(ตั้งกระทูใหม่ จากที่ได้แสดงความเห็นในกระทู้อื่น ที่ถามว่า ใครเคยลำบากสุดๆ เกี่ยวกับวิกฤต ผมเห็นว่าแค่เป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับบางท่านลำบากแบบยาวนาน จึงยกมาตั้งกระทู้ตัวเอง และเหตุผลบางประการ)
ผมเคยลำบากสุดๆ ไม่ใช่เดือนเดียว ไม่มีใครช่วยได้ เมื่อพ่อและกฏหมาย ขวางกั่นอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เรียนและศึกษาต่อ ในสิ่งที่ตนเองปารถนาเพื่อพัฒนาความรู้และปัญญา จนต้องอาศัยเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก ตั้งแต่พ่อขัดขวางไม่ให้เรียนต่อในวัยเด็กอย่างยาวนาน และในความลำบากนั้นยังมีความลำบากยิ่งลงไปอีกที่ลำบากยิ่งไม่ใช้เดือนเดียวแต่อีกหลายปี รวมทั้งหมดแล้ว เป็นเวลา 20 กว่าปี
เพียงขอแค่โอกาสเท่านั้น แม้โอกาสเพียงเล็กน้อยที่ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง ก็ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อการได้ศึกษาต่อ แม้เห็นว่าต้องลำบากเจียนตายและกลายเป็นบ้าได้แน่แบบพี่ชายคนโตที่เป็นบ้ามาแล้ว ก็ยอมแลก แม้สิ่งที่ต่อสู้นั้นไม่เห็นโอกาสสำเร็จ และเมื่อสำเร็จเแล้วก็ไม่เห็นทางเพื่อเอาไปทำการงานเลี้ยงชีพได้เพราะกฏหมายไม่ให้โอกาส จึงต้องศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยตนเองพร้อมทั้งเรียนศึกษาปริญญาทางโลก อย่างขาดแคลนแม้ในการกินอยู่ เงินที่มีไม่พอใช้ที่จะกินได้อิ่มในแต่ละเดือน แถมเกิดโรคเจ็บปวดทรมานบวมอักเสบยิ่ง วนเกิดเป็นเวลา 3-7 วันเกือบทุกเดือนไม่กล้าไปหาหมอ จนคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์และเป็นดังเปรตที่ทรมานในคราบของมนุษย์
ก็เพื่อพัฒนาเองคุณสมบัติทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อจะเรียนจบ ก็ได้เข้าวัดปฎิบัติธรรมและออกมาสอบจนจบ แล้วเข้าวัดปฎิบัติธรรมต่อ และปฏิบัติอย่างยิ่งยวดรวมเวลาที่วนเวียนปฏบัติธรรมอย่างยิ่งเกือบ 5 เดือน
จนที่สุดแล้วก็บรรลุผลคือได้รับปริญญาตรีทางโลกที่ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงเลยว่าจะได้รับ เพราะที่ผ่านมาดื้ออดทนเรียนทั้งที่ยังไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาอย่างสมบูรณ์ แค่ได้สมัครเรียนไปก่อน ให้เอาหลักฐานการอนุมัติ มายื้นภายหลังแต่ผมไม่เคยมีอีกเลย ด้วยพ่อขัดขวางทุกทางนั้นเอง
และก็ได้รับปริญญาทางธรรมหลุดพ้นตายพ้นไปจากชีวิต(รุป-นาม)แบบตายไปจริงๆ ด้วยกายและใจ(จิต)พ้นไปจริงๆ เป็นสักขีพยาน ซึ่งเป็นกายสักขีบุคคล..
หลังจากนั้นก็วนเวียนในดงทุกธ์ในโลกธรรมต่อไป อย่างมากและสาหัสต่อไปเพราะเหตุในทางกฏหมายยังผูกยังมัดแน่นอยู่ ต้องลำบากทุระทุเลไปอีกหลายปี เป็น สิบปี
และทำไมผมกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล เอาสิ่งใดเปรียบเทียบหรือเคยตายแล้วหรือ?
เพราะเมื่ออายุ 52 ปี ด้วยปฏิบัติธรรมเจริญสติมาต่อเนื่องไม่เคยทอดธุระมาตลอด จากเมื่อครั้งที่อายุ 23-24 ปีในครั้งนั้น เมื่อเกิดสะโตรกลิ้มเลือด(ไขมัน)อุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัน ขณะกำลังเดินเข้าบ้าน สติปัญญาก็เกิดขึ้นร่วมอย่างฉับไว ว่าเชประกองร่างกายไม่ได้ในวินาทีนั้นจึงอาศัยแรงที่เช บิดพลิกตัวให้หลังไปยันประตูข้างที่ปิดตายไว้อย่างพอดีแก็รงขาเอาเท่ายันไว้แล้วปลอยให้หลังคลูดลงกับประตูอย่างช้าๆ ไม่ให้ตกกระแทรก แต่ก้นยังไม่ถึงพื้นก็สลบหมดความรู้สึกไป เมื่อรู้ก็รู้แบบผัก คือรู้แต่ไม่รู้สึกอะไรไม่เป็นตัวตนไม่รับรู้อะไร นึกคิดไม่ได้ไม่มีความรู้สึก เพียงแต่รู้เหมือนเป็นผัก จากแบบผักก็ค่อยเริ่มรู้สึกแต่ไม่รู้ว่า เป็นใครเป็นอะไร อยู่ที่ใหน คือยังนึกคิดไม่ได้ ยังไม่รับรู้ทางร่างกายใดๆ
เริ่มนึกคิดได้ แต่ยังไม่รับรู้ทางร่างกายใดๆ ก็เอาธรรมมาเตือนตน ให้ทำใจให้สงบมีสติ ไม่ตกใจกลัวและร้อนรน ก็พยายามไปรับรู้ทางร่างกาย ก็ไม่สามารถรู้ได้ จะไปรับรู้ที่ปากก็รับรู้ไม่ได้ จะไปรับรู้ที่ลิ้นก็รู้ไม่ได้ จึงต้องโน้มมาที่ใจ แล้วกลับไปรู้ที่คิดว่า เป็นแขนเป็นขา ก็ไม่รู้สึกได้ จึงค่อยวนไปรับรู้(ย่อเพียงแค่นี้)
สรุป คือสภาวะที่ปฎิบัติธรรมนั้นปรานิตยิ่งไปกว่านี้ ซึ่งพ้นและได้เสมือนหรือตายไปจริงๆ..
และด้วยเหตุนั้นที่สะโตรก เกิดสังเวธธรรมในตนเอง ผมจึงยกมาปฏิบัติธรรมที่ระเอียดปรานีตยิ่งขึ้น แม้ผมกำลังเข้ารักษาในห้องไอชียู
เมื่อออกจากห้องไอชียูคืนแรกขณะกำหนดภาวนาก็เกิดวิสังขาร พ้นไปจากสังขาร วิญญาณ พ้นไปจากชีวิตไปอีกรอบหนึ่ง แล้วเกิดขึ้นปรากฏ จุดเล็กๆ ขยายเป็น รูป-นาน มีชีวิตขึ้นมาใหม่..
และมีผลจากโรคที่เป็นลำบากไปอีกจากหนักไปเบาถึง 4-5 ปี แม้จะหลุดพ้นจากกฏกมายเป็นไทยเท่าเทียมบุคคลอื่น เมื่ออายุเกือบ 36 ปีแล้วก็ตาม..
ดังนั้นการกระทบ จากวิกฤตในฐานะฆราวาส ปี 2540 หรือ แอมเบอร์เก้อ หรือ โควิต จึงเป็นเรื่องเล็กสำหรับผมและครอบครัว เพราะได้เตรียมพร้อมด้วยการมีการใช้ ปัญญาทางโลกได้สร้างไว้อย่างพอสมควรแล้ว แม้จะไม่ได้หวังร่ำรวย เป็นเศรษฐี ด้วยให้เวลาพัฒนาทางโลกน้อยคือพอๆ กับทางธรรม แต่ก็พ้นมาได้แบบพอเพียง
วิกฤตโควิต วิกฤตอัมเบอร์เก้อ วิกฤตปี 2540 กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อทุกข์อย่างอื่นมากกว่าและได้เตรียมตัวแล้ว
ผมเคยลำบากสุดๆ ไม่ใช่เดือนเดียว ไม่มีใครช่วยได้ เมื่อพ่อและกฏหมาย ขวางกั่นอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เรียนและศึกษาต่อ ในสิ่งที่ตนเองปารถนาเพื่อพัฒนาความรู้และปัญญา จนต้องอาศัยเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก ตั้งแต่พ่อขัดขวางไม่ให้เรียนต่อในวัยเด็กอย่างยาวนาน และในความลำบากนั้นยังมีความลำบากยิ่งลงไปอีกที่ลำบากยิ่งไม่ใช้เดือนเดียวแต่อีกหลายปี รวมทั้งหมดแล้ว เป็นเวลา 20 กว่าปี
เพียงขอแค่โอกาสเท่านั้น แม้โอกาสเพียงเล็กน้อยที่ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมง ก็ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อการได้ศึกษาต่อ แม้เห็นว่าต้องลำบากเจียนตายและกลายเป็นบ้าได้แน่แบบพี่ชายคนโตที่เป็นบ้ามาแล้ว ก็ยอมแลก แม้สิ่งที่ต่อสู้นั้นไม่เห็นโอกาสสำเร็จ และเมื่อสำเร็จเแล้วก็ไม่เห็นทางเพื่อเอาไปทำการงานเลี้ยงชีพได้เพราะกฏหมายไม่ให้โอกาส จึงต้องศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยตนเองพร้อมทั้งเรียนศึกษาปริญญาทางโลก อย่างขาดแคลนแม้ในการกินอยู่ เงินที่มีไม่พอใช้ที่จะกินได้อิ่มในแต่ละเดือน แถมเกิดโรคเจ็บปวดทรมานบวมอักเสบยิ่ง วนเกิดเป็นเวลา 3-7 วันเกือบทุกเดือนไม่กล้าไปหาหมอ จนคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์และเป็นดังเปรตที่ทรมานในคราบของมนุษย์
ก็เพื่อพัฒนาเองคุณสมบัติทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อจะเรียนจบ ก็ได้เข้าวัดปฎิบัติธรรมและออกมาสอบจนจบ แล้วเข้าวัดปฎิบัติธรรมต่อ และปฏิบัติอย่างยิ่งยวดรวมเวลาที่วนเวียนปฏบัติธรรมอย่างยิ่งเกือบ 5 เดือน
จนที่สุดแล้วก็บรรลุผลคือได้รับปริญญาตรีทางโลกที่ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงเลยว่าจะได้รับ เพราะที่ผ่านมาดื้ออดทนเรียนทั้งที่ยังไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาอย่างสมบูรณ์ แค่ได้สมัครเรียนไปก่อน ให้เอาหลักฐานการอนุมัติ มายื้นภายหลังแต่ผมไม่เคยมีอีกเลย ด้วยพ่อขัดขวางทุกทางนั้นเอง
และก็ได้รับปริญญาทางธรรมหลุดพ้นตายพ้นไปจากชีวิต(รุป-นาม)แบบตายไปจริงๆ ด้วยกายและใจ(จิต)พ้นไปจริงๆ เป็นสักขีพยาน ซึ่งเป็นกายสักขีบุคคล..
หลังจากนั้นก็วนเวียนในดงทุกธ์ในโลกธรรมต่อไป อย่างมากและสาหัสต่อไปเพราะเหตุในทางกฏหมายยังผูกยังมัดแน่นอยู่ ต้องลำบากทุระทุเลไปอีกหลายปี เป็น สิบปี
และทำไมผมกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล เอาสิ่งใดเปรียบเทียบหรือเคยตายแล้วหรือ?
เพราะเมื่ออายุ 52 ปี ด้วยปฏิบัติธรรมเจริญสติมาต่อเนื่องไม่เคยทอดธุระมาตลอด จากเมื่อครั้งที่อายุ 23-24 ปีในครั้งนั้น เมื่อเกิดสะโตรกลิ้มเลือด(ไขมัน)อุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัน ขณะกำลังเดินเข้าบ้าน สติปัญญาก็เกิดขึ้นร่วมอย่างฉับไว ว่าเชประกองร่างกายไม่ได้ในวินาทีนั้นจึงอาศัยแรงที่เช บิดพลิกตัวให้หลังไปยันประตูข้างที่ปิดตายไว้อย่างพอดีแก็รงขาเอาเท่ายันไว้แล้วปลอยให้หลังคลูดลงกับประตูอย่างช้าๆ ไม่ให้ตกกระแทรก แต่ก้นยังไม่ถึงพื้นก็สลบหมดความรู้สึกไป เมื่อรู้ก็รู้แบบผัก คือรู้แต่ไม่รู้สึกอะไรไม่เป็นตัวตนไม่รับรู้อะไร นึกคิดไม่ได้ไม่มีความรู้สึก เพียงแต่รู้เหมือนเป็นผัก จากแบบผักก็ค่อยเริ่มรู้สึกแต่ไม่รู้ว่า เป็นใครเป็นอะไร อยู่ที่ใหน คือยังนึกคิดไม่ได้ ยังไม่รับรู้ทางร่างกายใดๆ
เริ่มนึกคิดได้ แต่ยังไม่รับรู้ทางร่างกายใดๆ ก็เอาธรรมมาเตือนตน ให้ทำใจให้สงบมีสติ ไม่ตกใจกลัวและร้อนรน ก็พยายามไปรับรู้ทางร่างกาย ก็ไม่สามารถรู้ได้ จะไปรับรู้ที่ปากก็รับรู้ไม่ได้ จะไปรับรู้ที่ลิ้นก็รู้ไม่ได้ จึงต้องโน้มมาที่ใจ แล้วกลับไปรู้ที่คิดว่า เป็นแขนเป็นขา ก็ไม่รู้สึกได้ จึงค่อยวนไปรับรู้(ย่อเพียงแค่นี้)
สรุป คือสภาวะที่ปฎิบัติธรรมนั้นปรานิตยิ่งไปกว่านี้ ซึ่งพ้นและได้เสมือนหรือตายไปจริงๆ..
และด้วยเหตุนั้นที่สะโตรก เกิดสังเวธธรรมในตนเอง ผมจึงยกมาปฏิบัติธรรมที่ระเอียดปรานีตยิ่งขึ้น แม้ผมกำลังเข้ารักษาในห้องไอชียู
เมื่อออกจากห้องไอชียูคืนแรกขณะกำหนดภาวนาก็เกิดวิสังขาร พ้นไปจากสังขาร วิญญาณ พ้นไปจากชีวิตไปอีกรอบหนึ่ง แล้วเกิดขึ้นปรากฏ จุดเล็กๆ ขยายเป็น รูป-นาน มีชีวิตขึ้นมาใหม่..
และมีผลจากโรคที่เป็นลำบากไปอีกจากหนักไปเบาถึง 4-5 ปี แม้จะหลุดพ้นจากกฏกมายเป็นไทยเท่าเทียมบุคคลอื่น เมื่ออายุเกือบ 36 ปีแล้วก็ตาม..
ดังนั้นการกระทบ จากวิกฤตในฐานะฆราวาส ปี 2540 หรือ แอมเบอร์เก้อ หรือ โควิต จึงเป็นเรื่องเล็กสำหรับผมและครอบครัว เพราะได้เตรียมพร้อมด้วยการมีการใช้ ปัญญาทางโลกได้สร้างไว้อย่างพอสมควรแล้ว แม้จะไม่ได้หวังร่ำรวย เป็นเศรษฐี ด้วยให้เวลาพัฒนาทางโลกน้อยคือพอๆ กับทางธรรม แต่ก็พ้นมาได้แบบพอเพียง