“ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด”
ดูกรอานนท์ → พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระอานนท์ เพื่ออธิบายธรรม
ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน → ภิกษุเข้าสมาธิในอรูปฌานขั้นแรก คือ อากาสานัญจายตนะ (เพ่งความว่างไร้ขอบเขตของอากาศ)
ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด → ใช้วิธีเพ่งกำหนดในใจซ้ำ ๆ ว่า “อากาศไม่มีที่สุด” เพื่อทำให้จิตแน่วแน่ในอารมณ์นี้
“เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา”
ก้าวล่วงรูปสัญญา → ไม่รับรู้อาการทางรูป (สิ่งที่มีรูป ร่างกาย วัตถุ) อีกต่อไป
ดับปฏิฆสัญญา → ไม่รับรู้ความขัดเคืองหรือการกระทบใด ๆ
ไม่มนสิการนานัตตสัญญา → ไม่ใส่ใจถึงความหลากหลายหรือความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ
จิตจึงเข้าสู่การเพ่งอากาศว่างไร้ขอบเขตได้ → เพราะละการรับรู้แบบโลก ๆ ที่มีรูป มีความขัดแย้ง และความหลากหลายไปหมดแล้ว
“โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
แม้จะอยู่ในฌาน ก็ยังมีธรรมบางอย่างเหลืออยู่ คือ เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (การจำได้หมายรู้), สังขาร (การปรุงแต่ง), และ วิญญาณ (การรับรู้อารมณ์)
“โดยประการทั้งปวง” → พิจารณาอย่างรอบด้าน ครบถ้วน
“ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน”
นี่คือการเจริญวิปัสสนาแม้อยู่ในฌาน → เห็นขันธ์ที่ยังมีอยู่ในฌานว่า
ไม่เที่ยง → แปรปรวน
เป็นทุกข์ → คงอยู่ได้ด้วยความบีบคั้น
เป็นโรค → เป็นของต้องเสื่อม
เป็นดังหัวฝี → มีเชื้อกิเลสซ่อนอยู่
เป็นดังลูกศร → ทิ่มแทงใจ
เป็นความลำบาก → ต้องอาศัยการปรุงแต่งอยู่เรื่อย
เป็นไข้ → ร้อนรุ่มด้วยตัณหา
เป็นอื่น → ไม่เป็นของควบคุมได้
เป็นของทรุดโทรม → เสื่อมสลาย
เป็นของสูญ → ไม่มีแก่นสาร
เป็นของไม่มีตัวตน → ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา
“เธอให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ”
“ให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น” → ใช้การพิจารณาลักษณะไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา ของขันธ์เหล่านี้ เป็นทางให้จิตก้าวหน้า
“น้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ” → โน้มใจไปสู่ นิพพาน (ซึ่งไม่เกิด ไม่ดับ)
“ว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ ดับสนิท นิพพาน”
ธาตุอมตะนี้ คือ นิพพาน ซึ่งมีคุณลักษณะว่า
1. สงบสังขารทั้งปวง → ไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ
2. สละคืนอุปธิทั้งปวง → ไม่ยึดในขันธ์หรือสิ่งใดเป็นของเรา
3. สิ้นตัณหา → ความอยากหมดสิ้น
4. ปราศจากราคะ → ไม่มีความกำหนัด
5. ดับสนิท → พ้นทุกข์สิ้นเชิง
“เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ”
ถ้าภิกษุยังคงพิจารณาอยู่ในฌานเช่นนี้ → จะ บรรลุพระอรหันต์ (สิ้นอาสวะ)
แต่ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสในชาตินี้ → จะไปเกิดเป็น โอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นทันทีในภพภูมิสูง โดยไม่ต้องปฏิสนธิในครรภ์)
ที่มา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
บรรลุธรรมด้วยอากาสานัญจายตนฌาน
ดูกรอานนท์ → พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระอานนท์ เพื่ออธิบายธรรม
ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน → ภิกษุเข้าสมาธิในอรูปฌานขั้นแรก คือ อากาสานัญจายตนะ (เพ่งความว่างไร้ขอบเขตของอากาศ)
ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด → ใช้วิธีเพ่งกำหนดในใจซ้ำ ๆ ว่า “อากาศไม่มีที่สุด” เพื่อทำให้จิตแน่วแน่ในอารมณ์นี้
“เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา”
ก้าวล่วงรูปสัญญา → ไม่รับรู้อาการทางรูป (สิ่งที่มีรูป ร่างกาย วัตถุ) อีกต่อไป
ดับปฏิฆสัญญา → ไม่รับรู้ความขัดเคืองหรือการกระทบใด ๆ
ไม่มนสิการนานัตตสัญญา → ไม่ใส่ใจถึงความหลากหลายหรือความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ
จิตจึงเข้าสู่การเพ่งอากาศว่างไร้ขอบเขตได้ → เพราะละการรับรู้แบบโลก ๆ ที่มีรูป มีความขัดแย้ง และความหลากหลายไปหมดแล้ว
“โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ”
แม้จะอยู่ในฌาน ก็ยังมีธรรมบางอย่างเหลืออยู่ คือ เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (การจำได้หมายรู้), สังขาร (การปรุงแต่ง), และ วิญญาณ (การรับรู้อารมณ์)
“โดยประการทั้งปวง” → พิจารณาอย่างรอบด้าน ครบถ้วน
“ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน”
นี่คือการเจริญวิปัสสนาแม้อยู่ในฌาน → เห็นขันธ์ที่ยังมีอยู่ในฌานว่า
ไม่เที่ยง → แปรปรวน
เป็นทุกข์ → คงอยู่ได้ด้วยความบีบคั้น
เป็นโรค → เป็นของต้องเสื่อม
เป็นดังหัวฝี → มีเชื้อกิเลสซ่อนอยู่
เป็นดังลูกศร → ทิ่มแทงใจ
เป็นความลำบาก → ต้องอาศัยการปรุงแต่งอยู่เรื่อย
เป็นไข้ → ร้อนรุ่มด้วยตัณหา
เป็นอื่น → ไม่เป็นของควบคุมได้
เป็นของทรุดโทรม → เสื่อมสลาย
เป็นของสูญ → ไม่มีแก่นสาร
เป็นของไม่มีตัวตน → ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา
“เธอให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ”
“ให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น” → ใช้การพิจารณาลักษณะไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา ของขันธ์เหล่านี้ เป็นทางให้จิตก้าวหน้า
“น้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ” → โน้มใจไปสู่ นิพพาน (ซึ่งไม่เกิด ไม่ดับ)
“ว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ ดับสนิท นิพพาน”
ธาตุอมตะนี้ คือ นิพพาน ซึ่งมีคุณลักษณะว่า
1. สงบสังขารทั้งปวง → ไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ
2. สละคืนอุปธิทั้งปวง → ไม่ยึดในขันธ์หรือสิ่งใดเป็นของเรา
3. สิ้นตัณหา → ความอยากหมดสิ้น
4. ปราศจากราคะ → ไม่มีความกำหนัด
5. ดับสนิท → พ้นทุกข์สิ้นเชิง
“เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ”
ถ้าภิกษุยังคงพิจารณาอยู่ในฌานเช่นนี้ → จะ บรรลุพระอรหันต์ (สิ้นอาสวะ)
แต่ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสในชาตินี้ → จะไปเกิดเป็น โอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นทันทีในภพภูมิสูง โดยไม่ต้องปฏิสนธิในครรภ์)
ที่มา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ