[SR] รีวิวร้านอาหาร Le Lapin ของเชฟแก้ว แชมป์จาก Masterchef SS1 & เชฟผึ้ง SS2 l ธีม Alice in Wonderland รูปแบบ Animation 3d

สวัสดีค่า เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาเรากับเพื่อนมีโอกาสได้ไปกินอาหารที่ร้าน Le Lapin (อ่านว่า เลอลาแปง แปลว่า กระต่าย) ของเชฟแก้ว ผู้ชนะจากรายการ Masterchef Thailand ซีซั่นที่ 1 และเชฟผึ้ง ผู้เข้าแข่งขันจากซีซั่นที่ 2 ที่ทั้งคู่ร่วมกันเปิดขึ้นมา แล้วเราเห็นพันทิปยังไม่มีใครมารีวิว ก็เลยลองมาลงให้เป็นข้อมูลสำหรับใครที่สนใจนะคะ 

**คำเตือนระวังโดนสปอย** ตรงส่วนท้ายกระทู้เรามีรวบรวมคลิปที่ถ่ายไว้ตอนไปที่ร้านมาไว้ในคลิปเดียว ใครอยากเห็นบรรยากาศร้านกับตอนกินอาหารก็สามารถดูได้ค่ะ แต่ว่าในคลิปจะมีตัวอนิเมชั่นอยู่บางส่วน ใครไม่อยากโดนสปอยเนื้อหาอนิเมชั่นก็เลี่ยงไปก่อนนะคะ

บรรยากาศร้าน Le Lapin ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่ารัก

เมื่อเข้ามาด้านในจะเจอมุมรับรองแขกให้นั่งพักก่อนได้ 

มุมนี้น่ารักดีเลยถ่ายเก็บไว้หน่อย 

บริเวณโต๊ะรับประทานอาหาร สามารถมองเห็นห้องครัวที่ใช้เตรียมอาหารได้

เมื่อเข้ามาห้องด้านในจะเจอตู้แช่ไวน์อยู่

เลยห้องเก็บไวน์ จะมีมุมโต๊ะเครื่องแป้ง กับกระจกตั้งไว้ เผื่อใครอยากเช็คความเรียบร้อยของตัวเอง

ของตกแต่งสไตล์วินเทจบนโต๊ะเครื่องแป้ง ประตูที่สะท้อนอยู่ในกระจก คือประตูห้องน้ำค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปเต็มๆ มา

ภายในห้องน้ำตกแต่งสวยงาม และก็มีกลิ่นหอมน่านั่งแช่มาก

มีฝักบัวอาบน้ำด้วยอีกด้านนึง ชอบความวินเทจของตัวฝักบัวเห็นแล้วอยากลองใช้


ตัวร้านอาหาร Le Lapin จะเสิร์ฟอาหาร Fine Dining (พวกอาหารหรูๆ หลายคอร์ส ที่ได้ยินกล่าวถึงบ่อยๆ ในรายการน่ะค่ะ) ในรูปแบบ Private Dining คือวันนึงจะรับลูกค้าแค่ 1 กลุ่มที่จองไว้เท่านั้น ขั้นต่ำคือ 2 คน มากสุดที่รับได้คือ 8 คน ยิ่งมากินพร้อมกันหลายคน ราคาต่อหัวก็ยิ่งถูกลง เพราะฉะนั้นถ้าสามารถรวมกลุ่มกับเพื่อนมากินเป็นกลุ่มใหญ่ก็จะดีงามมาก เพราะเราสามารถเฮฮาปาร์ตี้ได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวรบกวนแขกคนอื่น เพราะทั้งร้านมีลูกค้าแค่กลุ่มเดียว


นอกจากการจะได้กินอาหารแบบส่วนตัวสุดๆ แล้ว ความพิเศษไม่เหมือนใครอีกอย่างที่น่าสนใจมากๆ เลยก็คือการนำเสนอเรื่องราวในแต่ละจาน ทางร้านได้ใช้ อนิเมชั่น 3D ฉายลงมาบนโต๊ะอาหารให้ลูกค้าที่มากินได้ติดตามเรื่องราวไปตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวกระต่ายน้อยน่ารักมาสคอตของร้าน (มีถ่ายคลิปเอาบางส่วนไว้ ใครอยากดูไปส่องได้ที่ท้ายกระทู้ค่ะเดี๋ยวแปะไว้ให้)



บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร วันนี้มากัน 6 คนทางร้านจึงจัดไว้ 6 ที่ค่ะ
ภาพที่อยู่บนจานฉายจากเครื่องฉายที่ติดอยู่ด้านบน เอาไว้ใช้ฉายพวกอนิเมชั่น 3d ที่จะได้รับชมในตอนทานอาหาร


ตัวอนิเมชั่น 3D นี่ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีงามน่ารักมุ้งมิ้งกว่าที่คาดหวังไว้ตอนแรกมาก คุยกับที่ร้านได้ความว่าตัวเชฟผึ้งก่อนที่จะมาสมัครแข่งทำอาหารก็มีเปิดบริษัททำพวกอนิเมชั่นอยู่แล้ว ผลงานอนิเมชั่นที่เราเคยดูแล้วเพิ่งรู้ว่ามาจากบริษัทของเชฟผึ้งทำก็มี ภาพยนตร์เรื่องนาคี 2 อย่างพญานาคที่อลังการงานสร้างมาก เป็นต้น 


(มีสัมภาษณ์เชฟผึ้งนาทีที่ 17.36 เผื่อใครสนใจ ลองเสิร์ซหาอ้างอิงแล้วเจอพอดีค่ะ)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ที่ร้าน Le Lapin จะมีธีมเรื่องราวและเมนูเปลี่ยนเรื่อยๆ โดยเดือน ก.ย. ที่เพิ่งเปิดร้านอย่างเป็นทางการนั้น ทางร้านใช้ธีม Alice in Wonderland เพื่อเป็นการแนะนำตัวมาสคอตกระต่ายน้อยของทางร้านด้วย เท่าที่สอบถามเชฟแก้วมาเห็นว่าทางร้านจะใช้ธีมนี้เสิร์ฟอาหารประมาณ 4 เดือน แล้วก็เปลี่ยนธีมใหม่ (ตัวเมนูอาหาร และอนิเมชั่นก็จะเปลี่ยนใหม่ตาม) วันที่เราไปกินเชฟแก้วก็บอกว่ากำลังเริ่มคิดเมนูกับคอนเซ็ปธีมถัดไปแล้ว ฉะนั้นใครที่สนใจ หรือชอบ Alice in Wonderland ห้ามพลาดเด็ดขาดนะคะ เพราะไม่รู้ว่าถ้าเปลี่ยนธีมแล้วจะมีวนกลับมาอันนี้อีกมั้ย (ลืมถามเชฟแก้ว ขอโทษทีค่ะ แหะๆ มัวแต่ถ่ายรูปกับกิน ฮ่าๆ)


สำหรับเรทราคาและข้อมูลเบื้องต้นก็ตามนี้เลยค่ะ (อันนี้ก๊อปแปะจากที่ร้านให้ข้อมูลมานะคะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วันที่เราไปกิน เราไปกัน 6 คนค่ะ พยายามหาคนที่ 7 อยู่แต่หาไม่ได้ เลยช่างมัน ได้ต่อหัวคนละ 5,500.- ก็พอไหว ไม่ได้สั่งไวน์แพร์ริ่งจากทางร้านนะคะ งบได้แค่นี้ ฮ่าๆๆ ฉะนั้นคงจะรีวิวในส่วนของไวน์ไม่ได้ ในใจคืออยากลองชิมฝีมือของแชมป์ระดับประเทศสักที ดูในรายการก็หิวน้ำลายสอเหลือเกินนนนนน 


สิ่งที่ต้องชมเลยคือความใส่ใจในลูกค้าของทางร้าน คือจะมีสอบถามล่วงหน้าก่อนมากินเลยว่าลูกค้าคนไหนแพ้อาหาร หรือกินอะไรไม่ได้ไหม แล้วทางร้านจะจัดเป็นเมนูอื่นให้แทน 

วันที่เราไปกินมีเพื่อนคนนึงไม่กินเนื้อวัว ทางร้านก็จัดฟัวกราส์ (ตับห่าน) มาให้แทน ซึ่งความจริงเราเป็นคนที่ไม่ชอบกินฟัวกราส์ เพราะเคยลองสั่งที่อื่นมากินแล้วมันแฉะๆ + เหม็นคาวมาก เลยขยาดไม่กินอีกเลย แต่นี่เห็นเป็นฝีมือการทำจากร้านของระดับแชมป์ Masterchef ไง เลยอยากลองของหน่อย ฮ่าๆ ปรากฎว่ามันเวิร์คมากๆ เนื้อข้างนอกกรอบกรุบ ข้างในนิ่ม รสชาติหอมหวานมัน ไม่มีรสชาติคาวใดๆ สักนิด จนไม่อยากเชื่อเลยว่ามันคือฟัวกราส์ที่เราเคยแหวะคายทิ้งแล้วไม่แตะอีก 

สุดท้ายเพื่อนเราต้องหั่นแจกทั้งโต๊ะชิมเพราะทุกคนชอบรสชาติมาก แลกกับเนื้อวากิวของทุกคนแทน (เพื่อนคนนี้ตอนแรกบอกไม่กินเนื้อวัว แต่พอลองชิมเนื้อดูปรากฎว่าชอบ เลยเกิดการแลกเปลี่ยนกันขึ้น)

จานฟัวกราส์ของเพื่อน เห็นรูปแล้วอยากกินอีก มันดีงามมากๆ



การเดินทางมาร้านถ้าใครมีรถส่วนตัวจะดีมาก เพราะร้านตั้งอยู่ไกลจาก BTS และ MRT (สามารถเสิร์ซคำว่า Le Lapin Bangkok ในแผนที่ได้ ทางร้านมีปักหมุดไว้แล้ว)

เรากับพี่ แล้วก็เพื่อนอีกคนนึงไม่มีรถ เลยใช้วิธีนั่ง MRT ไปลงสถานีลาดพร้าว แล้วเรียก Grab ไปส่งที่ร้านเอา เนื่องจากเป็นวันศุกร์เวลาเลิกงาน มีฝนตกด้วย รถเลยติดพอสมควร โดนค่ารถไป 185.- หาร 3 ก็คนละ 60 กว่า พอได้อยู่

ร้าน Le Lapin ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านชวนชื่น(เก่า) รามอินทรา65



เมื่อไปถึงทางร้านก็ต้อนรับด้วย Welcome Drink ชื่อ Yellow Ruby สีสวยสมชื่อเลย เป็นน้ำตุ๋นลูกแพรในแชมเปญและไวน์ขาว มีเปลือกส้มเพิ่มความสดชื่น กับแท่งอบเชยเพิ่มสัมผัสของรสชาติ (ตอนแรกงงว่าคือแท่งอะไร หลอดดูดหรือเปล่า เกือบปล่อยโก๊ะดูดละ ดีที่แอบถามเพื่อนก่อน)


จริงๆ มี 2 สี แต่เผลอคนไปแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ (มือพี่ชายค่ะ ฮ่าๆ)


อันนี้ทางร้านมีแสดงทริคเล็กน้อยสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจก่อนชิมน้ำ (แต่เราจะไม่เปิดเผยละกัน อิอิ) ซึ่งมีรสชาติหวานหอมสดชื่นอร่อยมาก จนเรายกดื่มหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่วิ สามารถเติมได้อีก แต่เรากลัวอิ่มน้ำแล้วจะกินอาหารไม่ไหวเลยปฏิเสธไป

เมื่อพร้อมแล้วก็มาประจำที่ที่โต๊ะอาหารได้เลย ที่นั่งแต่ละที่จะมีป้ายชื่อของเราวางเอาไว้ (ตอนมาถึงร้านทางร้านมีถามก่อนว่าใครจะนั่งไหนแล้วเอาป้ายวางไว้ให้) 

มีแผ่นเมนูที่ออกแบบออกมาเหมือนกับแผนที่ล่าสมบัติ กราฟฟิคสวยงาม สำหรับเรื่องราวในวันนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ตอน แต่ละตอนก็จะมีชื่อธีมย่อย กับรายการอาหารที่จะเสิร์ฟ ซึ่งแผนที่นี้เราจะได้กลับบ้านเป็นที่ระลึกค่ะ





โดยวันนี้เชฟผึ้งจะเป็นตัวหลักในการดำเนินรายการวันนี้ ส่วนเชฟแก้วจะเป็นคนคุมทีมทำอาหารมาเสิร์ฟพวกเราที่โต๊ะ พอไฟหลี่แสงลง ฉากพื้นโต๊ะก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเบาๆ พร้อมกับที่จานเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟ

อันนี้คือเมี่ยงส้มโอ ส้มโอจากอัมพวา เสิร์ฟพร้อมกับน้ำเมี่ยงที่เคี่ยวจากน้ำตาลโตนดและสมุนไพรไทย กลีบดอกดาหลาออแกนิค กับดอกหางนกยูงที่วางอยู่อีกดอกสามารถกินได้ รสชาติหวานอมเปรี้ยวสดชื่นๆ กินเข้าไปแล้วทำให้อยากกินอย่างอื่นต่อเลย เชฟบอกว่าช่วยเปิดประสาทรับรส และทำให้พร้อมรับประทานอาหารในคอร์ทที่กำลังจะมาถึง



พิมพ์เพลินเลย รู้ตัวอีกทีจะเกิน 10,000 ตัวอักษรแล้ว เดี๋ยวแปะคลิปบรรยากาศร้านไว้ให้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปรีวิวตอนกินต่อใน comment ข้างล่างนะคะ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ชื่อสินค้า:   Le Lapin Bangkok
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างแต่ได้รับผลประโยชน์อย่างอื่น เช่น บัตรกำนัล ค่าเดินทางตามจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่