"คณิศร" แถลงยินดี "ศราวุธ" จากเพื่อไทยคว้าเก้าอี้นายก อบจ.อุดรธานี อย่างไม่เป็นทางการ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9519496
“คณิศร” แถลงยินดี “ศราวุธ” จากเพื่อไทยคว้าเก้าอี้นายก อบจ.อุดรธานี อย่างไม่เป็นทางการ “เท้ง” ภูมิใจผลักดันนโยบายน้ำประปาดื่มได้
วันที่ 24 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากพรรคเพื่อ ประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการในการเลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี หลังพบว่าคะแนนเริ่มทิ้งห่างแม้ยังนับไม่เสร็จ อ่านข่าว เพื่อไทยประกาศชัยชนะ! เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี ‘
ศราวุธ’ คะแนนเริ่มทิ้งห่าง เผยงานแรก “ทำเรื่องน้ำ”
ซึ่ง นาย
คณิศร ขุริรัง ผู้สมัครหมายเลข 1 จากพรรคประชาชน กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวอุดรธานี ที่มอบคะแนนให้เรา คะแนนที่ได้มามากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับชนะได้ ขอบคุณที่ไว้วางใจ แสดงความยินดีกับผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งวันนี้
วันนี้ไม่เสียใจถือเป็นงานที่สนุก มีความสนุกกับการทำงาน เห็นแววตาของชาวอุดรหลายๆ ท่าน มีแวว มีประกายที่มีความหวัง กับนโยบายที่เราได้นำเสนอ เราจะทำงานให้หนักต่อไป และเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด และจะทำงานกับพรรคประชาชนต่อไป
ด้าน นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับคุณศราวุธ ถึงแม้ผลการนับคะแนนจะไม่เป็นทางการ แต่แนวโน้มเห็นแล้วว่าจะได้คุณศราวุธ เข้ามาบริหารจังหวัดอุดรธานี วันนี้รู้สึกสนุกที่ได้มาช่วยกับคุณคณิศร เชื่อว่าคุณคณิศร ยังเดินหน้าทำงานกับพี่น้องต่อไป นโยบายเป็นเรื่องยกระดับพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องน้ำประปาดื่มได้ และขนส่ง ถึงแม้วันนี้ยังไม่ได้เข้าไปบริหารอุดรธานี แต่ก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ถ้ามีนโยบายอะไรที่พรรคประชาชนจะไปร่วมได้กับ คุณศราวุธ ก็ยินดี ส่วนสนามต่อไปอุบลฯ และอีก 12 สนามที่ประกาศส่งชิงนายก อบจ.ไปแล้ว
"กมธ.การเมือง" จ่อพบ “วันนอร์” ขอทบทวนเดินหน้าแก้รธน.มาตรา 256 ตั้ง ส.ส.ร. 27 พ.ย.นี้
https://siamrath.co.th/n/582866
วันที่ 25 พ.ย.2567 ที่รัฐสภา นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 พ.ย. เวลา 10.00 น. กมธ.พัฒนาการเมืองจะเข้าพบกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ฐานะประธานรัฐสภาเพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจของประธานรัฐสภาเรื่องการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่มหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลในอดีตได้ยื่นร่างแก้ไขเมื่อต้นปี2567 ซึ่งขณะนั้นประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุเข้าสู่วาระเพราะตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564 ว่า ต้องทำประชามติก่อนถึงบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ ขณะที่ตนและพรรคเพื่อไทยมองว่าสามารถบรรจุร่างแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติก่อน อีกทั้งในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวย่อหน้าสุดท้ายไม่ได้ระบุถึงจำนวนประชามติ ในการหารือกับประธานรัฐสภา จะนำประเด็นและรายละเอียดที่ได้หารือกับนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าพูดคุยด้วย ซึ่งตนหวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจ และสามารถเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนได้ ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาฯ เดือน ธ.ค.นี้
“
หากประธานรัฐสภาทบทวนและบรรจุเรื่องเข้าสู่วาระพิจารณา ตามไทม์ไลน์แล้วสามารถเดินหน้าได้ในเดือนธ.ค. นี้ เบื้องต้นในการพิจารณาของรัฐสภาในการแก้ไขมาตรา 256 กำหนดให้มี ส.ส.ร. อาจใช้เวลา 3-6 เดือน เมื่อทำเสร็จแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทำประชามติรอบแรก และหากประชามติผ่าน จะเข้าสู่กระบวนการมี สสร. เพื่อทำรัฐธรรมนูญที่อาจใช้เวลา 6 - 12 เดือน ดังนั้นตามกลไกทำประชามติ 2 ครั้ง มีโอกาสได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ก่อนการเลือกตั้งปี2570” นาย
พริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าประเด็นความเห็นต่างของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะหากความเห็นต่างระหว่าง สองสภา ในร่างพ.ร.บ.ประชามติ จนต้องพักร่างกฎหมายไว้ ไม่เป็นปัญหากับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะในระหว่างนั้นสามารถเดินหน้าได้ และไม่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความล่าช้าหรือกระทบไทม์ไลน์ที่ระบุไว้ ส่วนกรณีที่มีประเด็นตีความว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติเป็นร่างกฎหมายการเงินเพื่อย่อเวลาพักร่างกฎหมายที่เห็นแย้งระหว่างสองสภานั้น ตนมองว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
เมื่อถามว่าในไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญกังวลต่อเสียงสนับสนุนของสว.หรือไม่ นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียงสว. 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมายอมรับว่า ยุคสว.250 คนนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยุคนี้มีการวิเคราะห์จุดยืนของสว.ผ่านการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ แต่เมื่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่แสดงให้เห็นว่า สว.มีจุดยืนอย่างไร.
หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ ค้าปลีก โตช้า ไม่สมดุล แนะ รัฐ อัด 4 มาตรการกระตุ้นตลาดปีหน้า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4919402
หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ ค้าปลีก โตช้า ไม่สมดุล แนะรัฐอัด 4 มาตรการกระตุ้นตลาดปีหน้า
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ยังไม่สดใสจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีก อาทิ การเติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่รัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% ผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสม การลงทุนหดตัวส่งผลต่อการจ้างงานและบริโภค หนี้ครัวเรือนสูงและภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี ขณะที่มาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัด ส่วนเฟสต่อไปยังต้องรอความชัดเจน ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท รวมถึงอนาคตของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายของประชาชน
“
หากเทียบกับปี 2566 ถือว่าปรับตัวดีขึ้น ผลจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีภาครัฐ แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆและไม่สมดุล ทั้งประเภทร้านค้าปลีกและประเภทภูมิภาค โดยร้านค้าปลีกประเภทแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์, สเปเชียลตี้สโตร์,และเชนภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เติบโต 3-7% ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง เติบโต 2-5% ส่วนร้านค้าสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โตน้อยสุด 1-3% โดยเป็นการเติบโตแบบกระจุกตัวในกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคตะวันออก และในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น”นาย
ณัฐกล่าว
นาย
ณัฐกล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ค้าปลีกในปี 2568 คาดจะเติบโตประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับจีดีพีของปี 2568 ที่เติบโต 2.3-3.3% ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและส่งออก การลงทุนของภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นและปัญหาหนี้ครัวเรือน เชื่อว่าภาคค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่าค้าปลีกและบริการกว่า 4.4 ล้านล้านบาท หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นาย
ณัฐกล่าวว่า โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อร่วมกันกระตุ้นค้าปลีกไทยในปี 2568 อาทิ 1.เดินหน้าลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2568 หลังการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า โดยมองว่าการลงทุนของภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า 2.เสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทยมีถึง 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง เช่น ส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรายย่อยการเพิ่มโอกาสทางการค้า ขยายช่องทางการตลาดจำหน่ายสินค้า ออกมาตรการในการป้องกันการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอสเอ็มอีไทยในทุกแพลตฟอร์ม
นาย
ณัฐกล่าวว่า 3.เพิ่มการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศแบบทั่วถึง ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างโมเมนตัมการใช้จ่ายให้ได้ผล เช่น ช้อปดีมีคืน และ Easy E-Receipt รวมถึงขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้เกิดการขยายตัวของภาคผลิต ด้วยนโยบายจูงใจให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ 4. ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว โดยกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น พิจารณาลดภาษีสินค้าเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว อาจเริ่มจากมาตรการ Tax Free หรือการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กับยอดซื้อสินค้าทั่วไปที่มีมูลค่ารวมในการซื้อต่อท่านต่อวันในร้านเดียวกันเกิน 5,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น ส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของต่างชาติด้วยเสน่ห์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ด้านอาหาร วัฒนธรรมไทย ควบคู่กับการเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง มุ่งสู่เป้าหมายนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปี 2568
JJNY : "คณิศร" แถลงยินดี "ศราวุธ"│"กมธ.การเมือง" จ่อพบ “วันนอร์”│หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ│เจรจา “สนธิสัญญาพลาสติกโลก”
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9519496
วันที่ 24 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากพรรคเพื่อ ประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการในการเลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี หลังพบว่าคะแนนเริ่มทิ้งห่างแม้ยังนับไม่เสร็จ อ่านข่าว เพื่อไทยประกาศชัยชนะ! เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี ‘ศราวุธ’ คะแนนเริ่มทิ้งห่าง เผยงานแรก “ทำเรื่องน้ำ”
ซึ่ง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครหมายเลข 1 จากพรรคประชาชน กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวอุดรธานี ที่มอบคะแนนให้เรา คะแนนที่ได้มามากแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับชนะได้ ขอบคุณที่ไว้วางใจ แสดงความยินดีกับผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งวันนี้
วันนี้ไม่เสียใจถือเป็นงานที่สนุก มีความสนุกกับการทำงาน เห็นแววตาของชาวอุดรหลายๆ ท่าน มีแวว มีประกายที่มีความหวัง กับนโยบายที่เราได้นำเสนอ เราจะทำงานให้หนักต่อไป และเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด และจะทำงานกับพรรคประชาชนต่อไป
ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับคุณศราวุธ ถึงแม้ผลการนับคะแนนจะไม่เป็นทางการ แต่แนวโน้มเห็นแล้วว่าจะได้คุณศราวุธ เข้ามาบริหารจังหวัดอุดรธานี วันนี้รู้สึกสนุกที่ได้มาช่วยกับคุณคณิศร เชื่อว่าคุณคณิศร ยังเดินหน้าทำงานกับพี่น้องต่อไป นโยบายเป็นเรื่องยกระดับพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องน้ำประปาดื่มได้ และขนส่ง ถึงแม้วันนี้ยังไม่ได้เข้าไปบริหารอุดรธานี แต่ก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ถ้ามีนโยบายอะไรที่พรรคประชาชนจะไปร่วมได้กับ คุณศราวุธ ก็ยินดี ส่วนสนามต่อไปอุบลฯ และอีก 12 สนามที่ประกาศส่งชิงนายก อบจ.ไปแล้ว
"กมธ.การเมือง" จ่อพบ “วันนอร์” ขอทบทวนเดินหน้าแก้รธน.มาตรา 256 ตั้ง ส.ส.ร. 27 พ.ย.นี้
https://siamrath.co.th/n/582866
วันที่ 25 พ.ย.2567 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 พ.ย. เวลา 10.00 น. กมธ.พัฒนาการเมืองจะเข้าพบกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ฐานะประธานรัฐสภาเพื่อหารือเกี่ยวกับการตัดสินใจของประธานรัฐสภาเรื่องการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่มหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลในอดีตได้ยื่นร่างแก้ไขเมื่อต้นปี2567 ซึ่งขณะนั้นประธานรัฐสภาตัดสินใจไม่บรรจุเข้าสู่วาระเพราะตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2564 ว่า ต้องทำประชามติก่อนถึงบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ ขณะที่ตนและพรรคเพื่อไทยมองว่าสามารถบรรจุร่างแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติก่อน อีกทั้งในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวย่อหน้าสุดท้ายไม่ได้ระบุถึงจำนวนประชามติ ในการหารือกับประธานรัฐสภา จะนำประเด็นและรายละเอียดที่ได้หารือกับนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าพูดคุยด้วย ซึ่งตนหวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจ และสามารถเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนได้ ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาฯ เดือน ธ.ค.นี้
“หากประธานรัฐสภาทบทวนและบรรจุเรื่องเข้าสู่วาระพิจารณา ตามไทม์ไลน์แล้วสามารถเดินหน้าได้ในเดือนธ.ค. นี้ เบื้องต้นในการพิจารณาของรัฐสภาในการแก้ไขมาตรา 256 กำหนดให้มี ส.ส.ร. อาจใช้เวลา 3-6 เดือน เมื่อทำเสร็จแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทำประชามติรอบแรก และหากประชามติผ่าน จะเข้าสู่กระบวนการมี สสร. เพื่อทำรัฐธรรมนูญที่อาจใช้เวลา 6 - 12 เดือน ดังนั้นตามกลไกทำประชามติ 2 ครั้ง มีโอกาสได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ก่อนการเลือกตั้งปี2570” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าประเด็นความเห็นต่างของร่างพ.ร.บ.ประชามติจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่อง เพราะหากความเห็นต่างระหว่าง สองสภา ในร่างพ.ร.บ.ประชามติ จนต้องพักร่างกฎหมายไว้ ไม่เป็นปัญหากับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะในระหว่างนั้นสามารถเดินหน้าได้ และไม่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความล่าช้าหรือกระทบไทม์ไลน์ที่ระบุไว้ ส่วนกรณีที่มีประเด็นตีความว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติเป็นร่างกฎหมายการเงินเพื่อย่อเวลาพักร่างกฎหมายที่เห็นแย้งระหว่างสองสภานั้น ตนมองว่า ร่างพ.ร.บ.ประชามติไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
เมื่อถามว่าในไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญกังวลต่อเสียงสนับสนุนของสว.หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียงสว. 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมายอมรับว่า ยุคสว.250 คนนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยุคนี้มีการวิเคราะห์จุดยืนของสว.ผ่านการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ แต่เมื่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา เชื่อว่าจะเป็นประเด็นที่แสดงให้เห็นว่า สว.มีจุดยืนอย่างไร.
หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ ค้าปลีก โตช้า ไม่สมดุล แนะ รัฐ อัด 4 มาตรการกระตุ้นตลาดปีหน้า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4919402
หนี้ครัวเรือน ฉุดกำลังซื้อ ค้าปลีก โตช้า ไม่สมดุล แนะรัฐอัด 4 มาตรการกระตุ้นตลาดปีหน้า
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ยังไม่สดใสจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีก อาทิ การเติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่รัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% ผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสม การลงทุนหดตัวส่งผลต่อการจ้างงานและบริโภค หนี้ครัวเรือนสูงและภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี ขณะที่มาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัด ส่วนเฟสต่อไปยังต้องรอความชัดเจน ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท รวมถึงอนาคตของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายของประชาชน
“หากเทียบกับปี 2566 ถือว่าปรับตัวดีขึ้น ผลจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีภาครัฐ แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆและไม่สมดุล ทั้งประเภทร้านค้าปลีกและประเภทภูมิภาค โดยร้านค้าปลีกประเภทแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์, สเปเชียลตี้สโตร์,และเชนภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เติบโต 3-7% ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง เติบโต 2-5% ส่วนร้านค้าสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โตน้อยสุด 1-3% โดยเป็นการเติบโตแบบกระจุกตัวในกรุงเทพ ปริมณฑล ภาคตะวันออก และในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวเท่านั้น”นายณัฐกล่าว
นายณัฐกล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์ค้าปลีกในปี 2568 คาดจะเติบโตประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับจีดีพีของปี 2568 ที่เติบโต 2.3-3.3% ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและส่งออก การลงทุนของภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นและปัญหาหนี้ครัวเรือน เชื่อว่าภาคค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่าค้าปลีกและบริการกว่า 4.4 ล้านล้านบาท หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นายณัฐกล่าวว่า โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อร่วมกันกระตุ้นค้าปลีกไทยในปี 2568 อาทิ 1.เดินหน้าลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2568 หลังการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า โดยมองว่าการลงทุนของภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า 2.เสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทยมีถึง 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง เช่น ส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรายย่อยการเพิ่มโอกาสทางการค้า ขยายช่องทางการตลาดจำหน่ายสินค้า ออกมาตรการในการป้องกันการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอสเอ็มอีไทยในทุกแพลตฟอร์ม
นายณัฐกล่าวว่า 3.เพิ่มการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศแบบทั่วถึง ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างโมเมนตัมการใช้จ่ายให้ได้ผล เช่น ช้อปดีมีคืน และ Easy E-Receipt รวมถึงขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้เกิดการขยายตัวของภาคผลิต ด้วยนโยบายจูงใจให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ 4. ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว โดยกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น พิจารณาลดภาษีสินค้าเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว อาจเริ่มจากมาตรการ Tax Free หรือการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม กับยอดซื้อสินค้าทั่วไปที่มีมูลค่ารวมในการซื้อต่อท่านต่อวันในร้านเดียวกันเกิน 5,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น ส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของต่างชาติด้วยเสน่ห์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ด้านอาหาร วัฒนธรรมไทย ควบคู่กับการเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง มุ่งสู่เป้าหมายนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปี 2568