สวัสดีจ้า เพื่อนๆทุกคน
วันนี้กลับมาอีกแล้วพร้อมร้านใหม่
ร้านนี้บอกเลยว่าดีมากกก ดีจนอยากรีบมาเล่า มาชวนทุกๆคนให้ได้ไปกัน



ร้านที่เราจะพาไปวันนี้คือ
“ร้านอาหารบ้านหมอมี”
ร้านอยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 3 ใกล้ๆกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
วิธีการไปก็ง่ายมาก นั่ง BTS ไปลงสนามกีฬาแห่งชาติ ออกทางออกเบอร์ 1 เดินไปเรื่อยๆร้านจะอยู่ในซอยข้างๆโรงแรม Siam@Siam เดินเข้าไปร้านอยู่ท้ายซอยจ้า
ร้านนี้เราเจอโดยบังเอิญจากการเห็นเพื่อนในเฟสบุคโพสรูปลง
เห็นว่าอยู่ไม่ไกล แถมไปง่ายเลยลองซะหน่อย เพราะส่วนตัวเราชอบกินอาหารไทยม้ากกกก
. . . . . . . .
พอไปถึงร้าน คือแบบ เฮ้ยยย สวยมากกก มีความวินเทจเบาๆ

พอไปถึงคุณพี่พนักงานก็พาเราขึ้นไปนั่งด้านบน
ระหว่างนั้นก็เดินผ่าน
”ห้องกาแฟ” ที่นี่เค้ามีห้องกาแฟด้วยนะ เผื่อว่าใครอยากมานั่งกินกาแฟเฉยๆ
แค่ห้องแรกก็รับรู้ได้ถึงความวินเทจ ทั้งพื้นเอย โซฟาเอย
คุณพี่พนักงานบอกว่า โซฟาแดงตัวนั้นเป็นของเก่าของบ้านหลังนี้เลย
จริงๆแล้วไม่ใช่แค่โซฟานะ พื้นด้วย บันไดด้วย เป็นของเก่าของโบราณ
เดินพ้นจากห้องกาแฟมาก็มาตรงโถงกลาง
คือเรื่องของเรื่องเนี่ย บ้านหลังนี้ เป็นบ้านของหมอมีนั่นเอง
หรือที่ใครหลายๆคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ
“ยานัดหมอมี” หรือ “ยาอุทัยหมอมี”
. . . . . . . .
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของหมอมี ประวัติยาวนานมากกกตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ที่เห็นยังสวยๆอยู่เพราะว่าเค้าปรับปรุง ทำสีใหม่ แต่ว่าหลายๆอย่างในบ้านยังคงอยู่เหมือนเดิมเลย
ตรงโถงก็จะมีรูปวาดที่แสดงแผนที่
“แยกหมอมี” ด้วยนะ

ก่อนขึ้นชั้นบน จะเจอห้องที่เป็นห้องโต๊ะกลม โดยโต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะทานอาหารของหมอมีที่ใช้ทานอาหารด้วย
โต๊ะตัวนี้อยู่ในห้องส่วนตัวด้านล่าง ถ้าใครอยากมาใช้สามารถโทรจองได้เลย
แถมที่นี่เค้าเหมือนเป็นกึ่งๆพิพิธภัณฑ์เลย คือถ้าจุดไหนมีประวัติศาสร์ มี story เค้าก็จะมีป้าย มีเรื่องราวให้ได้อ่าน

แต่อย่างนึงที่ประทับใจมากกกกก คือพี่พนักงาน
ทุกคนดูมีความภูมิใจที่ได้ทำงานที่ร้านนี้ เค้าเล่าเรื่องราวนู่นนี่ให้ฟังเหมือนเป็นบ้านของเค้าเอง แบบว่าไม่ใช่เล่าเพราะว่าเป็นหน้าที่ อันนี้ชื่นชมจริงๆ
เพราะขนาดวันที่เราไปเนี่ย เราไปถึงก่อนเพื่อนเรา พี่เค้ารู้ว่ารอเพื่อน เค้าก็พาแวะนู่นดูนี่ เล่าเรื่องให้เราฟังเยอะเลย
. . . . . . . .
อีกอย่างที่อยากแนะนำคือที่นี่มีห้องที่เป็นห้องส่วนตัวหลายโซนมากเลย แต่ละห้องก็สวย
ส่วนเรื่องว่าแต่ละห้องรับได้กี่คน อยากจองห้องอะไรยังไง โทรถามที่ร้านเลยดีกว่า เพราะเราจำไม่ได้จริงๆ
ห้องเยอะมากกก เอารูปมาฝากพอ 555
ปล.พี่เค้าบอกว่าห้องส่วนตัวเค้าไม่ได้ชาร์จเพิ่มนะ ก็แค่มาตามจำนวนที่แต่ละห้องรับได้
ก็ใช้บริการได้เลย
. . . . . . .
และแล้วก็เดินมาถึงโต๊ะที่เรานั่งวันนี้ หลังจากได้ทัวร์ร้าน 1 รอบเต็ม 5555
ทุกมุมที่นี่คือสวยหมด แต่เราขอแอบเลือกตรงนี้ เพราะเราชอบบรรยากาศตรงนี้มาก ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นห้องส่วนตัว แต่ว่าให้ฟีลส่วนตั๊วส่วนตัว

พอนั่งโต๊ะ ระหว่างรอเพื่อน พี่ก็เอา welcome drink มาให้
เป็นน้ำเย็นใส่ยาอุทัยหมอมี เสิร์ฟเป็นแก้วเล็กๆ


และในที่สุด หลังจากรออยู่นานสองนาน เพื่อนเราก็มาซะที
มาในชุดฟิตเนสเลยเด้อ
อาจจะดูไม่ค่อยเข้ากะสถานที่ เพราะเราไม่ได้บอกล่วงหน้า ว่าร้านเป็นอะไรยังไง 555

หลังจากสั่งอาหารแล้ว และรออาหารคุณพี่พนักงานอีกคน ย้ำว่าอีกคน !
ก็พาเพื่อนเราดูนู่นนี่อีกรอบ
ต้องบอกจริงๆว่าพนักงานที่นี่ดีม้ากกกกก เฟรนลี่ และเซอร์วิสยอดเยี่ยมมาก

ก่อนที่จะไปถึงอาหาร ขอแนะนำเครื่องดื่มก่อน
Signature ของที่นี่เลยคือ
“หมอมีไทยคูลลิ่ง”
เรียกได้ว่าท้าทายมากกก 555
คือเอาจริงคนสมัยใหม่อาจจะไม่คุ้นกับน้ำยาอุทัยเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะลองเปิดใจดูกัน
แล้วเราก็พบว่า.... เห่ยย โอเค !! อร่อยดี
มันมีกลิ่นอุทัยอ่อนๆ รสเปรี้ยวอมหวานของสตรอเบอร์รี่บวกกับเยลลี่อุทัยที่ท้อปมาด้านบน
มันเข้ากันดี เป็นรสที่ไม่เคยกินมาก่อน ทันสมัยแบบไทยๆ

. . . . . . . .
อาหารก็มาแล้ว
วันนี้เราสั่งมาทั้งหมด 4 อย่าง
ซึ่งเป็น 4 อย่างที่เป็นเมนูแนะนำหมดเลยยย
. . . . . . . .
เริ่มที่เมนูแรกกันก่อน
อันนี้ออกจะเบสิคหน่อย แต่วันนั้นไม่รู้เป็นอะไร อยากกิน 555
นั่นก็คือ
“ข้าวผัดต้มยำกุ้ง”
จานนี้รสชาติกลางๆ รสไม่จัด แต่ว่าไม่จืด

. . . . . . . .
จานต่อมา
“ยำแหนมสด”
คือที่สั่งเมนูนี้เพราะว่าเค้าบอกว่า ยำแหนมสดของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น
ก็เลยลองดูว่าไม่เหมือนยังไง

แล้วก็คือไม่เหมือนที่อื่นจริงๆด้วย
คือถึงชื่อจะบอกว่ายำแหนมสด แต่ว่า ไม่ใช่ยำแหนมแท่งๆที่เค้าขายในเซเว่นนะ
คือหน้าตาจะมาเป็นรูปหมูสับที่ดูเหมือนหมูสับธรรมดา แต่ว่ารสชาติจะมีความเหมือนยำแหนมทอด แต่ว่าไม่ได้ทอดอะ
เป็นยำแหนมสด ..... อธิบายยากเนอะ 555
แต่แนะนำให้ลอง เพราอร่อยดี เป็นเมนูที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน
เป็นจานที่มีสมุนไพรอยู่เยอะ ดูแล้วรู้ว่าเป็นอาหารโบราณอะ

ส่วนเมนูต่อมา ของโปรดเราอีกแล้ว
“ยำถั่วพลู” ซึ่งจริงๆแล้วเมนูนี้เป็นเมนูโบราณ แต่อาจจะหากินได้ไม่ยากในตอนนี้
แต่ว่ามีไม่กี่ร้านที่ทำออกมาได้รสชาติแบบโบราณ ร้านนี้ทำได้ดีนะ
ของแท้ต้องมีหัวกะทิอยู่ที่ด้านบน

. . . . . . . .
และในส่วนของเมนูสุดท้าย
เอาจริงๆเมนูนี้เราเคยได้กินมาแล้วครั้งสองครั้ง
เป็นเมนูที่หากินไม่ค่อยง่ายเหมือนกัน มีไม่กี่ที่ที่ยังทำขายอยู่ ส่วนใหญ่จะต้องเป็นร้านอาหารไทยโบราณจริงๆ
นั่นก็คือ
“แกงรัญจวน” สามารถเลือกเนื้อสัตว์ได้นะว่าจะใส่อะไร
วันนี้เราเลือกกระดูกหมู
ตอนเสิร์ฟจะมาพร้อมพริกขี้หนูสด เผื่อว่าชอบทานรสจัดขึ้นมาหน่อย

พี่พนักงานบอกว่าที่มาที่ไปของชื่อแกงรัญจวนนี้มาจากกลิ่น
เป็นกลิ่นที่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งแกงนี้มีความพิเศษเฉพาะตัว คือใส่กะปิลงไปด้วย ถือเป็นจุดเด่น
แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องกลิ่นกะปินะ เพราะว่าถ้าใครรู้จักอาหารไทยโบราณดี ก็แน่ใจได้เลย ว่าปกติกะปิที่ดีจะหอม ไม่ได้เหม็น
ที่นี่เค้าจะเอากะปิไปย่างก่อนที่จะเอามาทำ เลยทำให้แกงไม่ได้มีกลิ่นกะปิแรง แต่ว่ามีกลิ่นพอหอม เรียกน้ำย่อย


. . . . . . . .
อาหารมาครบแล้วจ้า
ขอรูปรวมสักรูปสองรูป

ในส่วนของแกงรัญจวนนั้น
อร่อยจริงๆจะพี่จ๋า.......
กระดูกนิ่ม เนื้อร่อนไม่ติดกระดูกแต่ไม่ถึงกับเละ ดีงามมม

. . . . . . . .
ในส่วนของยำแหนม ก็ดีงาม
กินกับข้าวอร่อยมากกก

อะ และแน่นอน โบราณว่าไว้ กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่
นี่กลัวมาก เลยสั่งกันซะเยอะเลย 5555
เริ่มที่อันนี้เลยย Signature ของร้าน
“หมอมีไทยเชอเบท”
อันนี้ก็เป็นอีก 1 อย่างที่แนะนำว่าต้องสั่ง
มาถึงบ้านของหมอมีทั้งที ไม่สั่งอุทัยหมอมีได้ยังไง
เป็นไอศกรีมเชอเบทที่ไม่ได้ใส่แต่อุทัยนะ แต่ว่ามีผลไม้อยู่ด้วย แต่ว่าไม่แน่ใจว่ารสผลไม้อะไร
เราว่ามันเข้ากับอุทัยดีได้ดี คือแบบรสมีมิติขึ้นมาเลย

ตัวต่อมา เป็นขนมไทยอีกเช่นเคย
“ข้าวต้มน้ำวุ้น”
ต้องออกตัวก่อนว่านี่ไม่สันทัดข้าวต้มน้ำวุ้นเลยจริงๆ
แต่จากการได้ชิมแล้ว กินง่าย นุ่มดีแล้วก็ไม่หวานมาก

แต่ขนมหวานอันสุดท้าย
อันนี้ต้องบอกเลยว่าเรากินไปได้แค่คำเดียว !!!
ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ
เพื่อนเรานี่แหละ ผู้ที่พอได้ยินชื่อ
“มะม่วงหาวมะนาวโห่” ครั้งแรก แล้วถามว่าคืออะไรอะ
แต่พอกินแล้ว บอกว่า “เฮ้ย เราขอเลยได้ป่ะ ?”
. . . . . . . .
แต่ในเมื่ออกตัวขนาดนี้แล้ว ก็เอาเลยจ้า
ถ้าให้รีวิวจาก 1 คำที่ชิมไป รสชาติสดชื่อ หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นอุทัยเบาๆให้สดชื่อ ถือว่าควรสั่ง เพื่อการปิดงานอย่างสมบูรณ์แบบ

ก่อนกลับบ้าน เดี๋ยวจะพาไปเข้าห้องน้ำก่อน 5555
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่ห้องน้ำที่นี่วินเทจมาก
กระเบื้องห้องน้ำนี่เป็นกระเบื้องสมัยโบราณของแท้ที่เค้าสั่งมาจากเมื่อนอกนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าประเทศอะไร
ใครไปก็ถามพนักงานเค้าได้เลย 555

ฝากไว้ด้วยกับร้านนี้
ถือว่าอวยกันแบบไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลย 555
เราชอบเพราะอาหารอร่อย บรรยากาศดี พนักงานดีมากกก
แนะนำเลย
. . . . . . . .
ไปตามกันได้ “ร้านอาหารบ้านหมอมี”
ร้านอยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 3 ใกล้ๆกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
วิธีการไปก็ง่ายมาก นั่ง BTS ไปลงสนามกีฬาแห่งชาติ ออกทางออกเบอร์ 1 เดินไปเรื่อยๆร้านจะอยู่ในซอยข้างๆโรงแรม Siam@Siam เดินเข้าไปร้านอยู่ท้ายซอยจ้า
เปิดทุกวัน 11.00-21.00 น.
อยากไป โทรไปจองโต๊ะ หรือจองห้องส่วนตัวได้เลยที่เบอร์ 096 864 4222
วันนี้ไปละ บาย
[CR] [Journey of PP] กินอาหารไทยแท้แบบมี story ในบ้านโบราณกลางกรุงเทพ “ร้านอาหารบ้านหมอมี”
วันนี้กลับมาอีกแล้วพร้อมร้านใหม่
ร้านนี้บอกเลยว่าดีมากกก ดีจนอยากรีบมาเล่า มาชวนทุกๆคนให้ได้ไปกัน
ร้านที่เราจะพาไปวันนี้คือ “ร้านอาหารบ้านหมอมี”
ร้านอยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 3 ใกล้ๆกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
วิธีการไปก็ง่ายมาก นั่ง BTS ไปลงสนามกีฬาแห่งชาติ ออกทางออกเบอร์ 1 เดินไปเรื่อยๆร้านจะอยู่ในซอยข้างๆโรงแรม Siam@Siam เดินเข้าไปร้านอยู่ท้ายซอยจ้า
ร้านนี้เราเจอโดยบังเอิญจากการเห็นเพื่อนในเฟสบุคโพสรูปลง
เห็นว่าอยู่ไม่ไกล แถมไปง่ายเลยลองซะหน่อย เพราะส่วนตัวเราชอบกินอาหารไทยม้ากกกก
. . . . . . . .
พอไปถึงร้าน คือแบบ เฮ้ยยย สวยมากกก มีความวินเทจเบาๆ
พอไปถึงคุณพี่พนักงานก็พาเราขึ้นไปนั่งด้านบน
ระหว่างนั้นก็เดินผ่าน ”ห้องกาแฟ” ที่นี่เค้ามีห้องกาแฟด้วยนะ เผื่อว่าใครอยากมานั่งกินกาแฟเฉยๆ
แค่ห้องแรกก็รับรู้ได้ถึงความวินเทจ ทั้งพื้นเอย โซฟาเอย
คุณพี่พนักงานบอกว่า โซฟาแดงตัวนั้นเป็นของเก่าของบ้านหลังนี้เลย
จริงๆแล้วไม่ใช่แค่โซฟานะ พื้นด้วย บันไดด้วย เป็นของเก่าของโบราณ
เดินพ้นจากห้องกาแฟมาก็มาตรงโถงกลาง
คือเรื่องของเรื่องเนี่ย บ้านหลังนี้ เป็นบ้านของหมอมีนั่นเอง
หรือที่ใครหลายๆคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ “ยานัดหมอมี” หรือ “ยาอุทัยหมอมี”
. . . . . . . .
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของหมอมี ประวัติยาวนานมากกกตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ที่เห็นยังสวยๆอยู่เพราะว่าเค้าปรับปรุง ทำสีใหม่ แต่ว่าหลายๆอย่างในบ้านยังคงอยู่เหมือนเดิมเลย
ตรงโถงก็จะมีรูปวาดที่แสดงแผนที่ “แยกหมอมี” ด้วยนะ
ก่อนขึ้นชั้นบน จะเจอห้องที่เป็นห้องโต๊ะกลม โดยโต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะทานอาหารของหมอมีที่ใช้ทานอาหารด้วย
โต๊ะตัวนี้อยู่ในห้องส่วนตัวด้านล่าง ถ้าใครอยากมาใช้สามารถโทรจองได้เลย
แถมที่นี่เค้าเหมือนเป็นกึ่งๆพิพิธภัณฑ์เลย คือถ้าจุดไหนมีประวัติศาสร์ มี story เค้าก็จะมีป้าย มีเรื่องราวให้ได้อ่าน
แต่อย่างนึงที่ประทับใจมากกกกก คือพี่พนักงาน
ทุกคนดูมีความภูมิใจที่ได้ทำงานที่ร้านนี้ เค้าเล่าเรื่องราวนู่นนี่ให้ฟังเหมือนเป็นบ้านของเค้าเอง แบบว่าไม่ใช่เล่าเพราะว่าเป็นหน้าที่ อันนี้ชื่นชมจริงๆ
เพราะขนาดวันที่เราไปเนี่ย เราไปถึงก่อนเพื่อนเรา พี่เค้ารู้ว่ารอเพื่อน เค้าก็พาแวะนู่นดูนี่ เล่าเรื่องให้เราฟังเยอะเลย
. . . . . . . .
อีกอย่างที่อยากแนะนำคือที่นี่มีห้องที่เป็นห้องส่วนตัวหลายโซนมากเลย แต่ละห้องก็สวย
ส่วนเรื่องว่าแต่ละห้องรับได้กี่คน อยากจองห้องอะไรยังไง โทรถามที่ร้านเลยดีกว่า เพราะเราจำไม่ได้จริงๆ
ห้องเยอะมากกก เอารูปมาฝากพอ 555
ปล.พี่เค้าบอกว่าห้องส่วนตัวเค้าไม่ได้ชาร์จเพิ่มนะ ก็แค่มาตามจำนวนที่แต่ละห้องรับได้
ก็ใช้บริการได้เลย
. . . . . . .
และแล้วก็เดินมาถึงโต๊ะที่เรานั่งวันนี้ หลังจากได้ทัวร์ร้าน 1 รอบเต็ม 5555
ทุกมุมที่นี่คือสวยหมด แต่เราขอแอบเลือกตรงนี้ เพราะเราชอบบรรยากาศตรงนี้มาก ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นห้องส่วนตัว แต่ว่าให้ฟีลส่วนตั๊วส่วนตัว
พอนั่งโต๊ะ ระหว่างรอเพื่อน พี่ก็เอา welcome drink มาให้
เป็นน้ำเย็นใส่ยาอุทัยหมอมี เสิร์ฟเป็นแก้วเล็กๆ
และในที่สุด หลังจากรออยู่นานสองนาน เพื่อนเราก็มาซะที
มาในชุดฟิตเนสเลยเด้อ
อาจจะดูไม่ค่อยเข้ากะสถานที่ เพราะเราไม่ได้บอกล่วงหน้า ว่าร้านเป็นอะไรยังไง 555
หลังจากสั่งอาหารแล้ว และรออาหารคุณพี่พนักงานอีกคน ย้ำว่าอีกคน !
ก็พาเพื่อนเราดูนู่นนี่อีกรอบ
ต้องบอกจริงๆว่าพนักงานที่นี่ดีม้ากกกกก เฟรนลี่ และเซอร์วิสยอดเยี่ยมมาก
ก่อนที่จะไปถึงอาหาร ขอแนะนำเครื่องดื่มก่อน
Signature ของที่นี่เลยคือ “หมอมีไทยคูลลิ่ง”
เรียกได้ว่าท้าทายมากกก 555
คือเอาจริงคนสมัยใหม่อาจจะไม่คุ้นกับน้ำยาอุทัยเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะลองเปิดใจดูกัน
แล้วเราก็พบว่า.... เห่ยย โอเค !! อร่อยดี
มันมีกลิ่นอุทัยอ่อนๆ รสเปรี้ยวอมหวานของสตรอเบอร์รี่บวกกับเยลลี่อุทัยที่ท้อปมาด้านบน
มันเข้ากันดี เป็นรสที่ไม่เคยกินมาก่อน ทันสมัยแบบไทยๆ
. . . . . . . .
อาหารก็มาแล้ว
วันนี้เราสั่งมาทั้งหมด 4 อย่าง
ซึ่งเป็น 4 อย่างที่เป็นเมนูแนะนำหมดเลยยย
. . . . . . . .
เริ่มที่เมนูแรกกันก่อน
อันนี้ออกจะเบสิคหน่อย แต่วันนั้นไม่รู้เป็นอะไร อยากกิน 555
นั่นก็คือ “ข้าวผัดต้มยำกุ้ง”
จานนี้รสชาติกลางๆ รสไม่จัด แต่ว่าไม่จืด
. . . . . . . .
จานต่อมา “ยำแหนมสด”
คือที่สั่งเมนูนี้เพราะว่าเค้าบอกว่า ยำแหนมสดของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น
ก็เลยลองดูว่าไม่เหมือนยังไง
แล้วก็คือไม่เหมือนที่อื่นจริงๆด้วย
คือถึงชื่อจะบอกว่ายำแหนมสด แต่ว่า ไม่ใช่ยำแหนมแท่งๆที่เค้าขายในเซเว่นนะ
คือหน้าตาจะมาเป็นรูปหมูสับที่ดูเหมือนหมูสับธรรมดา แต่ว่ารสชาติจะมีความเหมือนยำแหนมทอด แต่ว่าไม่ได้ทอดอะ
เป็นยำแหนมสด ..... อธิบายยากเนอะ 555
แต่แนะนำให้ลอง เพราอร่อยดี เป็นเมนูที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน
เป็นจานที่มีสมุนไพรอยู่เยอะ ดูแล้วรู้ว่าเป็นอาหารโบราณอะ
ส่วนเมนูต่อมา ของโปรดเราอีกแล้ว
“ยำถั่วพลู” ซึ่งจริงๆแล้วเมนูนี้เป็นเมนูโบราณ แต่อาจจะหากินได้ไม่ยากในตอนนี้
แต่ว่ามีไม่กี่ร้านที่ทำออกมาได้รสชาติแบบโบราณ ร้านนี้ทำได้ดีนะ
ของแท้ต้องมีหัวกะทิอยู่ที่ด้านบน
. . . . . . . .
และในส่วนของเมนูสุดท้าย
เอาจริงๆเมนูนี้เราเคยได้กินมาแล้วครั้งสองครั้ง
เป็นเมนูที่หากินไม่ค่อยง่ายเหมือนกัน มีไม่กี่ที่ที่ยังทำขายอยู่ ส่วนใหญ่จะต้องเป็นร้านอาหารไทยโบราณจริงๆ
นั่นก็คือ “แกงรัญจวน” สามารถเลือกเนื้อสัตว์ได้นะว่าจะใส่อะไร
วันนี้เราเลือกกระดูกหมู
ตอนเสิร์ฟจะมาพร้อมพริกขี้หนูสด เผื่อว่าชอบทานรสจัดขึ้นมาหน่อย
พี่พนักงานบอกว่าที่มาที่ไปของชื่อแกงรัญจวนนี้มาจากกลิ่น
เป็นกลิ่นที่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งแกงนี้มีความพิเศษเฉพาะตัว คือใส่กะปิลงไปด้วย ถือเป็นจุดเด่น
แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องกลิ่นกะปินะ เพราะว่าถ้าใครรู้จักอาหารไทยโบราณดี ก็แน่ใจได้เลย ว่าปกติกะปิที่ดีจะหอม ไม่ได้เหม็น
ที่นี่เค้าจะเอากะปิไปย่างก่อนที่จะเอามาทำ เลยทำให้แกงไม่ได้มีกลิ่นกะปิแรง แต่ว่ามีกลิ่นพอหอม เรียกน้ำย่อย
. . . . . . . .
อาหารมาครบแล้วจ้า
ขอรูปรวมสักรูปสองรูป
ในส่วนของแกงรัญจวนนั้น
อร่อยจริงๆจะพี่จ๋า.......
กระดูกนิ่ม เนื้อร่อนไม่ติดกระดูกแต่ไม่ถึงกับเละ ดีงามมม
. . . . . . . .
ในส่วนของยำแหนม ก็ดีงาม
กินกับข้าวอร่อยมากกก
อะ และแน่นอน โบราณว่าไว้ กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่
นี่กลัวมาก เลยสั่งกันซะเยอะเลย 5555
เริ่มที่อันนี้เลยย Signature ของร้าน “หมอมีไทยเชอเบท”
อันนี้ก็เป็นอีก 1 อย่างที่แนะนำว่าต้องสั่ง
มาถึงบ้านของหมอมีทั้งที ไม่สั่งอุทัยหมอมีได้ยังไง
เป็นไอศกรีมเชอเบทที่ไม่ได้ใส่แต่อุทัยนะ แต่ว่ามีผลไม้อยู่ด้วย แต่ว่าไม่แน่ใจว่ารสผลไม้อะไร
เราว่ามันเข้ากับอุทัยดีได้ดี คือแบบรสมีมิติขึ้นมาเลย
ตัวต่อมา เป็นขนมไทยอีกเช่นเคย
“ข้าวต้มน้ำวุ้น”
ต้องออกตัวก่อนว่านี่ไม่สันทัดข้าวต้มน้ำวุ้นเลยจริงๆ
แต่จากการได้ชิมแล้ว กินง่าย นุ่มดีแล้วก็ไม่หวานมาก
แต่ขนมหวานอันสุดท้าย
อันนี้ต้องบอกเลยว่าเรากินไปได้แค่คำเดียว !!!
ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ
เพื่อนเรานี่แหละ ผู้ที่พอได้ยินชื่อ “มะม่วงหาวมะนาวโห่” ครั้งแรก แล้วถามว่าคืออะไรอะ
แต่พอกินแล้ว บอกว่า “เฮ้ย เราขอเลยได้ป่ะ ?”
. . . . . . . .
แต่ในเมื่ออกตัวขนาดนี้แล้ว ก็เอาเลยจ้า
ถ้าให้รีวิวจาก 1 คำที่ชิมไป รสชาติสดชื่อ หวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นอุทัยเบาๆให้สดชื่อ ถือว่าควรสั่ง เพื่อการปิดงานอย่างสมบูรณ์แบบ
ก่อนกลับบ้าน เดี๋ยวจะพาไปเข้าห้องน้ำก่อน 5555
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่ห้องน้ำที่นี่วินเทจมาก
กระเบื้องห้องน้ำนี่เป็นกระเบื้องสมัยโบราณของแท้ที่เค้าสั่งมาจากเมื่อนอกนะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าประเทศอะไร
ใครไปก็ถามพนักงานเค้าได้เลย 555
ฝากไว้ด้วยกับร้านนี้
ถือว่าอวยกันแบบไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลย 555
เราชอบเพราะอาหารอร่อย บรรยากาศดี พนักงานดีมากกก
แนะนำเลย
. . . . . . . .
ไปตามกันได้ “ร้านอาหารบ้านหมอมี”
ร้านอยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 3 ใกล้ๆกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
วิธีการไปก็ง่ายมาก นั่ง BTS ไปลงสนามกีฬาแห่งชาติ ออกทางออกเบอร์ 1 เดินไปเรื่อยๆร้านจะอยู่ในซอยข้างๆโรงแรม Siam@Siam เดินเข้าไปร้านอยู่ท้ายซอยจ้า
เปิดทุกวัน 11.00-21.00 น.
อยากไป โทรไปจองโต๊ะ หรือจองห้องส่วนตัวได้เลยที่เบอร์ 096 864 4222
วันนี้ไปละ บาย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น