา ๆ จะเล่าให้ฟังครับ
______________________________________________________________________
พฤษภาคม
“กูมาทำอะไรเห้อะไรที่นี่วะ!” ผมสบถในใจเสียงดัง ก่อนจะปัดเหงื่อตรงปลายจมูกทิ้ง มันเป็นเวลาประมาณ สิบโมงนิด ๆ แม้แสงแดดออกจะแรงไปบ้างตามประสาฤดูร้อน แต่ก็ยังมีสายลมเย็น ๆ พัดมาต้องใบหน้าไม่ให้รู้สึกร้อนจนเกินไปอยู่เรื่อย ๆ ผมอยู่บนถนนกว้างขนาดหกเลนสายหนึ่งที่ลาดยาวจากสวนสาธารณะชื่อ Botanic Garden ตรงไปจนสุดที่ริมชายหาดด้านทิศใต้ล่างสุดของ Brooklyn ที่ชื่อ Coney Island
แม้จะเป็นถนนใหญ่มาก แต่ไม่มีรถวิ่งเลย เพราะวันนี้มีม็อบ! เอ๊ย! ไม่ใช่ เขามีการปิดถนนเพื่อแข่งขันวิ่ง Half Marathon ต่างหากล่ะ งานวิ่งครั้งนี้ชื่อว่า ‘Popular Brooklyn Half Marathon 2019’ ถามว่า Popular แค่ไหน ก็เอาเป็นว่ามีคนเข้าร่วมวิ่งประมาณ 25,000 คน และก็ไม่ได้วิ่งฟรีนะ ต้องเสียค่าสมัครด้วย คนละเกือบ $100! เรียกว่า รวยอย่างเดียวไม่พอนะ ต้อง...แข็งแรงด้วย! 555
บนถนนเส้นใหญ่นั้น มีชายไทยวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังวิ่งอยู่ด้วยท่าทางที่ไม่น่าจะเรียกว่าวิ่งได้ เพราะว่ามันช้ามากประหนึ่งเต่าเดิน แถมท่าวิ่ง การสวิงแขน ก็ดูทุลักทุเลเหมือนหมาโดนสิบล้อทับขาหลัง คือตัวผมเอง สาบานได้ว่า นั่นคือท่าวิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ในตอนนี้
“เช็ดครก อีกสองไมล์เลยเหรอวะ” ผมคิดขณะที่มองเห็นป้ายหลักไมล์ที่ 11 แปลว่าเหลืออีก 2.1 ไมล์ ก่อนจะถึงเส้นชัย ผมคว้าน้ำดื่มสามแก้วยกซดไปขณะที่กระเผล็กผ่านจุดดื่มน้ำ เติมพลัง ผมกัดฟันก้มหน้าวิ่งต่อไป สายตาจับจ้องอยู่เส้นแบ่งเลนถนนสีส้ม ที่ลากยาวตรงไปไกลจนสุดสายตา... เล่าแบบไม่อายใครเลยว่า ที่ผมต้องมาทนลำบาก ลากสังขารเหมือนซอมบี้หิวโปรยทานนั้น มันเริ่มมาจากความไม่เชื่อ
_______________________________________________________________________
สี่เดือนก่อนหน้า...
“หนังสือของใครอ่ะ?” ผมถามลอย ๆ ขณะกำลังทำความสะอาดร้านหลังเลิกงาน มันเป็นหนังสือที่เด็กในร้านเอามาอ่านแล้ว ซุกไว้บนตู้ไมโครเวฟ แล้วคงลืมทิ้งเอาไว้ หน้าปกเขียนชื่อเรื่องว่า ‘ที่...หัวมุมถนน’ เป็นหนังสือของพี่รวิศ หาญอุตสาหะ แห่ง MIssion to the Moon
ผมไม่รู้จักแก แต่จำชื่อได้เพราะเคยได้ยินเรื่องการ Rebranding แป้งฝุ่นศรีจันทร์มาบ้างตามสายงานที่เราเคยทำ ก็เลยหยิบมาดูซักนิดนึง คร่าว ๆ ในหนังสือมีการพูดถึงเรื่องทั่วไปในชีวิตอย่างเช่น ชีวิตการทำงาน, ปรัชญาการใช้ชีวิต แต่เรื่องที่พี่รวิศเล่ามากเป็นพิเศษ คือ เรื่องของการวิ่ง โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอน ว่ามันเปลี่ยนชีวิตแกไปอย่างไร
ผมก็อ่านไปแบบไม่ได้สนใจอะไร จะเปลี่ยนชีวิตพี่ก็เปลี่ยนไปซิ ผมไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วยซะหน่อย ยิ่งเรื่องวิ่งน่ะมันคือ เรื่องธรรมดาสำหรับ New Yorker อยู่แล้ว ยิ่งพวกเรามนุษย์ห้องครัวด้วยนะ แค่ทำงานวัน ๆ นึง เดินจากหน้าร้านมาหลังร้าน ไปกลับ ๆ วันนึงก็สามไมล์กว่าแล้ว จะไปวิ่งอีกให้เหนื่อยทำไมฟ่ะ?
แม้ใจจะบ่นเป็นต่อยหอย แต่ผมก็อ่านไปเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดกับประโยคที่มันสะกิดใจ ประมาณว่า “...ถ้าอยากเอาชนะใจตัวเองให้ไปวิ่งมาราธอน” หืม....ขนาดนั้นเลย? ถามจริง? ชนะใจตัวเองน่ะเหรอ? แค่วิ่งเนี่ยนะจะรู้อะไรขนาดนั้น? ไอ้ผมก็เป็นพวกคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ซะด้วย ถือคติว่าถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลอง!
สามวันผ่านไป ผมก็เหมือนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ไฟแรง นั่งสไลด์โทรศัพท์ ดูรองเท้า เช็คอุปกรณ์ว่าต้องมีอะไรมั่ง ว่าง ๆ ก็ดูพี่คิปโชเก้แล้วก็ฝันว่าตัวเองเป็นเทพลู่วิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไหน 555 ว่างก็นอน อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ ดูทีวีเหมือนเดิม ห้วย! ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น......ตึกตัก...ตึกต๊ะตึก...ต๊ะตึกตึก (โปรดอ่านให้เป็นเสียงโทรเข้าไอโฟนนะครับ)
“ฮัลโหล ว่าไงพี่แจ็ค” ผมรับสาย พี่แจ็คแกเป็นศิลปินนักวาดรูปฝีมือดีอีกหนึ่งคนที่ยังหาความฝันอยู่ที่นิวยอร์ก สนิทกันเพราะเราเคยเป็นรูมเมท บ้านเดียวกัน แถมลงทะเบียนเรียนวิชาเมรัยศาสตร์กันมาก่อนก็หลายหน่วยกิจ
“พี่โต้ ผมจะมาชวนพี่...” พี่แจ็คบอก
“เฮ้ย! ไม่ต้องมาชวนกรูไปสัมมนา ขายตรงเลยนะ กรูเบื่อ” ผมรีบดัก เพราะหลัง ๆ เจอบ่อย
“เปล่าพี่ ผมจะมาชวนพี่ไปวิ่ง” พี่แจ็คตอบ เล่นเอาผมติดสตั๊นท์ นึกว่าหูฝาด เมื่อได้ยินวาจาของเพื่อน ที่เรียนเอกเบียร์ โทวิสกี้ อย่างแจ็คจู่ ๆ จะมาชวนไปวิ่ง
“เมริงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ เมริงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ!” ผมคิดในใจ นิ่งเงียบไม่ตอบคำ
“พี่โต้ ผมรู้นะว่าพี่คิดอะไรอยู่” แจ็คทักมาน้ำเสียงเหมือนรู้ทัน
“พี่คงคิดในใจว่า ‘เมริงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ เมริงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ’ ใช่ไหม ผมรู้นะ” แจ็คบอก ผมได้แต่ร้องว่าแม่นสัส!
แจ็คเล่าต่อว่า ตอนนี้แกตั้งแก๊งค์วิ่ง ชื่อ ‘แก๊งค์หางม้า’ นั้น ผมสัณนิษฐานว่า ชื่อแก๊งค์นั้นมาจากการที่แกเป็นศิลปินผมยาวสลวย สวยเก๋ เวลาวิ่งก็เลยต้องมัดผมเป็นหางม้า ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อทีมไป ก็เท่ดีนะ ตั้งตามคาแรคเตอร์ แหม่ เสียดาย ๆ ที่ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ด้วย ไม่งั้นชื่ออาจเปลี่ยนเป็น ‘ม้า’ แทน 555
“วิ่งไรวะ” ผมถามเสียงนิ่ง ๆ จะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีพี่แจ็คชวนผม แก๊งค์ม้า เอ๊ย! แก๊งค์หางม้า เขาวิ่งมาหลายต่อหลายสนามกันแล้ว ลงมาหมดแล้วแทบจะทุกสนามในนิวยอร์ก ว่าง ๆ แรงเหลือก็ไปวิ่งต่างรัฐอีกต่างหาก แกชวนผมมาสองสามครั้งผมก็ปฎิเสธตลอด ก็แหม่ ชวนแต่ละทีก็ไม่เคยดูเวล่ำเวลา ชวนซะกลางวง กำลังชงเหล้าอยู่เลย หมาหรือนักการเมืองที่ไหนมันจะไปวะ ถามจริง!
แจ็คชวนผมทีไร ผมก็อิดออด ให้เหตุผลว่า ไม่ว่างมั่ง เข่าไม่ค่อยดีมั่ง ก็เลี่ยงมาได้ตลอดจนนึกว่าพี่แจ็คคงเบื่อไม่อยากชวนวิ่งอีกแล้ว แต่นี่ก็ยังทู่ซี้จะมาชวนผมวิ่งอีกนะ
“วิ่งฮ๊าฟ มาราธอนครับ” แจ็คบอก
“มาราธอนฮ๊าฟ?” ผมพูดกลับไปตบเสียงตอนท้ายสูง ๆ ทำเป็นเหมือนประโยคคำถาม
“ไม่ใช่มาราธอนฮ๊าฟ ฮ๊าฟมาราธอนโว๊ย! เล่นมุขไรไม่รู้ เลอะเทอะ” แจ็คบอก
“มันมีแข่งเดือนห้าพี่ เป็นรายการวิ่งที่ Brooklyn สนุกพี่ เชื่อผม มาวิ่งกันเถอะ ๆ” พี่แจ็คเสริมข้อมูลมาให้ แต่ผมไม่สนใจกลับมองบน แต่ขณะจะปฎิเสธคำชวนอยู่นั้น จู่ ๆ ห้องก็เหมือนถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองเรืองรองขึ้นมา ผมหันไปมองด้านหลัง ก็พบว่าหนังสือ ‘ที่...หัวมุมถนน’ ที่ผมเอากลับมาอ่านที่บ้านกำลังฉายแสงออกมาอยู่
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อยู่ดี ๆ ก็ฮึกเหิม คิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็กำลังบ่นอยู่เลยว่าอยากจะลองวิ่งมาราธอนดู อยากรู้ว่าการวิ่งมาราธอนเนี่ยจะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือเปล่า แต่จะไปวิ่งเลยก็คงไม่ไหว เพราะแมร่งไกล เอาเป็นว่า คนละครึ่ง ลองลง Half ดูก่อนก็แล้วกัน
“เอ้าวะ พี่กล้าชวน ผมก็กล้าลง” ผมตอบไป พี่แจ็คดีใจ ก่อนจะรีบปิดการขาย อธิบายต่อว่าต้องสมัครยังไงให้กับผม
“พี่เข้าไปที่เว๊ปมัน ชื่อ ‘NYRR’ (New York Road Runner) ไปเปิดเมมกับมันก่อนแล้วก็เข้าไปที่ Brooklyn Half Marathon นะครับ” แจ็คบอก ผมก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เปิดเมม...แหม่ ได้เหล้าสองขวดป่าววะเนี่ย เอ๊ย ไม่ใช่ล่ะ ๆ ก่อนจะหารายการชื่อ Brooklyn Half Marathon แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอว่า
“เช็ดเขร้! เปิดเมม $40 ต่อปี ค่าสมัครวิ่งอีก $80” ผมสะดุ้งเมื่อเห็นราคาค่าเปิดเมมกับค่าวิ่ง คือโดนไปเป็นร้อยเหรียญเนี่ย เท่ากับทำงานทั้งวันเลยนะ วิ่งก็เหนื่อยกรู ตังก็ไม่ได้ แถมยังต้องลางานเสียรายได้ เสียแม่มทุกอย่าง!
“เฮ้ยพี่ เชื่อผม แมร่งดีจริง” พี่แจ็คชวนอีกครั้ง ใจผมก็คิด เอาไงดีวะกรู อืม แจ็คมันก็ไม่ได้จะมาชวนผมไปเป็นดาวน์ไลน์ หรือไปลงขวด ลงชาบูอย่างที่เคยซะหน่อย เสียเงินแค่นี้เองจะกลัวอะไรฟ่ะ นี่มันเป็นพรหมลิขิต บัญชาสวรรค์ บันดาลมาจากฟ้าแท้ ๆ นะ ที่ส่งแจ็ค เทวดาในคราบซาตานมาชวน 555
“อะเคร ๆ ลงก็ได้วะ” ผมตบปากรับคำพี่แจ็คไปแบบเอาก็เอาวะ ให้มันรู้กันไป ผมก็สมัครจ่ายตังเบ็ดเสร็จในไม่กี่อึดใจ ความรู้สึกเหมือนกับโดนป้ายยา เบลอ ๆ ให้ทำอะไรก็ทำ รู้ตัวอีกที เห้ย! กรูเสียค่าสมาชิกไปเรียบร้อยแล้ว!
“งานนี้เหรียญสวยครับ ผมรับรอง!” แจ็คบอก แหม่ มีให้คะแนนเหรียญสวยด้วย สมกับที่เป็นศิลปินจริงจริ๊ง ก่อนจะบอกว่าอย่าลืมซ้อมด้วย ไม่งั้นไม่น่ารอด ก่อนจะวางสายไป ทิ้งให้ผมได้แต่คิดว่า ไม่วิ่งก็ต้องวิ่งล่ะ ลงเงินไปเป็นร้อยเหรียญแล้ว เสียเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องเสียเหงื่อด้วยซะแล้ว ว่าแล้วเย็นวันนั้น ผมก็เริ่มออกไปซ้อมวิ่งทันทีครับ
การออกรอบวิ่งครั้งแรกนั้นเรียกได้ว่า สภาพทุลักทุเลเหมือนซอมบี้ใน Walking Dead คือ คนมันไม่เคยวิ่งอ่ะครับ พอวิ่งแป๊ปเดียวก็เจ็บเท้า ก็เลยเดินกระเผล็ก ๆ ร้องอืออา ๆ หอบเป็นหมาเหนื่อยตลอดทาง ใจนี่เต้นตุบ ๆ แรงอย่างกับจะระเบิดออกมา ขาสั่นแถมหนักจนยกแทบไม่ไหว เหงื่อแตกเหมือนวิ่งเป็นสิบไมล์ แต่พอกดดู App วิ่ง ชื่อ Strava เลยรู้ว่าตัวเอง เพิ่งวิ่งไปได้ประมาณไมล์นิด ๆ โอ๊ยยย.... กรูจะรอดไหมเนี่ย
ช่วงที่ออกวิ่งแรก ๆ นั้นเหนื่อยแบบแทบลากเลือด ทรมานนรก ถามตัวเองทุก ๆ ก้าวว่า ทำไมกรูต้องมาทนทรมานอยู่อย่างนี้ด้วย แต่พอผ่านไปซักสี่ห้าครั้ง ร่างกายก็เหมือนจะเริ่มปรับตัวได้บ้าง ออกวิ่งได้ไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ทำได้สองสามไมล์ ก็เริ่มกลายเป็นสี่ห้าไมล์...แล้วก็หกเจ็ดไมล์ แต่ก็ด้วยความที่ตารางชีวิตไม่ค่อยจะประจำเหมือนชาวบ้านเขา ว่างก็วิ่ง ไม่ว่างก็ไม่วิ่ง วิ่งได้ครั้งนึงก็ 3-4 ไมล์ ว่าเราเหนื่อยล้าจากงานมั่ง เวลาก็ไม่ค่อยจะมี แล้วก็เอาเหตุผลมาร้อยแปดเพื่อสนับสนุนการอู้ของตัวเอง 555
ผมซ้อมอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน จนกระทั่งถึงวันแข่งวิ่งก็มาถึง รายการวิ่งที่ชื่อว่า ‘The Popular Brooklyn Half marathon’ ผมก็ทำใจบอกตัวเองว่า
“เอาวะ ซ้อมแค่นี้ก็พอแล้วล่ะมั้ง วิ่ง Half Marathon มัน 13.1 ไมล์ ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวล...” หุหุหุ พ่อคุณเอ๊ย คิดผิดมหันต์!
อ่านต่อได้ใน คอมเม้นท์ต่อไปนะครับ หรือจะอ่านต่อตอนที่เหลือ แบบเต็มๆ ก็ได้ที่
https://www.blockdit.com/posts/64235c1f8f253b407665d547
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=2084075&chapter=44
https://www.readawrite.com/c/be26bc59f22d59ec64f307d874bebe1b
เรื่องสั้น เอ็นวายกู NYKU: New York Kitchen University ตอน เพราะมาราธอนครั้งแรกในชีวิตมีหนเดียว!
ถ้าพูดถึงการแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลก ก็ต้องนึกถึงสนาม New York Marathon ด้วยความที่มันเป็น 1 ใน 5 ของรายการ Major ระดับโลก นักวิ่งทั่วโลก ต่างก็ฝันว่าจะต้องมาโดนให้ได้สักครั้งในชิวิต เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเกิดจากความสำเร็จเล็ก ๆ รวมกัน’ ตอนนี้หากจะมีสักอย่างหนึ่งที่ผมทำสำเร็จแล้วก็คือ ผมทำสำเร็จที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง! ผ่าง! งงป่ะล่ะ? 555
อย่างไรก็เถอะ สาบานเลยว่าการวิ่งมาราธอนกับผมเนี่ย ไม่ได้เกิดมาคู่กันเลย ยิ่งงานประจำ Food Runner ของร้านอาหารที่ทำอยู่นั้น วันนึงๆ ก็วิ่งเสิร์ฟอาหารเข้าหลัก 10 กิโลแล้ว ถ้าจะมีเวลาว่างขนาดว่าไปวิ่งล่ะก็ ขอเอามานั่งพักให้หายเหนื่อย ไม่ดีกว่าเหรอ? และเมื่อยืนยัน จนนอนยันว่า ไม่ชอบวิ่งขนาดนี้แล้ว ทำไมเอ็นวายกูตอนนี้ ถึงจะมาเล่าเรื่องของการวิ่งมาราธอนของผมได้ยังไง มา ๆ จะเล่าให้ฟังครับ
______________________________________________________________________
พฤษภาคม
“กูมาทำอะไรเห้อะไรที่นี่วะ!” ผมสบถในใจเสียงดัง ก่อนจะปัดเหงื่อตรงปลายจมูกทิ้ง มันเป็นเวลาประมาณ สิบโมงนิด ๆ แม้แสงแดดออกจะแรงไปบ้างตามประสาฤดูร้อน แต่ก็ยังมีสายลมเย็น ๆ พัดมาต้องใบหน้าไม่ให้รู้สึกร้อนจนเกินไปอยู่เรื่อย ๆ ผมอยู่บนถนนกว้างขนาดหกเลนสายหนึ่งที่ลาดยาวจากสวนสาธารณะชื่อ Botanic Garden ตรงไปจนสุดที่ริมชายหาดด้านทิศใต้ล่างสุดของ Brooklyn ที่ชื่อ Coney Island
แม้จะเป็นถนนใหญ่มาก แต่ไม่มีรถวิ่งเลย เพราะวันนี้มีม็อบ! เอ๊ย! ไม่ใช่ เขามีการปิดถนนเพื่อแข่งขันวิ่ง Half Marathon ต่างหากล่ะ งานวิ่งครั้งนี้ชื่อว่า ‘Popular Brooklyn Half Marathon 2019’ ถามว่า Popular แค่ไหน ก็เอาเป็นว่ามีคนเข้าร่วมวิ่งประมาณ 25,000 คน และก็ไม่ได้วิ่งฟรีนะ ต้องเสียค่าสมัครด้วย คนละเกือบ $100! เรียกว่า รวยอย่างเดียวไม่พอนะ ต้อง...แข็งแรงด้วย! 555
บนถนนเส้นใหญ่นั้น มีชายไทยวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังวิ่งอยู่ด้วยท่าทางที่ไม่น่าจะเรียกว่าวิ่งได้ เพราะว่ามันช้ามากประหนึ่งเต่าเดิน แถมท่าวิ่ง การสวิงแขน ก็ดูทุลักทุเลเหมือนหมาโดนสิบล้อทับขาหลัง คือตัวผมเอง สาบานได้ว่า นั่นคือท่าวิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ในตอนนี้
“เช็ดครก อีกสองไมล์เลยเหรอวะ” ผมคิดขณะที่มองเห็นป้ายหลักไมล์ที่ 11 แปลว่าเหลืออีก 2.1 ไมล์ ก่อนจะถึงเส้นชัย ผมคว้าน้ำดื่มสามแก้วยกซดไปขณะที่กระเผล็กผ่านจุดดื่มน้ำ เติมพลัง ผมกัดฟันก้มหน้าวิ่งต่อไป สายตาจับจ้องอยู่เส้นแบ่งเลนถนนสีส้ม ที่ลากยาวตรงไปไกลจนสุดสายตา... เล่าแบบไม่อายใครเลยว่า ที่ผมต้องมาทนลำบาก ลากสังขารเหมือนซอมบี้หิวโปรยทานนั้น มันเริ่มมาจากความไม่เชื่อ
_______________________________________________________________________
สี่เดือนก่อนหน้า...
“หนังสือของใครอ่ะ?” ผมถามลอย ๆ ขณะกำลังทำความสะอาดร้านหลังเลิกงาน มันเป็นหนังสือที่เด็กในร้านเอามาอ่านแล้ว ซุกไว้บนตู้ไมโครเวฟ แล้วคงลืมทิ้งเอาไว้ หน้าปกเขียนชื่อเรื่องว่า ‘ที่...หัวมุมถนน’ เป็นหนังสือของพี่รวิศ หาญอุตสาหะ แห่ง MIssion to the Moon
ผมไม่รู้จักแก แต่จำชื่อได้เพราะเคยได้ยินเรื่องการ Rebranding แป้งฝุ่นศรีจันทร์มาบ้างตามสายงานที่เราเคยทำ ก็เลยหยิบมาดูซักนิดนึง คร่าว ๆ ในหนังสือมีการพูดถึงเรื่องทั่วไปในชีวิตอย่างเช่น ชีวิตการทำงาน, ปรัชญาการใช้ชีวิต แต่เรื่องที่พี่รวิศเล่ามากเป็นพิเศษ คือ เรื่องของการวิ่ง โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอน ว่ามันเปลี่ยนชีวิตแกไปอย่างไร
ผมก็อ่านไปแบบไม่ได้สนใจอะไร จะเปลี่ยนชีวิตพี่ก็เปลี่ยนไปซิ ผมไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วยซะหน่อย ยิ่งเรื่องวิ่งน่ะมันคือ เรื่องธรรมดาสำหรับ New Yorker อยู่แล้ว ยิ่งพวกเรามนุษย์ห้องครัวด้วยนะ แค่ทำงานวัน ๆ นึง เดินจากหน้าร้านมาหลังร้าน ไปกลับ ๆ วันนึงก็สามไมล์กว่าแล้ว จะไปวิ่งอีกให้เหนื่อยทำไมฟ่ะ?
แม้ใจจะบ่นเป็นต่อยหอย แต่ผมก็อ่านไปเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดกับประโยคที่มันสะกิดใจ ประมาณว่า “...ถ้าอยากเอาชนะใจตัวเองให้ไปวิ่งมาราธอน” หืม....ขนาดนั้นเลย? ถามจริง? ชนะใจตัวเองน่ะเหรอ? แค่วิ่งเนี่ยนะจะรู้อะไรขนาดนั้น? ไอ้ผมก็เป็นพวกคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ซะด้วย ถือคติว่าถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าอยากรู้ก็ต้องลอง!
สามวันผ่านไป ผมก็เหมือนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ไฟแรง นั่งสไลด์โทรศัพท์ ดูรองเท้า เช็คอุปกรณ์ว่าต้องมีอะไรมั่ง ว่าง ๆ ก็ดูพี่คิปโชเก้แล้วก็ฝันว่าตัวเองเป็นเทพลู่วิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไหน 555 ว่างก็นอน อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ ดูทีวีเหมือนเดิม ห้วย! ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น......ตึกตัก...ตึกต๊ะตึก...ต๊ะตึกตึก (โปรดอ่านให้เป็นเสียงโทรเข้าไอโฟนนะครับ)
“ฮัลโหล ว่าไงพี่แจ็ค” ผมรับสาย พี่แจ็คแกเป็นศิลปินนักวาดรูปฝีมือดีอีกหนึ่งคนที่ยังหาความฝันอยู่ที่นิวยอร์ก สนิทกันเพราะเราเคยเป็นรูมเมท บ้านเดียวกัน แถมลงทะเบียนเรียนวิชาเมรัยศาสตร์กันมาก่อนก็หลายหน่วยกิจ
“พี่โต้ ผมจะมาชวนพี่...” พี่แจ็คบอก
“เฮ้ย! ไม่ต้องมาชวนกรูไปสัมมนา ขายตรงเลยนะ กรูเบื่อ” ผมรีบดัก เพราะหลัง ๆ เจอบ่อย
“เปล่าพี่ ผมจะมาชวนพี่ไปวิ่ง” พี่แจ็คตอบ เล่นเอาผมติดสตั๊นท์ นึกว่าหูฝาด เมื่อได้ยินวาจาของเพื่อน ที่เรียนเอกเบียร์ โทวิสกี้ อย่างแจ็คจู่ ๆ จะมาชวนไปวิ่ง
“เมริงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ เมริงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ!” ผมคิดในใจ นิ่งเงียบไม่ตอบคำ
“พี่โต้ ผมรู้นะว่าพี่คิดอะไรอยู่” แจ็คทักมาน้ำเสียงเหมือนรู้ทัน
“พี่คงคิดในใจว่า ‘เมริงเนี่ยนะจะไปวิ่ง? ตอนอยู่บ้านเดียวกัน แค่จะเดินไปซื้อเบียร์ เมริงยังขี้เกียจ นี่จะชวนกรูไปวิ่งอ่ะนะ’ ใช่ไหม ผมรู้นะ” แจ็คบอก ผมได้แต่ร้องว่าแม่นสัส!
แจ็คเล่าต่อว่า ตอนนี้แกตั้งแก๊งค์วิ่ง ชื่อ ‘แก๊งค์หางม้า’ นั้น ผมสัณนิษฐานว่า ชื่อแก๊งค์นั้นมาจากการที่แกเป็นศิลปินผมยาวสลวย สวยเก๋ เวลาวิ่งก็เลยต้องมัดผมเป็นหางม้า ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อทีมไป ก็เท่ดีนะ ตั้งตามคาแรคเตอร์ แหม่ เสียดาย ๆ ที่ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ด้วย ไม่งั้นชื่ออาจเปลี่ยนเป็น ‘ม้า’ แทน 555
“วิ่งไรวะ” ผมถามเสียงนิ่ง ๆ จะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีพี่แจ็คชวนผม แก๊งค์ม้า เอ๊ย! แก๊งค์หางม้า เขาวิ่งมาหลายต่อหลายสนามกันแล้ว ลงมาหมดแล้วแทบจะทุกสนามในนิวยอร์ก ว่าง ๆ แรงเหลือก็ไปวิ่งต่างรัฐอีกต่างหาก แกชวนผมมาสองสามครั้งผมก็ปฎิเสธตลอด ก็แหม่ ชวนแต่ละทีก็ไม่เคยดูเวล่ำเวลา ชวนซะกลางวง กำลังชงเหล้าอยู่เลย หมาหรือนักการเมืองที่ไหนมันจะไปวะ ถามจริง!
แจ็คชวนผมทีไร ผมก็อิดออด ให้เหตุผลว่า ไม่ว่างมั่ง เข่าไม่ค่อยดีมั่ง ก็เลี่ยงมาได้ตลอดจนนึกว่าพี่แจ็คคงเบื่อไม่อยากชวนวิ่งอีกแล้ว แต่นี่ก็ยังทู่ซี้จะมาชวนผมวิ่งอีกนะ
“วิ่งฮ๊าฟ มาราธอนครับ” แจ็คบอก
“มาราธอนฮ๊าฟ?” ผมพูดกลับไปตบเสียงตอนท้ายสูง ๆ ทำเป็นเหมือนประโยคคำถาม
“ไม่ใช่มาราธอนฮ๊าฟ ฮ๊าฟมาราธอนโว๊ย! เล่นมุขไรไม่รู้ เลอะเทอะ” แจ็คบอก
“มันมีแข่งเดือนห้าพี่ เป็นรายการวิ่งที่ Brooklyn สนุกพี่ เชื่อผม มาวิ่งกันเถอะ ๆ” พี่แจ็คเสริมข้อมูลมาให้ แต่ผมไม่สนใจกลับมองบน แต่ขณะจะปฎิเสธคำชวนอยู่นั้น จู่ ๆ ห้องก็เหมือนถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองเรืองรองขึ้นมา ผมหันไปมองด้านหลัง ก็พบว่าหนังสือ ‘ที่...หัวมุมถนน’ ที่ผมเอากลับมาอ่านที่บ้านกำลังฉายแสงออกมาอยู่
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อยู่ดี ๆ ก็ฮึกเหิม คิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็กำลังบ่นอยู่เลยว่าอยากจะลองวิ่งมาราธอนดู อยากรู้ว่าการวิ่งมาราธอนเนี่ยจะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือเปล่า แต่จะไปวิ่งเลยก็คงไม่ไหว เพราะแมร่งไกล เอาเป็นว่า คนละครึ่ง ลองลง Half ดูก่อนก็แล้วกัน
“เอ้าวะ พี่กล้าชวน ผมก็กล้าลง” ผมตอบไป พี่แจ็คดีใจ ก่อนจะรีบปิดการขาย อธิบายต่อว่าต้องสมัครยังไงให้กับผม
“พี่เข้าไปที่เว๊ปมัน ชื่อ ‘NYRR’ (New York Road Runner) ไปเปิดเมมกับมันก่อนแล้วก็เข้าไปที่ Brooklyn Half Marathon นะครับ” แจ็คบอก ผมก็ทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เปิดเมม...แหม่ ได้เหล้าสองขวดป่าววะเนี่ย เอ๊ย ไม่ใช่ล่ะ ๆ ก่อนจะหารายการชื่อ Brooklyn Half Marathon แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอว่า
“เช็ดเขร้! เปิดเมม $40 ต่อปี ค่าสมัครวิ่งอีก $80” ผมสะดุ้งเมื่อเห็นราคาค่าเปิดเมมกับค่าวิ่ง คือโดนไปเป็นร้อยเหรียญเนี่ย เท่ากับทำงานทั้งวันเลยนะ วิ่งก็เหนื่อยกรู ตังก็ไม่ได้ แถมยังต้องลางานเสียรายได้ เสียแม่มทุกอย่าง!
“เฮ้ยพี่ เชื่อผม แมร่งดีจริง” พี่แจ็คชวนอีกครั้ง ใจผมก็คิด เอาไงดีวะกรู อืม แจ็คมันก็ไม่ได้จะมาชวนผมไปเป็นดาวน์ไลน์ หรือไปลงขวด ลงชาบูอย่างที่เคยซะหน่อย เสียเงินแค่นี้เองจะกลัวอะไรฟ่ะ นี่มันเป็นพรหมลิขิต บัญชาสวรรค์ บันดาลมาจากฟ้าแท้ ๆ นะ ที่ส่งแจ็ค เทวดาในคราบซาตานมาชวน 555
“อะเคร ๆ ลงก็ได้วะ” ผมตบปากรับคำพี่แจ็คไปแบบเอาก็เอาวะ ให้มันรู้กันไป ผมก็สมัครจ่ายตังเบ็ดเสร็จในไม่กี่อึดใจ ความรู้สึกเหมือนกับโดนป้ายยา เบลอ ๆ ให้ทำอะไรก็ทำ รู้ตัวอีกที เห้ย! กรูเสียค่าสมาชิกไปเรียบร้อยแล้ว!
“งานนี้เหรียญสวยครับ ผมรับรอง!” แจ็คบอก แหม่ มีให้คะแนนเหรียญสวยด้วย สมกับที่เป็นศิลปินจริงจริ๊ง ก่อนจะบอกว่าอย่าลืมซ้อมด้วย ไม่งั้นไม่น่ารอด ก่อนจะวางสายไป ทิ้งให้ผมได้แต่คิดว่า ไม่วิ่งก็ต้องวิ่งล่ะ ลงเงินไปเป็นร้อยเหรียญแล้ว เสียเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องเสียเหงื่อด้วยซะแล้ว ว่าแล้วเย็นวันนั้น ผมก็เริ่มออกไปซ้อมวิ่งทันทีครับ
การออกรอบวิ่งครั้งแรกนั้นเรียกได้ว่า สภาพทุลักทุเลเหมือนซอมบี้ใน Walking Dead คือ คนมันไม่เคยวิ่งอ่ะครับ พอวิ่งแป๊ปเดียวก็เจ็บเท้า ก็เลยเดินกระเผล็ก ๆ ร้องอืออา ๆ หอบเป็นหมาเหนื่อยตลอดทาง ใจนี่เต้นตุบ ๆ แรงอย่างกับจะระเบิดออกมา ขาสั่นแถมหนักจนยกแทบไม่ไหว เหงื่อแตกเหมือนวิ่งเป็นสิบไมล์ แต่พอกดดู App วิ่ง ชื่อ Strava เลยรู้ว่าตัวเอง เพิ่งวิ่งไปได้ประมาณไมล์นิด ๆ โอ๊ยยย.... กรูจะรอดไหมเนี่ย
ช่วงที่ออกวิ่งแรก ๆ นั้นเหนื่อยแบบแทบลากเลือด ทรมานนรก ถามตัวเองทุก ๆ ก้าวว่า ทำไมกรูต้องมาทนทรมานอยู่อย่างนี้ด้วย แต่พอผ่านไปซักสี่ห้าครั้ง ร่างกายก็เหมือนจะเริ่มปรับตัวได้บ้าง ออกวิ่งได้ไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ทำได้สองสามไมล์ ก็เริ่มกลายเป็นสี่ห้าไมล์...แล้วก็หกเจ็ดไมล์ แต่ก็ด้วยความที่ตารางชีวิตไม่ค่อยจะประจำเหมือนชาวบ้านเขา ว่างก็วิ่ง ไม่ว่างก็ไม่วิ่ง วิ่งได้ครั้งนึงก็ 3-4 ไมล์ ว่าเราเหนื่อยล้าจากงานมั่ง เวลาก็ไม่ค่อยจะมี แล้วก็เอาเหตุผลมาร้อยแปดเพื่อสนับสนุนการอู้ของตัวเอง 555
ผมซ้อมอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน จนกระทั่งถึงวันแข่งวิ่งก็มาถึง รายการวิ่งที่ชื่อว่า ‘The Popular Brooklyn Half marathon’ ผมก็ทำใจบอกตัวเองว่า
“เอาวะ ซ้อมแค่นี้ก็พอแล้วล่ะมั้ง วิ่ง Half Marathon มัน 13.1 ไมล์ ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องกังวล...” หุหุหุ พ่อคุณเอ๊ย คิดผิดมหันต์!
อ่านต่อได้ใน คอมเม้นท์ต่อไปนะครับ หรือจะอ่านต่อตอนที่เหลือ แบบเต็มๆ ก็ได้ที่
https://www.blockdit.com/posts/64235c1f8f253b407665d547
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=2084075&chapter=44
https://www.readawrite.com/c/be26bc59f22d59ec64f307d874bebe1b