"หนี่วา เทพโบราณของจีนไม่ใช่หรือไง" เขาถามด้วยความตกใจ
"ตอนที่ข้ากับพี่ชายได้สั่งสอนคนในแถบแม่น้ำเหลืองพวกเขาเรียกข้าว่าหนี่วา ส่วนพี่ชายข้าถูกเรียกว่าฝูซี" เมื่อพูดถึงพี่ชาน ดูเหมือนหนี่วาจะมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
"แล้วตอนนี้พี่ชายของท่านล่ะ" เป็นคำถามที่แทงใจ เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้าว่า
"พี่ข้าอยากเป็นมนุษย์เช่นเผ่าพันธุ์เจ้า ซึ่งตัวข้าเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลของพี่ข้า จากนั้นเขาก็จากไป ไม่ทราบข่าวคราว จากนั้น นิคมแห่งนี้ข้าก็ได้รับช่วงต่อแทน"
แสงของดวงอาทิตย์จำลองเริ่มลับขอบฟ้า แม้จะอยู่ในอาคาร แต่หนี่วาก็บอกว่านางจัดของนอนของนางไว้เป็นแบบนี้เพื่อให้หวนนึกถึงพิภพที่เธอจากมา ทั้งสองทอดกายลงนอนไม่ห่างกันนัก แสงดาวจำลองส่องประกาย แสงนวลจากผลแห่งพฤกษาต่างดาวส่องแสงเหมือนดวงจันทร์ดวงน้อยๆอยู่ เต็มต้น ร่างสวยนี้นอนอยู่ข้างมันทำให้หัวใจของชายหนุ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้รู้ดีว่าเจ้าของร่างนั้นจะไม่ใช่มนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเขา กลิ่นกายหอมระคนไปกับกลิ่นของดอกไม้ลอยเข้ามาเตะจมูกยามสายลมอ่อน ที่ถูกตั้งค่าไว้ด้วยเครื่องควบคุมอากาศของผู้เป็นเจ้าของ แม้จะรู้ว่านี่คือธรรมชาติที่สังเคราะห์ขึ้นมา แต่เขาก็อยากให้โลกเบื้องบนงดงามเช่นนี้บ้าง
...............................................
ผ่านไปสามวันตั้งพบศพต็อด เอ็นจีโอหนุ่มไฟแรง ที่ลอยมาเกยหาดห่างจากจุดสังหารนับสิบกิโลเมตร มันเป็นข่าวครึกโครมจนเหยี่ยวข่าวหลายสำนักโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามกับผู้มีอำนาจ ในทำนองที่ว่ามีการสั่งเก็บผู้ต่อต้านด้วยอำนาจมืด แม้ว่าทางฝากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาแย้งว่า พื้นที่สร้างเขื่อนจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด และการที่ทำรายงานสิ่งแวดล้อมก็เป็นเพียงการยืนยันเพื่อความสบายใจให้แก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทราบเท่านั้น ซึ่งไม่ว่ายังไงเพื่อผลประโยชน์ด้านพลังงานของชาติในอนาคตโครงการนี้ก็จะดำเนินต่อไปอยู่ดี
"พวกแกทำงานประสาอะไร ข้าบอกให้เก็บไอ้นั่นแค่คนเดียว แทนที่จะยกเลย พวกไม่มีหัวคิดแบบเอ็ง พลอยทำให้ข้าซวยไปด้วย" ชายวัยกลางคนที่มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังยืนพูดอย่างหัวเสีย
ลูกน้องสามคนที่เป็นมือสังหาร พยายามร้องขอชีวิต ตั้งแต่เท้าเลยมาถึงบริเวณครึ่งน่องถูกหุ้มด้วยปืนซีเมนต์ ร่างทั้งสามหวีดร้องกลัวตาย กระสุนสามนัดแห่งความปราณีเจาะทะลุกะโหลกของทั้งสาม ให้ตายอย่างไม่ทรมานจากการที่ ต้องนำร่างไปทิ้งยังแม่น้ำโขง
"แล้วจะไงต่อดีครับพ่อเลี้ยง"ลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งถาม
พ่อเลี้ยงถอนหัวใจพร้อมกับตบหัวคนถามไปทีนึง
"จะไปรู้หรือวะ ตอนนี้ก็คงต้องเงียบๆก่อน ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนที่ไปกับมันจะเป็นลูกคนใหญ่คนโตไปซะได้"
เรือหางยาวที่ขนร่างของมืองสังหารทั้งสามค่อยๆแล่นออกไปจากบริเวณ พร้อมกับรถสี่ห้าคนที่แล้นออกไปเช่นกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...................................................
เช้าแรกในเมืองพญานาคของยุทธิ์ อาหารมื้อแรกของเขาเหมือนกับเข้าต้มเละๆหนึ่งจาน ส่วนของหนี่วา ที่ตอนนี้อยู่ในร่างนาคก็คืออาหารชนิดเดียวกันหนึ่งกาละมัง ยุทธิ์แหงนหน้าขึ้นมองหนี่วาด้วยสายตาประมาณว่าจะกินได้เหรอ แต่เธอก็โทรจิตตอบว่านี่คืออาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วนที่คำนวนจากน้ำหนักร่างกายแล้ว ยุทธิ์ฝืนใจกิน
(อร่อย)
เมื่อรู้ว่ารสชาติอร่อยผิดกับลักษณะภายนอก คราวนี้ยุทธิ์ก็กวาดอาหารทั้งจานลงท้องอย่างรวดเร็ว
"อร่อยใช่มั้ยล่ะ" หนี่วาถาม พร้อมกับเสียงครางเบาๆราวกับหัวเราะที่เห็นยุทธิ์ค่อยดูดนิ้วตัวเองทีละนิ้วเพราะเสียดายอาหารที่ติดตามนิ้วมือ
กาละมังอาหารค่อยๆถูกยกขึ้นด้วยพลังจิต อาหารทั้งหมดเทใส่ปากอันใหญ่โตนั้นรวดเดียวเกลี้ยง
ยุทธิ์ขำเบาๆเมื่อเห็นหนี่วาในร่างนาคกินอาหาร เหมือนเธอจะรู้ตัว เสียงคำรามเบาเหมือนเตือนให้ชายหนุ่มหยุดหัวเราะ
แต่หน้าฉากของความสุขนั้น ภายในความรู้สึกผิดที่มีต่อเพื่อนมันยังคงกัดกินเค้าอยู่
ถ้าข้าไม่ชวนเอ็งมา เอ็งก็คงไม่ต้องมาตายแบบนี้
ภาพที่เพื่อนถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา มันปรากฏวนซ้ำไปมายามที่เขาหลับตา
เหมือนว่ายุทธิ์จะนิ่งเงียบไปนาน หนี่วาที่เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความกังวล ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วสวมกอดชายหนุ่มไว้จากด้านหลัง ราวกับแม่ที่ปลอบประโลมลูกน้อย
ไออุ่นจากร่างบางนั้นทำให้ร่างของชายหนุ่มนั้นสะท้าน มีเพียงผ้าผืนบางที่กันเนื้อหนังของทั้งสอง ไออุ่นจากกายของหญิงสาว เขาสัมผัสมันได้ด้วยหัวใจ น้ำตาชายหนุ่มค่อยๆไหลอย่างไม่รู้ตัว
"ขอบคุณนะ" เสียงเบาๆของชายหนุ่มปนกับน้ำเสียงสะอื้นไห้ มือหนานั้นเกาะกุมท่อนแขนเรียวที่โอบกอดจากด้านหลังราวกับกับภาษากายที่จะขอบคุณกับสิ่งที่ปลอบประโลมนั้น
แม้ว่าหนี่วาจะอ่านใจไม่ได้ แต่เธอก็รู้ดี เพราะเธอนี่แหละที่ช่วยที่วิตชายหนุ่มไว้ ส่วนอีกร่างที่ถูกยิงจนเสียชีวิต เธอไม่อาจสัมผัสได้ด้วยจิตแล้ว เธอจึงปล่อยให้ลอยไปกับสายน้ำ
"รู้มั้ย ว่าทำไมพวกข้าถึงมาที่นี้" คำพูดอันแสนอ่อนโยนนั้นดึงจิตโจของยุทธิ์ขึ้นมาชั่วขณะ ด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นทุนเดิม
"ผืนพิภพที่ข้าเกิดมานั้น เป็นภาพที่สวยงามตามที่ข้าเคยมีในความทรงจำ แม้มันจะไม่ดาวเกิดของเผ่าพันธุ์ข้าก็ตาม เผ่าพันธุ์ข้าต้องทิ้งพิภพนั้นมา เมื่อพ่อของข้าในฐานะผู้นำได้ตัดสินใจอพยพกลุ่มของข้าออกมา ก่อนที่มนุษย์ในภิภพนั้นจะเข่นฆ่า ประหัตประหารกันเองจนสูญสิ้นทั้งดวงดาว พวกเรารอนแรมมาถึงพิภพนี้ พ่อแม่ข้าแยกออกไปตั้งถิ่นฐานในอีกพิภพหนึ่งเมื่อเห็นว่าพี่ข้าพร้อมที่จะดูแลผู้คนได้ ข้าจึงตามพี่ข้ามายังพิภพนี้"
เรื่องเล่าของหนี่วา นาคสาวจากต่างดาว แฝงไว้ด้วความสุขปนเศร้า พ่อแม่ของเธอแยกไปตั้งถิ่นฐานยังดาวที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะวิวัมน์มาเป็นมนุษย์ได้ เพราะอารยธรรมแล้วอารยธรรมเล่าที่ผู้เป็นพ่อได้เห็น ต่างจบลงด้วยการทำลายตัวเอง มีเพียงแต่พี่ชายของเธอ ที่ยังคงสืบทอดแนวทางเดิมของเผ่าพันธ์ นั่นคือมา เพื่อถ่ายทอดความรู้เพื่อการวิวัฒน์ของมนุษย์บนพิภพที่มาอาศัยอยู่
มนุษย์เคยบูชาธรรมชาติราวกับพระเจ้า สยบต่อธรรมชาติ เมื่อมนุษย์นั้นวิวัฒน์ ความทะเยอทะยาน ความไม่รู้จักพอ จากเทพเจ้ากลายเป็นเครื่องมือ การเบียดเบียนธรรมชาติที่ไม่รู้จักพอ บางทีมนุษย์อย่างพวกยุทธิ์อาจนำเผ่าพันธุ์ไปสู่จุดจบแบบเดียวกับมนุษย์บนดาวดวงอื่นที่พวกหนี่วาเคยประสบพบเจอมาก้ได้
..........................................
ตอนแรก
https://pantip.com/topic/38221535
ตอนสอง
https://pantip.com/topic/38227544
มนุสโสสิ ตอนที่ 3
"ตอนที่ข้ากับพี่ชายได้สั่งสอนคนในแถบแม่น้ำเหลืองพวกเขาเรียกข้าว่าหนี่วา ส่วนพี่ชายข้าถูกเรียกว่าฝูซี" เมื่อพูดถึงพี่ชาน ดูเหมือนหนี่วาจะมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
"แล้วตอนนี้พี่ชายของท่านล่ะ" เป็นคำถามที่แทงใจ เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้าว่า
"พี่ข้าอยากเป็นมนุษย์เช่นเผ่าพันธุ์เจ้า ซึ่งตัวข้าเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลของพี่ข้า จากนั้นเขาก็จากไป ไม่ทราบข่าวคราว จากนั้น นิคมแห่งนี้ข้าก็ได้รับช่วงต่อแทน"
แสงของดวงอาทิตย์จำลองเริ่มลับขอบฟ้า แม้จะอยู่ในอาคาร แต่หนี่วาก็บอกว่านางจัดของนอนของนางไว้เป็นแบบนี้เพื่อให้หวนนึกถึงพิภพที่เธอจากมา ทั้งสองทอดกายลงนอนไม่ห่างกันนัก แสงดาวจำลองส่องประกาย แสงนวลจากผลแห่งพฤกษาต่างดาวส่องแสงเหมือนดวงจันทร์ดวงน้อยๆอยู่ เต็มต้น ร่างสวยนี้นอนอยู่ข้างมันทำให้หัวใจของชายหนุ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้รู้ดีว่าเจ้าของร่างนั้นจะไม่ใช่มนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเขา กลิ่นกายหอมระคนไปกับกลิ่นของดอกไม้ลอยเข้ามาเตะจมูกยามสายลมอ่อน ที่ถูกตั้งค่าไว้ด้วยเครื่องควบคุมอากาศของผู้เป็นเจ้าของ แม้จะรู้ว่านี่คือธรรมชาติที่สังเคราะห์ขึ้นมา แต่เขาก็อยากให้โลกเบื้องบนงดงามเช่นนี้บ้าง
...............................................
ผ่านไปสามวันตั้งพบศพต็อด เอ็นจีโอหนุ่มไฟแรง ที่ลอยมาเกยหาดห่างจากจุดสังหารนับสิบกิโลเมตร มันเป็นข่าวครึกโครมจนเหยี่ยวข่าวหลายสำนักโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามกับผู้มีอำนาจ ในทำนองที่ว่ามีการสั่งเก็บผู้ต่อต้านด้วยอำนาจมืด แม้ว่าทางฝากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาแย้งว่า พื้นที่สร้างเขื่อนจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด และการที่ทำรายงานสิ่งแวดล้อมก็เป็นเพียงการยืนยันเพื่อความสบายใจให้แก่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทราบเท่านั้น ซึ่งไม่ว่ายังไงเพื่อผลประโยชน์ด้านพลังงานของชาติในอนาคตโครงการนี้ก็จะดำเนินต่อไปอยู่ดี
"พวกแกทำงานประสาอะไร ข้าบอกให้เก็บไอ้นั่นแค่คนเดียว แทนที่จะยกเลย พวกไม่มีหัวคิดแบบเอ็ง พลอยทำให้ข้าซวยไปด้วย" ชายวัยกลางคนที่มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังยืนพูดอย่างหัวเสีย
ลูกน้องสามคนที่เป็นมือสังหาร พยายามร้องขอชีวิต ตั้งแต่เท้าเลยมาถึงบริเวณครึ่งน่องถูกหุ้มด้วยปืนซีเมนต์ ร่างทั้งสามหวีดร้องกลัวตาย กระสุนสามนัดแห่งความปราณีเจาะทะลุกะโหลกของทั้งสาม ให้ตายอย่างไม่ทรมานจากการที่ ต้องนำร่างไปทิ้งยังแม่น้ำโขง
"แล้วจะไงต่อดีครับพ่อเลี้ยง"ลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งถาม
พ่อเลี้ยงถอนหัวใจพร้อมกับตบหัวคนถามไปทีนึง
"จะไปรู้หรือวะ ตอนนี้ก็คงต้องเงียบๆก่อน ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนที่ไปกับมันจะเป็นลูกคนใหญ่คนโตไปซะได้"
เรือหางยาวที่ขนร่างของมืองสังหารทั้งสามค่อยๆแล่นออกไปจากบริเวณ พร้อมกับรถสี่ห้าคนที่แล้นออกไปเช่นกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...................................................
เช้าแรกในเมืองพญานาคของยุทธิ์ อาหารมื้อแรกของเขาเหมือนกับเข้าต้มเละๆหนึ่งจาน ส่วนของหนี่วา ที่ตอนนี้อยู่ในร่างนาคก็คืออาหารชนิดเดียวกันหนึ่งกาละมัง ยุทธิ์แหงนหน้าขึ้นมองหนี่วาด้วยสายตาประมาณว่าจะกินได้เหรอ แต่เธอก็โทรจิตตอบว่านี่คืออาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอย่างครบถ้วนที่คำนวนจากน้ำหนักร่างกายแล้ว ยุทธิ์ฝืนใจกิน
(อร่อย)
เมื่อรู้ว่ารสชาติอร่อยผิดกับลักษณะภายนอก คราวนี้ยุทธิ์ก็กวาดอาหารทั้งจานลงท้องอย่างรวดเร็ว
"อร่อยใช่มั้ยล่ะ" หนี่วาถาม พร้อมกับเสียงครางเบาๆราวกับหัวเราะที่เห็นยุทธิ์ค่อยดูดนิ้วตัวเองทีละนิ้วเพราะเสียดายอาหารที่ติดตามนิ้วมือ
กาละมังอาหารค่อยๆถูกยกขึ้นด้วยพลังจิต อาหารทั้งหมดเทใส่ปากอันใหญ่โตนั้นรวดเดียวเกลี้ยง
ยุทธิ์ขำเบาๆเมื่อเห็นหนี่วาในร่างนาคกินอาหาร เหมือนเธอจะรู้ตัว เสียงคำรามเบาเหมือนเตือนให้ชายหนุ่มหยุดหัวเราะ
แต่หน้าฉากของความสุขนั้น ภายในความรู้สึกผิดที่มีต่อเพื่อนมันยังคงกัดกินเค้าอยู่
ถ้าข้าไม่ชวนเอ็งมา เอ็งก็คงไม่ต้องมาตายแบบนี้
ภาพที่เพื่อนถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา มันปรากฏวนซ้ำไปมายามที่เขาหลับตา
เหมือนว่ายุทธิ์จะนิ่งเงียบไปนาน หนี่วาที่เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความกังวล ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วสวมกอดชายหนุ่มไว้จากด้านหลัง ราวกับแม่ที่ปลอบประโลมลูกน้อย
ไออุ่นจากร่างบางนั้นทำให้ร่างของชายหนุ่มนั้นสะท้าน มีเพียงผ้าผืนบางที่กันเนื้อหนังของทั้งสอง ไออุ่นจากกายของหญิงสาว เขาสัมผัสมันได้ด้วยหัวใจ น้ำตาชายหนุ่มค่อยๆไหลอย่างไม่รู้ตัว
"ขอบคุณนะ" เสียงเบาๆของชายหนุ่มปนกับน้ำเสียงสะอื้นไห้ มือหนานั้นเกาะกุมท่อนแขนเรียวที่โอบกอดจากด้านหลังราวกับกับภาษากายที่จะขอบคุณกับสิ่งที่ปลอบประโลมนั้น
แม้ว่าหนี่วาจะอ่านใจไม่ได้ แต่เธอก็รู้ดี เพราะเธอนี่แหละที่ช่วยที่วิตชายหนุ่มไว้ ส่วนอีกร่างที่ถูกยิงจนเสียชีวิต เธอไม่อาจสัมผัสได้ด้วยจิตแล้ว เธอจึงปล่อยให้ลอยไปกับสายน้ำ
"รู้มั้ย ว่าทำไมพวกข้าถึงมาที่นี้" คำพูดอันแสนอ่อนโยนนั้นดึงจิตโจของยุทธิ์ขึ้นมาชั่วขณะ ด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นทุนเดิม
"ผืนพิภพที่ข้าเกิดมานั้น เป็นภาพที่สวยงามตามที่ข้าเคยมีในความทรงจำ แม้มันจะไม่ดาวเกิดของเผ่าพันธุ์ข้าก็ตาม เผ่าพันธุ์ข้าต้องทิ้งพิภพนั้นมา เมื่อพ่อของข้าในฐานะผู้นำได้ตัดสินใจอพยพกลุ่มของข้าออกมา ก่อนที่มนุษย์ในภิภพนั้นจะเข่นฆ่า ประหัตประหารกันเองจนสูญสิ้นทั้งดวงดาว พวกเรารอนแรมมาถึงพิภพนี้ พ่อแม่ข้าแยกออกไปตั้งถิ่นฐานในอีกพิภพหนึ่งเมื่อเห็นว่าพี่ข้าพร้อมที่จะดูแลผู้คนได้ ข้าจึงตามพี่ข้ามายังพิภพนี้"
เรื่องเล่าของหนี่วา นาคสาวจากต่างดาว แฝงไว้ด้วความสุขปนเศร้า พ่อแม่ของเธอแยกไปตั้งถิ่นฐานยังดาวที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะวิวัมน์มาเป็นมนุษย์ได้ เพราะอารยธรรมแล้วอารยธรรมเล่าที่ผู้เป็นพ่อได้เห็น ต่างจบลงด้วยการทำลายตัวเอง มีเพียงแต่พี่ชายของเธอ ที่ยังคงสืบทอดแนวทางเดิมของเผ่าพันธ์ นั่นคือมา เพื่อถ่ายทอดความรู้เพื่อการวิวัฒน์ของมนุษย์บนพิภพที่มาอาศัยอยู่
มนุษย์เคยบูชาธรรมชาติราวกับพระเจ้า สยบต่อธรรมชาติ เมื่อมนุษย์นั้นวิวัฒน์ ความทะเยอทะยาน ความไม่รู้จักพอ จากเทพเจ้ากลายเป็นเครื่องมือ การเบียดเบียนธรรมชาติที่ไม่รู้จักพอ บางทีมนุษย์อย่างพวกยุทธิ์อาจนำเผ่าพันธุ์ไปสู่จุดจบแบบเดียวกับมนุษย์บนดาวดวงอื่นที่พวกหนี่วาเคยประสบพบเจอมาก้ได้
..........................................
ตอนแรก https://pantip.com/topic/38221535
ตอนสอง https://pantip.com/topic/38227544