"แล้วเจ้าเป็นนาครึเปล่า" ยุทธิ์ตอบด้วยคำถาม เพราะจากที่เห็นเธอตรงหน้าคงไม่ใช่มนุษย์เหมือนเขาแน่ๆ
"เราเป็นนาค หากมองจากมุมของเจ้า แต่สำหรับเรา เราคือมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับท่าน"เธอพูดนั้นตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน และก่อนที่ยุทธิ์จะได้ถามอะไรต่อ ร่างของเขาก็ค่อยๆลอยออกมาจากหลอดแก้วที่เปิดออก ของเหลวนั้นก็ไหลกลิ่นออกจากร่างของเขาราวกับหยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัว
ร่างของยุทธิ์ถูกนำลงมายืนเบื้องหน้านางผู้งามราวกับเทพธิดานั้ และเมื่อมองใกล้ๆแบบนั้น ทั้งรูปโฉมองค์เอว ที่ปราศจากอาภรณ์ใดมาปกปิด ก็แทบจะทำให้ชายหนุ่มระงับอารมย์ที่พุ่งพล่านนั้นไว้ไม่อยู่
และเหมือนว่านางผู้นั้นจะรู้ ฉับพลันแสงสีขาวนวลก็ส่องประกายออกมาจากทั่วทั้งร่าง เปลี่ยนร่างงามนั้นไปสู้สัณฐานแห่งงูยักษ์ ที่มีขนาดลำตัวราวขนาดของต้นตาล ส่วนหัวของนาคนั้นชูขึ้นสูงจากพื้นราวๆสามเมตร ดวงตาสีแดงจ้องมองมายังร่าวชายหนุ่ม ที่บัดนี้นั่งทรุดลงกับพื้นด้วยอาการตื่นตกใจ
"ต้องขออภัยด้วยที่ร่างนั้นของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกถึงความต้องการทางเพศ" เสียงของผู้หยิงคนนั้นดังเข้ามาในความคิดของยุทธิ์โดยตรง เธอคงคิดว่าคงจะดีกว่าที่กลับมาเป็นร่างของนาค เพราะจะทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด
"เจ้าสามารถเปล่งเสีงคุยกับข้าได้เช่นเดิม หากเจ้าไม่สะดวกในการพูดคุยทางโทรจิตเช่นข้า เพราะร่างเดิมของเผ่าพันธ์ข้า ไม่สามารถเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารกันเช่นเผ่าพันธ์เจ้าได้" นั่นคือการตอบข้อสงสัยของที่มาของเสียงในความคิดของยุทธิ์
"ตามข้ามา" นางนาคบอกยุทธิ์พลางเลื้อยออกไปพร้อมกับผู้ติดตามไปทางประตูใหญ่ที่สุดโถงของห้อง
จากการคุยกันคร่าวๆพวกนาคช่วยเหลือยุทธิ์ที่ถูกร่องน้ำลึกดูดลงไปซึ่งนั่นคือทางเข้าเมืองพญานาคแต่ตัวเมืองพญานาคจริงๆนั้นอยู่ลึกลงไปในโพรงใต้ดินในพื้นโลก
ซึ่งเมื่อเดินออกมาจากที่ยุทธิ์รู้สึกว่าโถงที่เค้าพักรักษานั้นว่าใหญ่แล้ว แต่โพรงที่เรียกว่าเมืองพญานาคนั้นใหญ่ยิ่งกว่า ด้านบนของเมืองนั้นมีลักษณะเป็นท้องฟ้า ซึ่งนางนาคบอกว่านั่นคือเครื่องแสดงภาพท้องฟ้าและให้แสดงสว่างตามเวลา อาคารบ้านเรือนนั่นเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟอวกาศ ซึ่งต่างกันแค่ว่ามันใหญ่กว่าและผู้คนนั้นคืองูยักษ์เท่านั้น
"จากนี้ยังอีกไกล ถ้าเจ้าเดินไปเองคงไม่ไหวแน่" ว่าแล้วก็เหมือนพื้นจะค่อยไหลเลื่อนราวกัพื้นเลื่อนที่สนามบิน แต่มันเลื่อนเร็วกว่ามาก ยุทธิ์กะคร่าวๆก็คงประมาณบิดมอเตอร์ไซด์ซัก40เห็นจะได้ แต่ที่สำคัญร่างยักษ์ทั้ง3นั้นก้ไปด้วยความเร็วเท่าๆกันราวกับไม่มีน้ำหนักอะไรเลย
ซักพักพื้นที่ว่าก็ค่อยๆลดความเร็วลง ยุทธิ์ถึงกับตะลึงเพราะเบื้องหน้าเป็นอาคารหลังใหญ่ที่ใหญ่กว่าบ้านเรือนที่เห็นสองข้างทางมากนัก มันเหมือนตึกหรือที่ทำการอะไรซักอย่าง ซึ่งทางเข้าก็เป็นทางลาดที่ค่อยเลื่อนขึ้นไปเหมือนกับถนน แต่คะเนจากความสูงก็คงประมาณบันได้เกือบสองร้อยขั้นเห็นจะได้
ภายในอาคารนั้นใหญ่โต ก็คงพอกับโถงที่ยุทธิ์รักษาตัวเห็นจะได้ แต่เหมื่อแหงนมากขึ้นไปบนเพดาน ยุทธิ์กลับมองไม่เห็นราวกับว่ามันเชื่อมต่อไปยังท้องฟ้าด้านบน
ฉับพลันพื้นที่เขายืนกับกับนางนาคที่คุยกับเข้าก็เปล่งแสงฉับพลันสภาพรอบตัวก้เปลี่ยนไป เป็นทุกหญ้าเขียวขจี และทุ่งดอกไม้ ลมเบาๆพัดเอากลิ่มหอมนั้นโชยเข้าจมูกเป็นระยะ ใกล้ๆกันมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผลของมันนั้นเปล่งแสงเหลืองนวล
"ข้าขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ข้าเสียมารยาทกับเจ้า" นางนาคในร่างเทพธิดาจำแลงเดินเข้ามาใกล้คราวนี้เธอสวมผ้าคลุมบางๆเพียงเพื่อปกปิดเนื้อหนังเท่านั้น พร้อมกับยื่นเสื้อผ้าของยุทธิ์ที่ใส่ตอนที่เขาจมน้ำมาให้
"ขอบคุณ" ยุทธิ์กล่าวอย่างอายๆเพราะเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาเขาก็ยังไม่ได้นุ่งผ้าเหมือนกัน
เมื่อจัดแจงใส่เสื้อผ้าหลังพุ่มไม่ใหญ่เสร็จยุทธิ์ก็เดินออกมา เธอคนนั้นนั่งรอเขาอยู่กับพื้นสูดเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ที่ลอยมาตามลม ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว
"เข้ามานั่งใกล้ๆข้านี่สิ" เธอชวน ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างอย่างขะขเิน เพราะที่ผ่านมาแม้จะเป็นลูกเศรษฐี แต่ยุทธิ์ก็ไม่ได้ข้องแวะใกล้ชิดผู้หยิงที่สวยแบบนี้มาก่อน ซึ่งนี่คือครั้งแรก
"พวกเธอเป็นมนุษย์ต่างดาวเหรอ"ยุทธิ์ถาม คำพูดคำแรกที่น่าเขกหัวสำหรับการคุยกับสาวสวยขนาดนี้
"จะว่าแบบนั้นก้ได้ เผ่าพันธ์เราคือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเฉกเช่นเดียวกับเจ้า พวกเราเร่ร่อนออกมาจากดาวบ้านเกิด เดินทางไปทั่วกาแลคซี่ พวกของข้ามายังพิภพนี้ก่อนที่เผ่าพันธ์เจ้าจะวิวัฒน์เสียอีก" เธอตอบเหมือนกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั้นกลับทำให้ยุทธิ์ตกใจมาก
"ถ้างั้นหมายความว่าเธอก็มีอายุเป็นหมื่นๆปีแล้วอย่างนั้นเหรอ" ยุทธิ์ถาม
"จะว่าแบบนั้นก็ได้ ซึ่งอายุข้าเท่าไหร่ ข้าไม่เคยนับหรอก แต่หากเทียบกันแล้วสภาพร่างกายข้าตอนนี้ก็เทียบได้กับเผ่าพันธ์เจ้าที่อายุ17-18ปี" สาว18ที่เกิดมาก่อนอารยธรรมมนุษย์ตอบ
"ว่าแต่ทำไมตอนแรกเธอถึงถามชั้นว่า ชั้นเป็นมนุษย์รึเปล่าล่ะ ในเมื่อเธอก็รู้อยู่แล้ว" ชายหนุ่มถามขึ้น
แต่ดูเหมือนเธอคนนั้นจะมีท่าทีผ่อนคลายลง ด้วยรอยยิ้มเล็กๆนั้น มันทำยุทธิ์ถึงกับลืมไปชั่วขณะว่าเธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แบบเขา
"เพราะว่าข้าอยากรู้น่ะสิว่าเจ้าน่ะจะมองข้าเช่นไร" ใบหน้างามราวกับนางฟ้านั้นหันมาตอบ ทำเอาชายหนุ่มผู้ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ถึงกับหลบสายตา
และดูเหมือนว่ายุทธิ์จะไม่เข้าใจในคำตอบ นางนาคจึงอธิบายให้เขาฟังโดยที่ยังไม่ทันได้ถามอะไร
"ส่วนมากที่พวกข้าได้พบเจอกับเผ่าพันธ์เจ้า เมื่อรู้ว่าพวกข้าเป็นนาค เขาเหล่านั้นต่างกราบไหว้พวกข้าราวกับเทพเจ้า หรือไม่ก็พวกนักบวชที่มองพวกข้าเป็นดั่งสัตว์ มีแต่เพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าคิดว่า เจ้าเมื่อรู้ความจริงจะมองพวกข้าเป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน"
ยุทธิ์นิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าเขาจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"แล้วสำหรับเธอ มนุษย์คืออะไรกัน" ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถามปรัชญาหน่อยๆ แต่เขาก็ได้ถามเธออกไป
"มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา เหนือกว่าสัตว์ เป็นจุดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการในภิพ เฉกเช่นเผ่าพันธ์ข้าและเจ้า"
(นั่นสินะ จะว่าไปความหมายนี้มันก็คือมนุษย์เหมือนกันนี่นา) ยุทธิ์คิด พลางมองไปที่เธอคนนั้น แววตาที่ดูจริงใจไม่เสแสร้ง บางที นี่อาจจะเป็นแววตาของมนุษย์จริงๆมากกว่าคนรอบตัวที่เขาเคยรู้จักก้ได้
"เกือบลืมไปเลย คุยตั้งนานสองนานยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ชั้นชื่อพิชัยยุทธิ์จะเรียกยุทธิ์เฉยๆก็ได้ ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ" เขาถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้รู้จักกับคู่สนทนาเลย
"ในเผ่าพันธ6Nของพวกข้า ที่สื่อสารกันทางโทรจิต พวกเราไม่มีชื่อเรียกกันหรอก แต่ตอนที่ข้าสั่งสอนชี้นำเผ่าพันธ์พวกเจ้าในแถบนี้ ผู้คนเรียกข้าว่า หนี่วา"
..................................
ตอนแรก
https://pantip.com/topic/38221535
มนุสโสสิ ตอนที่ 2
"เราเป็นนาค หากมองจากมุมของเจ้า แต่สำหรับเรา เราคือมนุษย์เฉกเช่นเดียวกับท่าน"เธอพูดนั้นตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน และก่อนที่ยุทธิ์จะได้ถามอะไรต่อ ร่างของเขาก็ค่อยๆลอยออกมาจากหลอดแก้วที่เปิดออก ของเหลวนั้นก็ไหลกลิ่นออกจากร่างของเขาราวกับหยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัว
ร่างของยุทธิ์ถูกนำลงมายืนเบื้องหน้านางผู้งามราวกับเทพธิดานั้ และเมื่อมองใกล้ๆแบบนั้น ทั้งรูปโฉมองค์เอว ที่ปราศจากอาภรณ์ใดมาปกปิด ก็แทบจะทำให้ชายหนุ่มระงับอารมย์ที่พุ่งพล่านนั้นไว้ไม่อยู่
และเหมือนว่านางผู้นั้นจะรู้ ฉับพลันแสงสีขาวนวลก็ส่องประกายออกมาจากทั่วทั้งร่าง เปลี่ยนร่างงามนั้นไปสู้สัณฐานแห่งงูยักษ์ ที่มีขนาดลำตัวราวขนาดของต้นตาล ส่วนหัวของนาคนั้นชูขึ้นสูงจากพื้นราวๆสามเมตร ดวงตาสีแดงจ้องมองมายังร่าวชายหนุ่ม ที่บัดนี้นั่งทรุดลงกับพื้นด้วยอาการตื่นตกใจ
"ต้องขออภัยด้วยที่ร่างนั้นของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกถึงความต้องการทางเพศ" เสียงของผู้หยิงคนนั้นดังเข้ามาในความคิดของยุทธิ์โดยตรง เธอคงคิดว่าคงจะดีกว่าที่กลับมาเป็นร่างของนาค เพราะจะทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัด
"เจ้าสามารถเปล่งเสีงคุยกับข้าได้เช่นเดิม หากเจ้าไม่สะดวกในการพูดคุยทางโทรจิตเช่นข้า เพราะร่างเดิมของเผ่าพันธ์ข้า ไม่สามารถเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารกันเช่นเผ่าพันธ์เจ้าได้" นั่นคือการตอบข้อสงสัยของที่มาของเสียงในความคิดของยุทธิ์
"ตามข้ามา" นางนาคบอกยุทธิ์พลางเลื้อยออกไปพร้อมกับผู้ติดตามไปทางประตูใหญ่ที่สุดโถงของห้อง
จากการคุยกันคร่าวๆพวกนาคช่วยเหลือยุทธิ์ที่ถูกร่องน้ำลึกดูดลงไปซึ่งนั่นคือทางเข้าเมืองพญานาคแต่ตัวเมืองพญานาคจริงๆนั้นอยู่ลึกลงไปในโพรงใต้ดินในพื้นโลก
ซึ่งเมื่อเดินออกมาจากที่ยุทธิ์รู้สึกว่าโถงที่เค้าพักรักษานั้นว่าใหญ่แล้ว แต่โพรงที่เรียกว่าเมืองพญานาคนั้นใหญ่ยิ่งกว่า ด้านบนของเมืองนั้นมีลักษณะเป็นท้องฟ้า ซึ่งนางนาคบอกว่านั่นคือเครื่องแสดงภาพท้องฟ้าและให้แสดงสว่างตามเวลา อาคารบ้านเรือนนั่นเหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟอวกาศ ซึ่งต่างกันแค่ว่ามันใหญ่กว่าและผู้คนนั้นคืองูยักษ์เท่านั้น
"จากนี้ยังอีกไกล ถ้าเจ้าเดินไปเองคงไม่ไหวแน่" ว่าแล้วก็เหมือนพื้นจะค่อยไหลเลื่อนราวกัพื้นเลื่อนที่สนามบิน แต่มันเลื่อนเร็วกว่ามาก ยุทธิ์กะคร่าวๆก็คงประมาณบิดมอเตอร์ไซด์ซัก40เห็นจะได้ แต่ที่สำคัญร่างยักษ์ทั้ง3นั้นก้ไปด้วยความเร็วเท่าๆกันราวกับไม่มีน้ำหนักอะไรเลย
ซักพักพื้นที่ว่าก็ค่อยๆลดความเร็วลง ยุทธิ์ถึงกับตะลึงเพราะเบื้องหน้าเป็นอาคารหลังใหญ่ที่ใหญ่กว่าบ้านเรือนที่เห็นสองข้างทางมากนัก มันเหมือนตึกหรือที่ทำการอะไรซักอย่าง ซึ่งทางเข้าก็เป็นทางลาดที่ค่อยเลื่อนขึ้นไปเหมือนกับถนน แต่คะเนจากความสูงก็คงประมาณบันได้เกือบสองร้อยขั้นเห็นจะได้
ภายในอาคารนั้นใหญ่โต ก็คงพอกับโถงที่ยุทธิ์รักษาตัวเห็นจะได้ แต่เหมื่อแหงนมากขึ้นไปบนเพดาน ยุทธิ์กลับมองไม่เห็นราวกับว่ามันเชื่อมต่อไปยังท้องฟ้าด้านบน
ฉับพลันพื้นที่เขายืนกับกับนางนาคที่คุยกับเข้าก็เปล่งแสงฉับพลันสภาพรอบตัวก้เปลี่ยนไป เป็นทุกหญ้าเขียวขจี และทุ่งดอกไม้ ลมเบาๆพัดเอากลิ่มหอมนั้นโชยเข้าจมูกเป็นระยะ ใกล้ๆกันมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผลของมันนั้นเปล่งแสงเหลืองนวล
"ข้าขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ข้าเสียมารยาทกับเจ้า" นางนาคในร่างเทพธิดาจำแลงเดินเข้ามาใกล้คราวนี้เธอสวมผ้าคลุมบางๆเพียงเพื่อปกปิดเนื้อหนังเท่านั้น พร้อมกับยื่นเสื้อผ้าของยุทธิ์ที่ใส่ตอนที่เขาจมน้ำมาให้
"ขอบคุณ" ยุทธิ์กล่าวอย่างอายๆเพราะเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาเขาก็ยังไม่ได้นุ่งผ้าเหมือนกัน
เมื่อจัดแจงใส่เสื้อผ้าหลังพุ่มไม่ใหญ่เสร็จยุทธิ์ก็เดินออกมา เธอคนนั้นนั่งรอเขาอยู่กับพื้นสูดเอากลิ่นหอมจากดอกไม้ที่ลอยมาตามลม ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว
"เข้ามานั่งใกล้ๆข้านี่สิ" เธอชวน ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างอย่างขะขเิน เพราะที่ผ่านมาแม้จะเป็นลูกเศรษฐี แต่ยุทธิ์ก็ไม่ได้ข้องแวะใกล้ชิดผู้หยิงที่สวยแบบนี้มาก่อน ซึ่งนี่คือครั้งแรก
"พวกเธอเป็นมนุษย์ต่างดาวเหรอ"ยุทธิ์ถาม คำพูดคำแรกที่น่าเขกหัวสำหรับการคุยกับสาวสวยขนาดนี้
"จะว่าแบบนั้นก้ได้ เผ่าพันธ์เราคือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเฉกเช่นเดียวกับเจ้า พวกเราเร่ร่อนออกมาจากดาวบ้านเกิด เดินทางไปทั่วกาแลคซี่ พวกของข้ามายังพิภพนี้ก่อนที่เผ่าพันธ์เจ้าจะวิวัฒน์เสียอีก" เธอตอบเหมือนกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั้นกลับทำให้ยุทธิ์ตกใจมาก
"ถ้างั้นหมายความว่าเธอก็มีอายุเป็นหมื่นๆปีแล้วอย่างนั้นเหรอ" ยุทธิ์ถาม
"จะว่าแบบนั้นก็ได้ ซึ่งอายุข้าเท่าไหร่ ข้าไม่เคยนับหรอก แต่หากเทียบกันแล้วสภาพร่างกายข้าตอนนี้ก็เทียบได้กับเผ่าพันธ์เจ้าที่อายุ17-18ปี" สาว18ที่เกิดมาก่อนอารยธรรมมนุษย์ตอบ
"ว่าแต่ทำไมตอนแรกเธอถึงถามชั้นว่า ชั้นเป็นมนุษย์รึเปล่าล่ะ ในเมื่อเธอก็รู้อยู่แล้ว" ชายหนุ่มถามขึ้น
แต่ดูเหมือนเธอคนนั้นจะมีท่าทีผ่อนคลายลง ด้วยรอยยิ้มเล็กๆนั้น มันทำยุทธิ์ถึงกับลืมไปชั่วขณะว่าเธอคนนี้ไม่ใช่มนุษย์แบบเขา
"เพราะว่าข้าอยากรู้น่ะสิว่าเจ้าน่ะจะมองข้าเช่นไร" ใบหน้างามราวกับนางฟ้านั้นหันมาตอบ ทำเอาชายหนุ่มผู้ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ถึงกับหลบสายตา
และดูเหมือนว่ายุทธิ์จะไม่เข้าใจในคำตอบ นางนาคจึงอธิบายให้เขาฟังโดยที่ยังไม่ทันได้ถามอะไร
"ส่วนมากที่พวกข้าได้พบเจอกับเผ่าพันธ์เจ้า เมื่อรู้ว่าพวกข้าเป็นนาค เขาเหล่านั้นต่างกราบไหว้พวกข้าราวกับเทพเจ้า หรือไม่ก็พวกนักบวชที่มองพวกข้าเป็นดั่งสัตว์ มีแต่เพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าคิดว่า เจ้าเมื่อรู้ความจริงจะมองพวกข้าเป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน"
ยุทธิ์นิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าเขาจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"แล้วสำหรับเธอ มนุษย์คืออะไรกัน" ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถามปรัชญาหน่อยๆ แต่เขาก็ได้ถามเธออกไป
"มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา เหนือกว่าสัตว์ เป็นจุดสูงสุดแห่งวิวัฒนาการในภิพ เฉกเช่นเผ่าพันธ์ข้าและเจ้า"
(นั่นสินะ จะว่าไปความหมายนี้มันก็คือมนุษย์เหมือนกันนี่นา) ยุทธิ์คิด พลางมองไปที่เธอคนนั้น แววตาที่ดูจริงใจไม่เสแสร้ง บางที นี่อาจจะเป็นแววตาของมนุษย์จริงๆมากกว่าคนรอบตัวที่เขาเคยรู้จักก้ได้
"เกือบลืมไปเลย คุยตั้งนานสองนานยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย ชั้นชื่อพิชัยยุทธิ์จะเรียกยุทธิ์เฉยๆก็ได้ ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ" เขาถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้รู้จักกับคู่สนทนาเลย
"ในเผ่าพันธ6Nของพวกข้า ที่สื่อสารกันทางโทรจิต พวกเราไม่มีชื่อเรียกกันหรอก แต่ตอนที่ข้าสั่งสอนชี้นำเผ่าพันธ์พวกเจ้าในแถบนี้ ผู้คนเรียกข้าว่า หนี่วา"
..................................
ตอนแรก https://pantip.com/topic/38221535