กระทู้นี้อาจจะยาวซักหน่อยนะครับ แต่อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านเพราะคิดว่าน่าจะช่วยเตือนใจหลายๆคนที่มีพฤติกรรมแบบผมได้ และถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์กับคนรอบตัว หรือคนที่คุณรัก ก็แชร์ต่อได้เลยครับ
แรกเริ่มเดิมทีผมก็เป็นคนรูปร่างใหญ่ หรือที่ใครๆเรียกว่า ไอ้อ้วน อยู่แล้ว จริงๆก็ใช้ชีวิตในร่างอ้วนๆนี้มานานหลายปีจนชิน แล้วช่วงหลัง ตั้งแต่มาทำงานประจำ แล้วยังจะ WFH อีกเนี่ย ยิ่งเพิ่มเลเวลความอ้วนให้ตัวเองเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตคล้ายๆกับผมมั้ย คือทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เพราะถ้ามัวแต่คอยวาสนาก็คงไม่มีเงินหล่นมาจากฟ้าแน่ๆ ผมทำทั้งงานประจำของบริษัทซึ่งมันก็ไม่ค่อยเป็นเวลาเท่าไหร่ เวลาเร่งด่วนหรือมีปัญหาต่อให้เป็นนอกเวลางาน ดึกดื่น หรือวันหยุด ก็ต้องลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ เปิดคอม ทำงานให้ลุล่วง แล้วผมก็ยังรับงานนอกมาทำอีก คือทำทุกอย่างที่ได้เงิน เรียกว่าแทบไม่มีเวลาหายใจ พองานหนักก็นอนไม่เป็นเวลา โต้รุ่งเป็นงานอดิเรก เบลอบ้างมึนบ้างแต่ไม่ได้สนใจอะไร อัดกาแฟเอา ยิ่ง WFH บอกเลยครับว่าคลั่งรักงานมากกว่าเดิม พออยู่บ้านทั้งวัน ก็เท่ากับทำงานทั้งวัน เวลาชีวิตรวนไปหมด บ้านตั้งกว้างแต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แค่ตรงโต๊ะทำงาน เหมือนพอเห็นคอม เห็นงาน แล้วมันปลงไม่ได้ สมองมันคอยหาอะไรทำ กินข้าวก็ไม่เป็นเวลา เพราะคิดว่าจะกินตอนไหนก็ได้ แถมยังเน้นความสะดวกสบายเป็นที่ตั้ง คิดอะไรไม่ออกก็สั่ง Grab บ้าง LINE MAN บ้าง วิ่งเข้าวิ่งออกทุกวัน บางวัน 2 - 3รอบ และสิ่งที่ผมกินบ่อยที่สุดคิดว่าทุกคนคงเดาไม่ยาก ………….. ใช่ครับ “ชาไข่มุก”
จริงๆไม่ใช่แค่ชาไข่มุกหรอก จะมุกหรือไม่มุกผมก็ชอบทั้งนั้น ชานม ชาเขียว ชาไทย กาแฟ น้ำหวานโซดา หรืออะไรเทือกนี้ ขอให้เป็นตระกูลหวานๆผมกินหมด ติดมาก บางทีมีพ่วงขนมปัง ขนมเค้ก ขนมไทยอีก ไอ้พฤติกรรมแบบนี้แหละ ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น อ้วนขึ้น อ้วนแบบไม่มีอะไรมากั้น

ผมให้ข้ออ้างกับตัวเองว่า “สมองต้องการกลูโคส” “ถ้าไม่กินของหวาน จะคิดงานไม่ออก”… แต่ก็นั่นแหละครับ แค่ข้ออ้าง จริงๆผมก็แค่อยากกินอะไรอร่อยๆ แล้วก็ไม่เคยสั่งหวานน้อยด้วยนะ ร้านอยากใส่ให้แค่ไหนก็จัดมาเลยครับ ยิ่งหวานยิ่งอร่อย แฟนก็บ่น(เตือน)ตลอดนะ ว่ากินบ่อยเกินไปแล้ว อ้วนเกินไปแล้ว สารพัดโรคจะถามหา ระวังจะอายุไม่ยืนนะ ………… แต่ถามว่ากลัวมั้ย ไม่เลยครับ ยอมรับเลยว่า “ประมาท” สุดๆ คิดแค่ว่าตัวเองอายุก็แค่นี้ ความตายน่ะยังอีกไกล………. ก็เลยใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปี
จนวันหนึ่งผมโดนหามส่ง รพ.
เพราะอยู่ดีๆก็มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เริ่มมองภาพเบลอ ร่างกายไม่มีแรง และแขนขาเริ่มมีอาการกระตุก ผมรีบบอกแฟนให้พาไป รพ. ด่วน ที่ว่าหาม คือหามกันขึ้นรถไปจริงๆ ร่างกายมันไม่มีแม้แต่แรงจะนั่งให้ตรง ระหว่างทางอาการผมแย่ลงเรื่อยๆ จนใกล้ถึง รพ. ผมวูบหมดสติไป
วันนั้นผมยังโชคดีมากที่ไปถึงโรงพยาบาลทัน หมอบอกไม่งั้นอาจเป็นอัมพาต หรือร้ายแรงกว่านี้แล้วก็ได้
ไอ้อาการที่ผมเป็นคือ “ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน” ……. ครับ พอหมอบอกแบบนั้น ผมแทบไม่ต้องถามหมอเลยว่าเพราะอะไร วินาทีนั้นภาพตัวเองตอนเจาะหลอดชาไข่มุก ภาพตอนดูดชาเขียวเย็น ภาพตอนตักท็อฟฟี่เค้กเข้าปากลอยมาเป็นฉากๆ
ยังครับ ยังไม่จบ หมอบอกต่อว่าผมเป็น “โรคอ้วน” และเสี่ยงที่จะเป็น “เบาหวาน” และถ้ามากกว่านี้อาจกระทบไปถึงเส้นเลือดในสมองได้ ซึ่งค่าน้ำตาลผมวันนั้นก็สูงมากๆแล้ว
.
.
.
.
หลังจากคุยกับหมอแล้วพบว่าสาเหตุคือ
- พฤติกรรมการกิน ก็ตามคาดครับ อันนี้สาเหตุใหญ่เลย หมอบอกว่า ชาไข่มุก 1 แก้วมีน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 12 ช้อนชา ซึ่งปกติแล้วคนเราควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า กินชาไข่มุก 1 แก้ว ก็เหมือนกินน้ำตาลไปแล้ว 2 เท่าของที่ร่างกายต้องการ แล้วตัวผมบางวันกิน 2 แก้ว 3 แก้ว ไม่ต้องสืบต่อเลยครับ
แล้วนอกจากพวกน้ำหวาน ขนมหวานแล้ว หมอบอกด้วยว่า “ข้าว” ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไป ปกติผมจะกินข้าวเยอะมาก กินทีเน้นอิ่ม ขอข้าวเยอะๆไว้ก่อน ซึ่งไอ้ข้าวเนี่ยแหละ มันจะถูกแปรเป็นน้ำตาลด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ต้อง ลดแป้ง ลดน้ำตาล อย่างเคร่งครัดเลย
- ความเครียด หมอบอกให้พักเรื่องงานบ้าง แบ่งเวลาทำงาน/เวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน การที่เราทำงานตลอดเวลา เราอาจจะเคยชิน จนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเครียดขนาดไหน บางเรื่องที่ไม่เร่งด่วนหรือฉุกเฉินจริงๆ วางได้ก็วาง ปลงได้ก็ปลง ยิ่งคนที่ทำทั้งงานประจำ และงานเสริม งานนอกแบบผม มีภาวะเครียดไม่รู้ตัวกันแทบทั้งนั้น
- ที่สำคัญคือขาดการออกกำลังกาย อันนี้ก็น่าจะโดนใครหลายๆคนครับ นั่งทำงานทั้งวันทั้งคืน หมดเวลางานก็เพลีย หมดแรง อยากนอนแล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องแบ่งเวลาทำงาน บาลานซ์ชีวิตให้ดี แล้วออกกำลังกายให้มากขึ้น แล้วต้องออกเป็นประจำด้วย
ผมนอนรักษาตัวที่ รพ. อยู่สองสามวันพอหมอเชคอาการแล้วดีขึ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ให้กลับบ้านได้ ผมกลับบ้านมาพร้อมกับโจทย์ใหม่ในชีวิตคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำมาตลอดหลายปี ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ
สิ่งที่ผมต้องทำหลังออกจาก รพ. คือ
1. ออกกำลังกาย

ที่ผ่านมาผมแทบไม่ออกกำลังกายเลย ช่วงที่เริ่มออกใหม่ๆคือเหนื่อยมาก รู้ตัวเลยว่าเรานี่แ_่งโคตรอ่อนแอ แค่เดินในหมู่บ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หอบแล้ว แต่พอเริ่มออกกำลังกายไปสักพัก สม่ำเสมอ ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงมากขึ้น สำหรับคนตัวใหญ่แบบผมหมอบอกให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เป็นประจำ หมอแนะนำให้เริ่มจากเดินเยอะๆ และเพิ่มการวิ่งไปเรื่อยๆทุกวัน หมอบอกว่าการคาร์ดิโออย่าง เดิน หรือวิ่ง เนี่ย เป็นวิธีออกกำลังกายที่ช่วยลดความอ้วนได้ดีมากๆ เพราะมันจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและระบบเผาผลาญของเราได้ เป็นการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจนมาช่วยในการเผาผลาญพลังงาน แล้วตัวพลังงานที่ถูกนำมาใช้ประมาณ 80% เนี่ยก็ดึงมาจากไขมันในร่างกายของเรา ทำให้เห็นผลเรื่องการลดความอ้วนได้นั่นเองครับ และเพื่อความจริงจังในการลดความอ้วนครั้งนี้ ผมเลยไปถอยลู่วิ่งมาซะเลย คิดว่าเสียเงินมาแล้วจะได้มีกำลังใจออกกำลังกายเยอะๆ ที่ผมวิ่งอยู่เป็นรุ่น R800 ซื้อมาเพราะมันดูแข็งแรงดีตัวใหญ่เหมือนในฟิตเนส มีปรับโปรแกรมอะไรได้เหมือนไปวิ่งข้างนอก ต่อเกม zwift เล่นกับเพื่อนได้อะไรได้ ก็จะได้ไม่เบื่อ อีกอย่างที่ผมวิ่งบนลู่เพราะหมอบอกว่ามันจะลดแรงกระแทกได้มากกว่า คนอ้วนหรือตัวใหญ่ๆถ้าวิ่งไม่ดีอาจจะมีปัญหากับเข่าได้ ก็กันไว้ก่อนครับ แล้วก็มีพวกดัมเบลไว้ยกด้วย นอกจากการคาร์ดิโอลดไขมันแล้วการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงก็สำคัญมากเหมือนกัน ดัมเบลนี่ก็เลือกน้ำหนักที่เหมาะกับตัวเองได้เลยครับ ไม่ต้องไปฝืนยกหนักๆมากก็ได้ครับ
2. เปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ทั้งหมด
- กินข้าวให้น้อยลง รวมถึง แป้ง น้ำตาล และไขมันเลวต่างๆ
- ลดการกินอาหารรสหวาน/รสจัดเกินความจำเป็น
- ลด ละ เลิก กินน้ำหวาน ชาไข่มุกของโปรด ถ้าอยากกินจริงๆต้องไม่ให้เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน
- กินข้าวให้เป็นเวลา และปริมาณใกล้เคียงกัน ในแต่ละมื้อ จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่
ผมเริ่มจากสิ่งที่ชอบที่สุดก่อนเลย คือชานม ชาไข่มุก
แต่ด้วยความที่ผมติดกินชาไข่มุกมาก ก็เลยถามหมอมาว่า ต้องเลิก 100% เลยมั้ย หมอบอกว่า จริงๆถ้าเลิกได้ก็ดี แต่ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ให้กินแบบหวานน้อยที่สุด ใส่น้ำตาลน้ำเชื่อมให้น้อยที่สุด วันไหนที่อยากมากๆก็จะชงกินเองที่บ้าน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาแฟนผมสั่งชานมหวานน้อย ก็แทบไม่เคยได้แบบหวานน้อยจริงๆเลยซักครั้ง ฟีลเดียวกับสั่งส้มตำไม่เผ็ด หรือบอกช่างตัดผมว่าเอาออกนิดเดียว นั่นแหละครับ เพราะฉะนั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ในเมื่อเราเปลี่ยนอุดมการณ์แม่ค้า หรือบาริสต้าไม่ได้ ก็ต้องเริ่มที่ตัวเอง พอชงกินเองก็จะเลือกได้ว่าเราจะใส่อะไรเท่าไหร่ อะไรที่ทำลายสุขภาพ เช่น น้ำเชื่อม น้ำตาล นมข้น ครีมเทียม พวกไขมันทรานส์ทั้งหลายทั้งปวงก็ตัดออกให้หมด

อีกอย่างคือผมลดปริมาณข้าวและแป้งในแต่ละมื้อลงครับ หมอบอกไม่ต้องงด แค่ลดก็พอแล้ว ส่วนเวลาจะทำกับข้าวก็ปรุงแบบอาหารคลีนๆ จืดๆ หวานน้อย เค็มน้อย ให้ชินครับ ปัจจุบันก็ลดการสั่งฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารนอกบ้านไปเยอะเลย ทำกินเอง คุมเรื่องโภชนาการได้ดีกว่ามากๆ หลังจากเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองมาพักใหญ่สังเกตได้เลยว่าสุขภาพมันดีขึ้น หาหมอแต่ละทีก็ได้ค่าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นผลของความตั้งใจความมีวินัยของเราเลยมีกำลังใจทำต่อ
ผมมีอันนี้ที่อยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้ดูกันด้วยครับ จะได้เห็นภาพชัดๆไปเลยว่า ทำไมไอ้ชาไข่มุกแก้วเล็กๆแสนอร่อยเนี่ยมันถึงได้ร้ายกาจนัก
ภาพนี้คือ ตารางง่ายๆที่ดูแล้วตาสว่างที่ทำโดย ผมเอง เป็นการเปรียบเทียบปริมาณ “น้ำตาล” ที่องค์การอนามัยโลก แนะนำให้เรากินใน 1 วัน คือไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา ในช่องด้านซ้าย กับอีกช่องเป็น ปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยในชาไข่มุก 1 แก้ว คือประมาณ 48 กรัม หรือ 12 ช้อนชา (บางแก้วบางเจ้าก็น้อยกว่านี้ แต่ที่มากกว่านี้ก็มีเยอะครับ)

ก็คือ 2 เท่าของที่ร่างกายต้องการต่อวันนั่นแหละฮะทั่นผู้ชม
และตัวผมเมื่อก่อนที่กินวันละ 2 แก้วน้านนนนนนน
ไม่แปลกใจเลยที่จะเกือบน็อคตายตอนนั้น
เหมือนกินเผื่อตัวเองทั้งชาติไปแล้ว
ส่วนอันนี้เป็นการเปรียบเทียบแบบอลังการที่ผมเซฟเก็บไว้เตือนใจตัวเอง บอกปริมาณน้ำตาลในชาไข่มุกแต่ละยี่ห้อ เห็นภาพชัดมากเช่นกัน ลองดูกันครับ ว่าวันนี้ใครกินยี่ห้อไหนไป หุหุหุ จริงๆก็กินได้นะครับ แต่อย่าบ้ากินทุกวัน วันละสองแก้วแบบผม แล้วก็แนะนำให้สั่งหวานน้อย หวานน้อยมาก ไรงี้เอาจะดีกว่าครับ อย่างน้อยก็สบายใจขึ้น

อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้ได้ครับ
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9620000066193
แต่ไม่ใช่แค่ชาไข่มุกนะครับ ที่มีน้ำตาลสูง เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จริงๆแล้วยังมีอาหารและเครื่องดื่มบางอย่างที่เราๆคิดกัน(ไปเอง)ว่ามันเฮลตี้ กินเยอะๆแล้วดี แต่จริงๆแล้วถ้ากินเยอะก็เป็นภัยเงียบทำลายสุขภาพไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่นพวก “ผลไม้” ครับ
ผลไม้บางชนิดนี่เอาจริงๆคือ น้ำตาล เยอะมากนะ มันมีประโยชน์และอร่อยมากๆก็จริง แต่กินมากเกินไปก็ไม่ดีครับ
อันนี้เป็นปริมาณน้ำตาลในผลไม้แต่ละชนิด (100 กรัม) ตารางนี้อิงมาจากข้อมูลของกรมอนามัยนะครับ ผมเซฟมาจากเว็บ Kapook อีกที
ส่วนตารางนี้คือบอกว่า เราควรกินผลไม้ชนิดไหน ในปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน เพื่อไม่ให้เราได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินความต้องการในแต่ละวันครับ

อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้ได้ครับ
https://health.kapook.com/view114440.html
ดูแล้วหลายคนน่าจะกินเกินกันแน่ๆใช่มั้ย บางอย่างก็ห้ามใจยากซะเหลือเกินครับ อย่างทุเรียนเนี่ย 1 เม็ดเล็ก ใครจะไปทนไหว โดยเฉพาะคนเป็นโรคอ้วน เสี่ยงเบาหวานอย่างผมเนี่ย ควรเลือกกินเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำๆเลยครับ ในเมื่ออยากสุขภาพดีก็ต้องทนครับ ไม่ไหวบอกไหว!!
เดี๋ยวไปต่อกันด้านล่างนะครับ...
ภารกิจลดความอ้วนแบบไฟท์บังคับ หลังจากเกือบตายเพราะชาไข่มุก
แรกเริ่มเดิมทีผมก็เป็นคนรูปร่างใหญ่ หรือที่ใครๆเรียกว่า ไอ้อ้วน อยู่แล้ว จริงๆก็ใช้ชีวิตในร่างอ้วนๆนี้มานานหลายปีจนชิน แล้วช่วงหลัง ตั้งแต่มาทำงานประจำ แล้วยังจะ WFH อีกเนี่ย ยิ่งเพิ่มเลเวลความอ้วนให้ตัวเองเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตคล้ายๆกับผมมั้ย คือทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เพราะถ้ามัวแต่คอยวาสนาก็คงไม่มีเงินหล่นมาจากฟ้าแน่ๆ ผมทำทั้งงานประจำของบริษัทซึ่งมันก็ไม่ค่อยเป็นเวลาเท่าไหร่ เวลาเร่งด่วนหรือมีปัญหาต่อให้เป็นนอกเวลางาน ดึกดื่น หรือวันหยุด ก็ต้องลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ เปิดคอม ทำงานให้ลุล่วง แล้วผมก็ยังรับงานนอกมาทำอีก คือทำทุกอย่างที่ได้เงิน เรียกว่าแทบไม่มีเวลาหายใจ พองานหนักก็นอนไม่เป็นเวลา โต้รุ่งเป็นงานอดิเรก เบลอบ้างมึนบ้างแต่ไม่ได้สนใจอะไร อัดกาแฟเอา ยิ่ง WFH บอกเลยครับว่าคลั่งรักงานมากกว่าเดิม พออยู่บ้านทั้งวัน ก็เท่ากับทำงานทั้งวัน เวลาชีวิตรวนไปหมด บ้านตั้งกว้างแต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แค่ตรงโต๊ะทำงาน เหมือนพอเห็นคอม เห็นงาน แล้วมันปลงไม่ได้ สมองมันคอยหาอะไรทำ กินข้าวก็ไม่เป็นเวลา เพราะคิดว่าจะกินตอนไหนก็ได้ แถมยังเน้นความสะดวกสบายเป็นที่ตั้ง คิดอะไรไม่ออกก็สั่ง Grab บ้าง LINE MAN บ้าง วิ่งเข้าวิ่งออกทุกวัน บางวัน 2 - 3รอบ และสิ่งที่ผมกินบ่อยที่สุดคิดว่าทุกคนคงเดาไม่ยาก ………….. ใช่ครับ “ชาไข่มุก”
จริงๆไม่ใช่แค่ชาไข่มุกหรอก จะมุกหรือไม่มุกผมก็ชอบทั้งนั้น ชานม ชาเขียว ชาไทย กาแฟ น้ำหวานโซดา หรืออะไรเทือกนี้ ขอให้เป็นตระกูลหวานๆผมกินหมด ติดมาก บางทีมีพ่วงขนมปัง ขนมเค้ก ขนมไทยอีก ไอ้พฤติกรรมแบบนี้แหละ ยิ่งทำให้อ้วนขึ้น อ้วนขึ้น อ้วนแบบไม่มีอะไรมากั้น
ผมให้ข้ออ้างกับตัวเองว่า “สมองต้องการกลูโคส” “ถ้าไม่กินของหวาน จะคิดงานไม่ออก”… แต่ก็นั่นแหละครับ แค่ข้ออ้าง จริงๆผมก็แค่อยากกินอะไรอร่อยๆ แล้วก็ไม่เคยสั่งหวานน้อยด้วยนะ ร้านอยากใส่ให้แค่ไหนก็จัดมาเลยครับ ยิ่งหวานยิ่งอร่อย แฟนก็บ่น(เตือน)ตลอดนะ ว่ากินบ่อยเกินไปแล้ว อ้วนเกินไปแล้ว สารพัดโรคจะถามหา ระวังจะอายุไม่ยืนนะ ………… แต่ถามว่ากลัวมั้ย ไม่เลยครับ ยอมรับเลยว่า “ประมาท” สุดๆ คิดแค่ว่าตัวเองอายุก็แค่นี้ ความตายน่ะยังอีกไกล………. ก็เลยใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปี
จนวันหนึ่งผมโดนหามส่ง รพ.
เพราะอยู่ดีๆก็มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เริ่มมองภาพเบลอ ร่างกายไม่มีแรง และแขนขาเริ่มมีอาการกระตุก ผมรีบบอกแฟนให้พาไป รพ. ด่วน ที่ว่าหาม คือหามกันขึ้นรถไปจริงๆ ร่างกายมันไม่มีแม้แต่แรงจะนั่งให้ตรง ระหว่างทางอาการผมแย่ลงเรื่อยๆ จนใกล้ถึง รพ. ผมวูบหมดสติไป
วันนั้นผมยังโชคดีมากที่ไปถึงโรงพยาบาลทัน หมอบอกไม่งั้นอาจเป็นอัมพาต หรือร้ายแรงกว่านี้แล้วก็ได้
ไอ้อาการที่ผมเป็นคือ “ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน” ……. ครับ พอหมอบอกแบบนั้น ผมแทบไม่ต้องถามหมอเลยว่าเพราะอะไร วินาทีนั้นภาพตัวเองตอนเจาะหลอดชาไข่มุก ภาพตอนดูดชาเขียวเย็น ภาพตอนตักท็อฟฟี่เค้กเข้าปากลอยมาเป็นฉากๆ
ยังครับ ยังไม่จบ หมอบอกต่อว่าผมเป็น “โรคอ้วน” และเสี่ยงที่จะเป็น “เบาหวาน” และถ้ามากกว่านี้อาจกระทบไปถึงเส้นเลือดในสมองได้ ซึ่งค่าน้ำตาลผมวันนั้นก็สูงมากๆแล้ว
.
.
.
.
หลังจากคุยกับหมอแล้วพบว่าสาเหตุคือ
- พฤติกรรมการกิน ก็ตามคาดครับ อันนี้สาเหตุใหญ่เลย หมอบอกว่า ชาไข่มุก 1 แก้วมีน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 12 ช้อนชา ซึ่งปกติแล้วคนเราควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า กินชาไข่มุก 1 แก้ว ก็เหมือนกินน้ำตาลไปแล้ว 2 เท่าของที่ร่างกายต้องการ แล้วตัวผมบางวันกิน 2 แก้ว 3 แก้ว ไม่ต้องสืบต่อเลยครับ
แล้วนอกจากพวกน้ำหวาน ขนมหวานแล้ว หมอบอกด้วยว่า “ข้าว” ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไป ปกติผมจะกินข้าวเยอะมาก กินทีเน้นอิ่ม ขอข้าวเยอะๆไว้ก่อน ซึ่งไอ้ข้าวเนี่ยแหละ มันจะถูกแปรเป็นน้ำตาลด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ต้อง ลดแป้ง ลดน้ำตาล อย่างเคร่งครัดเลย
- ความเครียด หมอบอกให้พักเรื่องงานบ้าง แบ่งเวลาทำงาน/เวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน การที่เราทำงานตลอดเวลา เราอาจจะเคยชิน จนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเครียดขนาดไหน บางเรื่องที่ไม่เร่งด่วนหรือฉุกเฉินจริงๆ วางได้ก็วาง ปลงได้ก็ปลง ยิ่งคนที่ทำทั้งงานประจำ และงานเสริม งานนอกแบบผม มีภาวะเครียดไม่รู้ตัวกันแทบทั้งนั้น
- ที่สำคัญคือขาดการออกกำลังกาย อันนี้ก็น่าจะโดนใครหลายๆคนครับ นั่งทำงานทั้งวันทั้งคืน หมดเวลางานก็เพลีย หมดแรง อยากนอนแล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องแบ่งเวลาทำงาน บาลานซ์ชีวิตให้ดี แล้วออกกำลังกายให้มากขึ้น แล้วต้องออกเป็นประจำด้วย
ผมนอนรักษาตัวที่ รพ. อยู่สองสามวันพอหมอเชคอาการแล้วดีขึ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ให้กลับบ้านได้ ผมกลับบ้านมาพร้อมกับโจทย์ใหม่ในชีวิตคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำมาตลอดหลายปี ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ
สิ่งที่ผมต้องทำหลังออกจาก รพ. คือ
1. ออกกำลังกาย
ที่ผ่านมาผมแทบไม่ออกกำลังกายเลย ช่วงที่เริ่มออกใหม่ๆคือเหนื่อยมาก รู้ตัวเลยว่าเรานี่แ_่งโคตรอ่อนแอ แค่เดินในหมู่บ้านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็หอบแล้ว แต่พอเริ่มออกกำลังกายไปสักพัก สม่ำเสมอ ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงมากขึ้น สำหรับคนตัวใหญ่แบบผมหมอบอกให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เป็นประจำ หมอแนะนำให้เริ่มจากเดินเยอะๆ และเพิ่มการวิ่งไปเรื่อยๆทุกวัน หมอบอกว่าการคาร์ดิโออย่าง เดิน หรือวิ่ง เนี่ย เป็นวิธีออกกำลังกายที่ช่วยลดความอ้วนได้ดีมากๆ เพราะมันจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและระบบเผาผลาญของเราได้ เป็นการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจนมาช่วยในการเผาผลาญพลังงาน แล้วตัวพลังงานที่ถูกนำมาใช้ประมาณ 80% เนี่ยก็ดึงมาจากไขมันในร่างกายของเรา ทำให้เห็นผลเรื่องการลดความอ้วนได้นั่นเองครับ และเพื่อความจริงจังในการลดความอ้วนครั้งนี้ ผมเลยไปถอยลู่วิ่งมาซะเลย คิดว่าเสียเงินมาแล้วจะได้มีกำลังใจออกกำลังกายเยอะๆ ที่ผมวิ่งอยู่เป็นรุ่น R800 ซื้อมาเพราะมันดูแข็งแรงดีตัวใหญ่เหมือนในฟิตเนส มีปรับโปรแกรมอะไรได้เหมือนไปวิ่งข้างนอก ต่อเกม zwift เล่นกับเพื่อนได้อะไรได้ ก็จะได้ไม่เบื่อ อีกอย่างที่ผมวิ่งบนลู่เพราะหมอบอกว่ามันจะลดแรงกระแทกได้มากกว่า คนอ้วนหรือตัวใหญ่ๆถ้าวิ่งไม่ดีอาจจะมีปัญหากับเข่าได้ ก็กันไว้ก่อนครับ แล้วก็มีพวกดัมเบลไว้ยกด้วย นอกจากการคาร์ดิโอลดไขมันแล้วการเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงก็สำคัญมากเหมือนกัน ดัมเบลนี่ก็เลือกน้ำหนักที่เหมาะกับตัวเองได้เลยครับ ไม่ต้องไปฝืนยกหนักๆมากก็ได้ครับ
2. เปลี่ยนพฤติกรรมการกินใหม่ทั้งหมด
- กินข้าวให้น้อยลง รวมถึง แป้ง น้ำตาล และไขมันเลวต่างๆ
- ลดการกินอาหารรสหวาน/รสจัดเกินความจำเป็น
- ลด ละ เลิก กินน้ำหวาน ชาไข่มุกของโปรด ถ้าอยากกินจริงๆต้องไม่ให้เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน
- กินข้าวให้เป็นเวลา และปริมาณใกล้เคียงกัน ในแต่ละมื้อ จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดคงที่
ผมเริ่มจากสิ่งที่ชอบที่สุดก่อนเลย คือชานม ชาไข่มุก
แต่ด้วยความที่ผมติดกินชาไข่มุกมาก ก็เลยถามหมอมาว่า ต้องเลิก 100% เลยมั้ย หมอบอกว่า จริงๆถ้าเลิกได้ก็ดี แต่ถ้าอยากกินจริงๆ ก็ให้กินแบบหวานน้อยที่สุด ใส่น้ำตาลน้ำเชื่อมให้น้อยที่สุด วันไหนที่อยากมากๆก็จะชงกินเองที่บ้าน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาแฟนผมสั่งชานมหวานน้อย ก็แทบไม่เคยได้แบบหวานน้อยจริงๆเลยซักครั้ง ฟีลเดียวกับสั่งส้มตำไม่เผ็ด หรือบอกช่างตัดผมว่าเอาออกนิดเดียว นั่นแหละครับ เพราะฉะนั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ในเมื่อเราเปลี่ยนอุดมการณ์แม่ค้า หรือบาริสต้าไม่ได้ ก็ต้องเริ่มที่ตัวเอง พอชงกินเองก็จะเลือกได้ว่าเราจะใส่อะไรเท่าไหร่ อะไรที่ทำลายสุขภาพ เช่น น้ำเชื่อม น้ำตาล นมข้น ครีมเทียม พวกไขมันทรานส์ทั้งหลายทั้งปวงก็ตัดออกให้หมด
อีกอย่างคือผมลดปริมาณข้าวและแป้งในแต่ละมื้อลงครับ หมอบอกไม่ต้องงด แค่ลดก็พอแล้ว ส่วนเวลาจะทำกับข้าวก็ปรุงแบบอาหารคลีนๆ จืดๆ หวานน้อย เค็มน้อย ให้ชินครับ ปัจจุบันก็ลดการสั่งฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารนอกบ้านไปเยอะเลย ทำกินเอง คุมเรื่องโภชนาการได้ดีกว่ามากๆ หลังจากเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองมาพักใหญ่สังเกตได้เลยว่าสุขภาพมันดีขึ้น หาหมอแต่ละทีก็ได้ค่าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นผลของความตั้งใจความมีวินัยของเราเลยมีกำลังใจทำต่อ
ผมมีอันนี้ที่อยากเอามาแชร์ให้ทุกคนได้ดูกันด้วยครับ จะได้เห็นภาพชัดๆไปเลยว่า ทำไมไอ้ชาไข่มุกแก้วเล็กๆแสนอร่อยเนี่ยมันถึงได้ร้ายกาจนัก
ภาพนี้คือ ตารางง่ายๆที่ดูแล้วตาสว่างที่ทำโดย ผมเอง เป็นการเปรียบเทียบปริมาณ “น้ำตาล” ที่องค์การอนามัยโลก แนะนำให้เรากินใน 1 วัน คือไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา ในช่องด้านซ้าย กับอีกช่องเป็น ปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยในชาไข่มุก 1 แก้ว คือประมาณ 48 กรัม หรือ 12 ช้อนชา (บางแก้วบางเจ้าก็น้อยกว่านี้ แต่ที่มากกว่านี้ก็มีเยอะครับ)
ก็คือ 2 เท่าของที่ร่างกายต้องการต่อวันนั่นแหละฮะทั่นผู้ชม
และตัวผมเมื่อก่อนที่กินวันละ 2 แก้วน้านนนนนนน
ไม่แปลกใจเลยที่จะเกือบน็อคตายตอนนั้น
เหมือนกินเผื่อตัวเองทั้งชาติไปแล้ว
ส่วนอันนี้เป็นการเปรียบเทียบแบบอลังการที่ผมเซฟเก็บไว้เตือนใจตัวเอง บอกปริมาณน้ำตาลในชาไข่มุกแต่ละยี่ห้อ เห็นภาพชัดมากเช่นกัน ลองดูกันครับ ว่าวันนี้ใครกินยี่ห้อไหนไป หุหุหุ จริงๆก็กินได้นะครับ แต่อย่าบ้ากินทุกวัน วันละสองแก้วแบบผม แล้วก็แนะนำให้สั่งหวานน้อย หวานน้อยมาก ไรงี้เอาจะดีกว่าครับ อย่างน้อยก็สบายใจขึ้น
อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้ได้ครับ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9620000066193
แต่ไม่ใช่แค่ชาไข่มุกนะครับ ที่มีน้ำตาลสูง เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จริงๆแล้วยังมีอาหารและเครื่องดื่มบางอย่างที่เราๆคิดกัน(ไปเอง)ว่ามันเฮลตี้ กินเยอะๆแล้วดี แต่จริงๆแล้วถ้ากินเยอะก็เป็นภัยเงียบทำลายสุขภาพไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่นพวก “ผลไม้” ครับ
ผลไม้บางชนิดนี่เอาจริงๆคือ น้ำตาล เยอะมากนะ มันมีประโยชน์และอร่อยมากๆก็จริง แต่กินมากเกินไปก็ไม่ดีครับ
อันนี้เป็นปริมาณน้ำตาลในผลไม้แต่ละชนิด (100 กรัม) ตารางนี้อิงมาจากข้อมูลของกรมอนามัยนะครับ ผมเซฟมาจากเว็บ Kapook อีกที
ส่วนตารางนี้คือบอกว่า เราควรกินผลไม้ชนิดไหน ในปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน เพื่อไม่ให้เราได้รับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินความต้องการในแต่ละวันครับ
อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้ได้ครับ https://health.kapook.com/view114440.html
ดูแล้วหลายคนน่าจะกินเกินกันแน่ๆใช่มั้ย บางอย่างก็ห้ามใจยากซะเหลือเกินครับ อย่างทุเรียนเนี่ย 1 เม็ดเล็ก ใครจะไปทนไหว โดยเฉพาะคนเป็นโรคอ้วน เสี่ยงเบาหวานอย่างผมเนี่ย ควรเลือกกินเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำๆเลยครับ ในเมื่ออยากสุขภาพดีก็ต้องทนครับ ไม่ไหวบอกไหว!!
เดี๋ยวไปต่อกันด้านล่างนะครับ...