JJNY : พิธาย้ำ'กก.'พร้อมสู้ทุกกติกา│สมชัยอัดผู้มีอำนาจหน้ามืด│สินเชื่อแบงก์ครึ่งปีหลังหืดจับ│จีนซ้อมรบใหญ่รอบไต้หวัน

'พิธา' ย้ำจุดยืน 'ก้าวไกล' เอาสูตรหาร 100 ลั่น พร้อมสู้ทุกกติกา ปัด วิจารณ์พรรคอื่น
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7196355
 
 
“ก้าวไกล” ย้ำจุดยืนเอาหาร 100 ลั่น พร้อมสู้ทุกกติกา ยินดี เกิดพรรคการเมืองใหม่เพิ่มขึ้น ปัด วิจารณ์บางพรรคเป็นนั่งร้านรัฐบาล ขอโฟกัสแค่พรรคตัวเอง
  
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 4 ส.ค. 2565 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาองค์ประชุมไม่ครบในการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ประชาชนคงอยากเห็นการทำงานของสภาในปีสุดท้ายได้ผ่านกฎหมายและวาระสำคัญ แม้บางคนอาจจะติดงานในพื้นที่ หรือมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลทำงานเต็มที่ในส่วนของกฎหมายต่างๆ
 
ทั้งนี้ หากร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ ผ่านไปได้ และไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งร่างของกกต.กำหนดเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หารด้วย 100 ก็คงต้องตีความเช่นนั้น เพราะถ้าหารด้วย 500 ก็คงมีปัญหา เกิดความยุ่งยากพอสมควร ดังนั้น ควรให้ผ่านรัฐสภาไปได้ เพื่อที่กระบวนการจะได้ไปถึงกกต.
 
เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการยื้อเวลาหรือไม่ เพื่อไม่ให้ทันตามกรอบเวลา 180 วัน นายพิธา กล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะคิดว่าทุกคนเข้าใจเรื่องกรอบเวลา แต่เหตุที่องค์ประชุมล่มอาจเพราะหลายคนติดธุระข้างนอก หรือติดประชุมกมธ.คณะต่างๆ เชื่อว่าวิปสองฝ่ายจะหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้กระบวนการผ่านไปได้ด้วยดี
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลยืนยันว่าเห็นด้วยกับการหาร 100 เพราะตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ พรรคก้าวไกลอยากแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่เมื่อถูกลดทอนเหลือแค่เรื่องการคำนวณส.ส. เราก็เสนอสูตร MMP แต่เมื่อถึงวันนี้ก็ไม่ใช่ทั้งสองแบบ แต่เป็นการหาร 100
 
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลพร้อมร่วมกติกาใหม่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ได้แบบที่ใจต้องการทุกอย่าง การเมืองเป็นเรื่องของการช่วยกันคิดช่วยกันทำ ไม่มีใครสามารถชนะทั้งกระดานได้ ฉะนั้น ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน พรรคก้าวไกลต้องปรับตัว แม้เราควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้ แต่เราควบคุมปัจจัยภายในของเราได้ พรรคก้าวไกลต้องการให้มีส.ส.เขตมากขึ้น และมีให้ครบทุกภูมิภาค ส่วนเรื่องจำนวนว่าจะได้ส.ส.กี่คน คงไม่ใช่ประเด็นหลักของพรรค
 
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่มีการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่เพิ่มขึ้นหลายพรรค นายพิธา กล่าวว่า รู้สึกยินดี เพราะพรรคการเมืองยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ขอให้แข่งขันกันโดยใช้นโยบายและประชาชนเป็นที่ตั้ง และสู้กันอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย ส่วนที่หลายพรรคถูกมองเป็นนั่งร้านของรัฐบาลนั้น ตนขอโฟกัสแค่พรรคก้าวไกล ไม่ขอวิจารณ์พรรคอื่น
 
เมื่อถามถึงการลงมติวาระ 3 ของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. นายพิธา กล่าวว่า คงลงมติให้สอดคล้องกับอดีตที่ผ่านมากับจุดยืนที่ได้พูดไป ไม่มีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแน่นอน

เมื่อถามว่า พรรคใหญ่มีการแตกเป็นพรรคย่อย ในส่วนของพรรคก้าวไกลมีพรรคที่เป็นพันธมิตรหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องของพรรคพันธมิตรในโครงสร้างพรรคเราไม่มี แต่เรื่องนโยบาย การต่อต้านการสืบทอดอำนาจ การปฏิรูปเศรษฐกิจก็มีหลายพรรค ทั้งพรรคที่อยู่ในสภา และพรรคที่ไม่ได้อยู่ในสภา



'สมชัย' อัดผู้มีอำนาจหน้ามืด อยากชนะเลือกตั้ง แต่อ่อนคณิตศาสตร์
https://siamrath.co.th/n/370737

วันที่ 4 ส.ค.65 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมชัย ศรีสุทธิยากร ระบุว่า...
 
ชัยชนะบนราคาที่สูงลิ่ว
 
การมุ่งกลับมาใช้แนวคิดหารร้อย ด้วยการเลือกใช้วิชามนต์ดำ ดึงการประชุมให้ล่าช้า ปล่อยสภาล่ม เพื่อให้ ร่าง พ.ร.ป.ส.ส. ที่มีกำหนดการที่รัฐสภาต้องทำให้เสร็จภายใน 180 วัน ต้องตกไป และกลับไปใช้ร่างแรกของ ครม. ที่ใช้วิธีหารร้อยแทน แม้เป็นชัยชนะแบบรวดเร็วเบ็ดเสร็จ แต่มีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิ่ว
ราคาดังกล่าว ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายในการประชุมรัฐสภา การประชุมกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 49 คน 19 ครั้ง ที่ต้องจ่ายเบี้ยประชุมครั้งละ 1,500 บาท  เป็นเงิน 1.3 ล้านบาท ค่าจัดเลี้ยงอาหารวันละ 250 บาท รวมเป็นเงินเกือบ 300,000 บาท ค่าจัดทำเอกสาร 200,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายเกือบ 2 ล้านบาท
  
ไม่นับราคาของเวลา และการทุ่มเทของกรรมาธิการ ที่ใช้เวลาเกือบ 4 เดือนถกเถียง ออกแบบวิธีการเลือกตั้ง เอาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายสารพัดทั้งจากสภา จากกฤษฎีกา จาก กกต. มาทำงานแบบทุ่มเท แล้วทุกอย่างกลายเป็นศูนย์นั้นยิ่งประเมินค่าไม่ได้
 
ไม่นับราคาของโอกาสของประชาชนที่จะได้ กม.เลือกตั้งที่กรรมาธิการช่วยกันออกแบบใหม่ในหลายเรื่องที่ไม่ปรากฏในร่างเดิมของ ครม. เช่น ข้อกำหนดให้ กกต.ต้องอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการสังเกตการณ์การนับคะแนนให้โปร่งใส การให้ กกต.ต้องประกาศผลรายหน่วยในอินเตอร์เน็ตภายใน 72 ชม. หลังปิดหีบ การเปิดโอกาสให้มีการนับคะแนนการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่สถานทูต ไม่ต้องส่งบัตรกลับมานับที่ไทย และอื่น ๆ อีกมาก จะหายวับหลังจาก ร่าง กม.ตกไป
 
แต่สิ่งที่แพงที่สุด ที่จะสูญหายและไม่มีทางหวนคืน คือ เกียรติภูมิของรัฐสภา ที่ใช้วิชามารจงใจทำกฎหมายให้ไม่เสร็จใน 180 วัน ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกของประวัติรัฐสภาไทยที่เกิดเหตุอัปยศเช่นนี้ขึ้น
 
อยากชนะเลือกตั้งแต่อ่อนคณิตศาสตร์ คิดไม่ตก คำนวณไม่เป็น ตัดสินใจแล้วย้อนกลับไปกลับมา 3 รอบ
 
พอสุดท้ายอยากได้หารร้อย ขนาดยอมลงทุนสร้างความเสียหายต่อเกียรติภูมิของรัฐสภา
 
หน้ามืดมากครับ ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
 
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid031LYAZXP6efYB8AyPJVYziVbJ4qqnBhSWbqD8kBitxy9dH6Ms2wTicHL1zFzvXGP9l
 


สินเชื่อแบงก์ครึ่งปีหลังหืดจับ สารพัดปัจจัยฉุด “ครัวเรือน-SME” ก่อหนี้
https://www.prachachat.net/finance/news-997175
 
แบงก์ประเมินครึ่งปีหลัง สินเชื่อ “เอสเอ็มอี-รายย่อย” โตชะลอ เหตุค่าครองชีพสูง-กำลังซื้อหด กดครัวเรือนก่อหนี้ใหม่ยาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดทั้งปีนี้สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 4-5.5% ชะลอจากปีก่อน มองเงินกู้ “บ้าน-เช่าซื้อ” โตจำกัด ขณะที่ “ทิสโก้” คาดธุรกิจรายใหญ่หันใช้เงินกู้ธนาคารมากขึ้น หลังต้นทุนหุ้นกู้พุ่ง ฟาก “กสิกรไทย” ห่วงเอสเอ็มอีอ่วมต้นทุนทะยาน

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปี 2565 นี้ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ ในภาพรวมคาดว่าจะขยายตัว 4-5.5% ต่อปี ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 6.2% ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าที่เข้าโครงการช่วยเหลือจากผลกระทบโควิด-19 ทยอยออกจากโครงการและมีการชำระคืนหนี้ ประกอบกับบางผลิตภัณฑ์เติบโตไม่หวือหวา เมื่อเทียบภาวะปกติ เนื่องจากครัวเรือนยังเจอปัญหาค่าครองชีพ จึงมีความระมัดระวังการก่อหนี้เพิ่ม

โดยในไตรมาส 1 การเติบโตหลัก ๆ มาจากสินเชื่อธุรกิจที่มีการทยอยเบิกใช้เงินทุนเวียน (working capital) ส่วนในไตรมาส 2 สินเชื่อยังขยายตัว แต่อยู่ในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น จึงมีการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ เพื่อล็อกต้นทุน ทำให้การใช้สินเชื่อชะลอลง โดยสินเชื่อธุรกิจไตรมาส 1 ขยายตัวอยู่ที่ 8.8% ส่วนไตรมาส 2 คาดจะชะลอลงเหลือ 7%
 
“คาดว่าสินเชื่อธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ภาพการเติบโตจะคล้ายไตรมาส 2 เนื่องจากมียอดการชำระคืนหนี้ และผลจากฐานที่สูงของปีก่อน ทำให้การเติบโตชะลอลง ทั้งปีเหลือ 5-6.5% ยอดคงค้างอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านบาท จากปีก่อนเติบโตอยู่ที่ 7.8%”
 
ขณะที่สินเชื่อรายย่อย จะมีบางโปรดักต์ที่เติบโตได้ดี แต่สัดส่วนต่อพอร์ตสินเชื่อรวมไม่สูงมาก ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (ไม่รวมน็อนแบงก์) ณ เดือน พ.ค. 2565 ขยายตัวสูงถึง 35.4% มียอดสินเชื่อคงค้าง 3.27 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโปรดักต์ที่หลายธนาคารพยายามทำตลาดและเพิ่มความสะดวกในการขอสินเชื่อผ่านโมบายแบงกิ้ง
 
โดยมองไปข้างหน้าสินเชื่อส่วนบุคคลยังคงขยายตัวดี แต่จากภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อกดดันภาคครัวเรือน ทำให้มีความระมัดระวังการก่อหนี้ใหม่ และฐานที่สูง คาดว่าสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งปีขยายตัว 12.5-15% ยอดคงค้างอยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท และหากเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อคาดว่าจะโตจำกัด เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเป็นสินเชื่อวงเงินค่อนข้างใหญ่ ครัวเรือนอาจชะลอการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
 
“สินเชื่อรายย่อยปีนี้น่าจะโตได้ราว 3-4% จากปีก่อนโต 4% โดยสินเชื่อบุคคลเป็นตัวที่โตโดดเด่น แต่จากกำลังซื้อมีปัญหาหลายครัวเรือนระมัดระวังการก่อหนี้ และธนาคารยังคงติดตามกลุ่มที่มีรายได้น้อย และกลุ่มที่ออกจากโครงการช่วยเหลือไปแล้ว เพราะเป็นกลุ่มเปราะบาง หากไม่ไหว อาจกลับมาปรับโครงสร้างใหม่”
 
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอียังต้องการสภาพคล่อง เพื่อสต๊อกสินค้า หรือเตรียมขยายการลงทุน ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ จะหันมาพิจารณาใช้สินเชื่อธนาคารมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนหุ้นกู้สูงขึ้น ด้านสินเชื่อรายย่อย จำนำทะเบียนรถและรถใช้แล้ว ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่สินเชื่อรถใหม่อาจจะชะลอตัวตามการขาดแคลนชิ้นส่วน
 
“กลุ่มรายย่อย ธนาคารยังคงติดตามใกล้ชิด เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งธนาคารก็มีมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง เช่น การปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน มาตรการรวมหนี้ และคืนรถจบหนี้ เป็นต้น โดยหากเงินเฟ้อยืดเยื้อและลากยาว อาจกระทบกลุ่มที่มีรายได้ไม่ประจำ จะยิ่งเปราะบาง ซึ่งเราพร้อมช่วยประคอง โดยการปรับเทอมการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้”
 
นายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะแย่กว่าในครึ่งปีแรก เพราะเจอปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น หากสถานการณ์ลากยาว จะกระทบต่อกำลังซื้อ ยอดขาย และสภาพคล่องในธุรกิจ
 
“ตอนนี้ธนาคารอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายการเติบโต โดยนำปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ มาพิจารณา เนื่องจากเราต้องการเติบโตแบบมีคุณภาพ ส่วนลูกค้าที่มีปัญหา เราก็พร้อมช่วยเหลือ ด้วยมาตรการคล้าย ๆ เดิม คือ ลดการผ่อนชำระลงตามยอดขายที่ลดลง เพื่อรักษาสภาพคล่องของลูกค้า ส่วนการเติมเงินใหม่จะมีการพิจารณาเป็นราย ๆ ไปตามวัตถุประสงค์การใช้วงเงิน เช่น การขยายธุรกิจใหม่ อาจต้องขอดูก่อน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่