"อาจารย์ทำแบบนี้ได้ไงกันครับ" ชายหนุ่มเดินเข้ามาโวยวายใส่ชายวัยใกล้เกษียณ ในเต้นท์ทำงานภาคสนาม
คนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ แหงนหน้ามองพลางขยับแว่น
"พิชัยยุทธิ์ อะไรที่เธอบอกว่าอาจารย์ทำแบบนี้ได้ยังไง" อาจารย์ถามย้อน
โครม...กองเอกสารวางกระแทกบนโต็ะอย่างแรงโดยอารมย์โมโห ซึ่งดูเหมือนว่าอาจารย์ของพิชัยยุทธิ์จะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
"ทั้งๆที่ผลการศึกษามันชี้ชัดขนาดนี้แล้วทำไมอาจารย์ถึงได้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเหรอครับ" ชายหนุ่มกล่าวอย่างโมโห
อาจารย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาตบไหล่พิชัยยุทธิ์เบาๆอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็เล่าอะไรเสียยืดยาวเกี่ยวการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าแม่น้ำโขงตามความร่วมมือของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และนั่นคือทางแก้ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
"ถึงแม้ว่าว่ามันจะทำให้ระบบนิเวศเสียหายงั้นเหรอครับ" พิชัยยุทธิ์แย้งพร้อมกับการกล่าวอ้างถึงผลการศึกษา เรื่องการเปลี่ยนแปลงของตะกอนในแม่น้ำโขง ระดับน้ำ ปริมาณและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำโขง
"แล้วเธอจะให้ทำยังไง คนในประเทศเราก็มากขึ้นทุกวัน ความต้องการไฟฟ้าก็มากขึ้น จะให้ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเหรอ พลังงานนิวเคลียร์เหรอ ปัญหาโลกร้อนอะไรอีกสารพัด ไฟฟ้าพลังงานน้ำคือคำตอบที่ดีที่สุด" อาจารย์กล่าวแย้งอย่างมีเหตุผล แต่เหตุผลลึกๆแล้ว พิชัยยุทธิ์รู้ดีว่ามันคืออะไร
งบประมาณเพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนหลายร้อยล้านบาท ที่ทางภาควิชาได้รับมากจากทางการไทย หรือจะพูดง่ายๆก็คือ บริษัทด้านก่อสร้างและพลังงานไฟฟ้าที่ครอบครัวของพิชัยยุทธิ์เป็นเจ้าของ ที่รับงานจากการไฟฟ้าของไทยเพื่อก่อสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนเป็นคำสั่งว่า รายงานผลกระทบนี้ต้องผ่าน หน้าฉากของเงินจำนวนนี้ถูกนำมาใช้เพื่อกิจการของภาควิชา ทุนการศึกษา ทุนวิจัย ซึ่งพิชัยยุทธิ์ นักศึกษาปริญญาโท ของภาควิชานี้เรียนอยู่ และเงินที่ไม่สามารถสำแดงในบัญชีได้ ถูกแจกจ่ายไปยังทุกภาคส่วน เสมือนใบผ่านทางในโครงการนี้ลุล่วง แน่นอนรวมไปถึงอาจารย์ของเค้าเองด้วย
"ถึงแม้ต้นทุนของพลังงานสะอาดนั้นจะมาจากระบบนิเวศที่ต้องเสียไปอย่างนั้นเหรอครับ" ไม่มีคำตอบของคำถามจากอาจารย์ มีเพียงร้อยยิ้มที่พอจะเป็นคำตอบได้ว่า นั่นแหละคือสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว
..................................................
"เฮ้ยต็อด ข้าน่ะ ไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังกับการศึกษามากขนาดนี้เลยว่ะ" พิชัยยุทธิ์ที่นั่งดื่มเหล้า เพื่อย้อมใจให้หยุดคิดจากเรื่องทั้งหมด ขณะที่ต็อด เพื่อนร่วมคณะที่ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม ที่ตอนนี้ก็ลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่เช่นกัน
"ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั้ยยุทธิ์อุดมการณ์แก มันเด็กๆว่ะ จะมาเป็นอาจารย์สั่งสอนคนเพื่อสิ่งแวดล้อมน่ะมันไม่ม่ีจริงหรอก ดูอย่างอาจารย์เรา แม่...ง ตอนเรียนตรีก็พูดว่ารักษาสิ่งแวดล้อมนั่นๆนี่ๆ พอจะเกษียณก็กระดิกหางรับเศษเงินนายทุน" เอ็นจีโอหนุ่มหนวดเฟิ้ม ผู้ซึ่งพูดจาขวานผ่าซากมาแต่ไหนแต่ไร ก็ว่าอาจารย์ที่ตัวเองเคยเคารพอย่างไม่มีชิ้นดี ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนยุทธิ์คงโมโหเอากำปั้นฟาดปากเพื่อนของเค้าไปแล้ว แต่ตอนนี้ยุทธิ์ทำได้เพียงยิ้มอย่างเห็นด้วย พลางรินเหล้าจากขวดแล้วยกซดมันทั้งอย่างนั้น
ท้องฟ้าริมโขงยามค่ำคืนของจังหวัดเชียงราย ช่างหนาวสะท้าน ยุทธิ์มองไปยังกองไฟที่จุดไว้คลายหนาวยามที่มันกำลังจะมอด ยุทธิ์ไม่รู้ว่าอีกหน่อยไฟอุดมการณ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของเค้าจะมอดลงเหมือนอาจารย์ของเค้าหรือไม่ เค้าจะสู้ต่อไป หรือยอมหันหลังกลับไปหากิจการหมื่นล้านแสนแล้วของครอบครัวแล้วทิ้งอุดมการณ์สิ่งแวดล้อมไว้เบื้องหลัง
เมื่อไฟเริ่มมอด ยุทธิ์ดึงผ้าห่มที่เลื่อนลงมาให้ห่มคลุมต็อดเพื่อของเค้าที่หลับคาขวดเหล้า สายตามองไปที่ดาวบนผืนน้ำ เขาไม่รู้ว่าเมื่อการศึกษานี้จบลงพร้อมกับการเริ่มต้นก่อสร้างเขื่อน แสงดาวบนสายน้ำโขงจะยังคงงดงามเหมือนคืนนี้อีกหรือไม่
............................................
เช้าที่วุ่นวายมันก็เริ่มต้นเหมือนทุกวัน ต็อดนำชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยออกมาประท้วงการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ที่เหมือนเป็นตรายางให้นายทุนเดินหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อนต่อไปได้ วันสุดท้ายที่ยุทธิ์จะต้องลงภาคสนามเพื่อวัดปริมาณตะกอนของแม่น้ำโขง ส่วนหนึ่งการเพื่อรายงานผลกระทบ อีกส่วนก็เพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของตัวเค้าเอง และแน่นอนมันก็เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่กับเพื่อนสนิทสมัยเรียนปริญญาตรี ที่ตอนนี้ทั้งสองคนต้องเดินกันคนละเส้นทาง
"เฮ้ยต็อด ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวเอ็งขับเรือพาข้าไปวัดตะกอนหน่อยได้มั้ย เราจะได้คุยอะไรๆกันก่อนกลับ" ยุทธิ์เอ่ยปากชวน แล้วมีหรือต็อดเพื่อนรักจะปฏิเสธ
ทั้งสองช่วยกันขนอุปกรณ์ที่จำเป็นลงเรือหางยาว หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ ต็อดก็ขับเรือพายุทธิ์ไปยังจุดต่างๆของแม่น้ำโขง เพื่อวัดปริมาณตะกอน
"ไม่นึกว่าพี่ว๊ากอย่างเอ็งเนี้ยจะปลุกระดมชาวบ้านได้ดีเหมือนกันนะ" ยุทธิ์พูดแหย่เพื่อน
"เอ็งคิดว่าข้าไปว๊ากชาวบ้านให้มาประท้วงหรือไง พวกที่มาประท้วงน่พชาวประมงพื้นบ้านทั้งนั้น พอประเทศต้นน้ำสร้างเขื่อน ปลาก็ดูเหมือนน้อยลง พอจะมีการสร้างเขื่อนอีก พวกข้าก็แค่เข้ามาให้ความรู้ ชาวบ้านไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เค้าก็เลยมาประท้วงกัน"ต็อดตอบ
ทั้งคู่เริ่มสำรวจบริเวณจุดต่างๆ พอถึงจุดสุดท้ายที่ต้องปริมาณตะก่อนคือ บริเวณเหนือจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง
ระหว่างที่ยุทธิ์กำลังวัดปริมาณตะกอนอยู่ ต็อดที่นั่งสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ก้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง เรือหาปลา จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ได้เล่นตรงมาใกล้เรือของพวกเค้า
แต่ก่อนที่ต็อดจะได้ทันหันเรือเพื่อหนี คมกระสุนของอาวุธสงคราม ได้เจอะทะลุผ่านร่างของเอ็นจีโอหนุ่มไป ต่อหน้าต่อตายุทธิ์ร่างที่ถูกยิงจะพรุนได้ตกลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง ยุทธิ์ตัดสินใจกระโดดลงไปทันทีตามสัญชาตญานการเอาตัวรอด และด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
ร่างของต็อดค่อยๆจมดิ่งไปยังเบื้องล่าง เบื้องบนมีกระสุนตกลงมาอีกไม่ยั้ง ความลึกของแม่น้ำโขงค่อยแยกร่างของทั้งคู่ออกจากกัน พร้อมกับสติที่เริ่มเลือนลางของยุทธิ์เอง
...............................................
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ความรู้สึกอบอุ่นนี้มันคืออะไร มันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก สวรรค์งั้นเหรอ นี่เราตายแล้วงั้นเหรอ ความคิดความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาในหัวสมอง ยุทธิ์ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ รอบๆตัวเขามันไม่เหมือนน้ำในแม่น้ำโขง มันมั้นกลับเป็นของเหลวใสสีเขียว สายระโยงระยางต่างๆแปะตามตัวของยุทธิ์ ที่ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นอยู่ติดกาย ตอนนี้เขากำลังลอยอยู่หลอดแก้วที่บรรจุสารสีเขียวๆเอาไว้ แต่น่าแปลก เขากลับหายใจในของเหลวชนิดนี้ได้ราวกับหายใจแบบปกติ
เมื่อสายตาเริ่มประโฟกัสได้ เขามองไปที่รอบๆหลอดแก้วขนาดใหญ่นั้น มันคือโถงโล่ง ที่มีหลอดแก้ว ที่คล้ายๆกับที่เข้าอยู่เป็นสิบๆหลอด แต่กลับไม่มีใครอยู่ด้านในเลบเว้นแต่หลอดของเขาเท่านั้น มันเหมือนห้องวิจัยลับที่หลุดออกมาจากหนังไซไฟฮอลลีวูด
ครู่หนึ่ง ก็มีสตรีร่างบางเดินเข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่าง มันใหญ่โต แววตาสีแดงก่ำ มันเลื้อยตามสตรีนางนั้นเข้ามา แม้จะมองผ่านของเหลวสีเขียว แต่ยุทธิ์กลับมองเห็นสตรีที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่เขาเคยพบเคยเจอ แต่สาวสวยคนนั้นกลับไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดประดับกายที่งามระหงราวกับรูปปั้นเทพธิดากรีก จนทำให้ยุทธิ์รู้สึกเขินอายแทนเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ และสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังของเธอนั้นทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า
มันคือพญานาค งูยักษ์มีหงอน ที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเพียงจินตนาการของคนโบราณเท่านั้น
หญิงสาวค่อยๆวาดมือไปบนอาการ จอภาพโฮโลแกรม ประมาณ4-5จอก็ปรากฏเบื้องหน้า มันแสดงถึงลักษระร่างกายมนุษย์ ซึ่งน่าจะเป็นการแสดงถึงร่างกายของยุทธิ์เอง เมื่อหญิงสาวกวาดสายตาไปที่ละจอๆอย่างพิจารณา เะอก็ค่อยๆวาดมือลง พร้อมๆกับระดับของเหลวสีเขียวในหลอดที่ยุทธิ์อยู่ข้างในค่อยๆลดระดับลงจนหมด จากนั้นหลอดแก้วก็ค่อยๆเปิดออก พร้อมๆกับสายระโยงระยางต่างๆก็หลุดออกไป เธอคนนั้นค่อยๆเดินมายังเบื้องหน้าของยุทธิ์เอง พร้อมๆกับเสียงหนึ่งที่ดังก้องในหัวของเขา
"เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่"
มนุสโสสิ ตอนที่ 1
คนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ แหงนหน้ามองพลางขยับแว่น
"พิชัยยุทธิ์ อะไรที่เธอบอกว่าอาจารย์ทำแบบนี้ได้ยังไง" อาจารย์ถามย้อน
โครม...กองเอกสารวางกระแทกบนโต็ะอย่างแรงโดยอารมย์โมโห ซึ่งดูเหมือนว่าอาจารย์ของพิชัยยุทธิ์จะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
"ทั้งๆที่ผลการศึกษามันชี้ชัดขนาดนี้แล้วทำไมอาจารย์ถึงได้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเหรอครับ" ชายหนุ่มกล่าวอย่างโมโห
อาจารย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินมาตบไหล่พิชัยยุทธิ์เบาๆอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็เล่าอะไรเสียยืดยาวเกี่ยวการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าแม่น้ำโขงตามความร่วมมือของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และนั่นคือทางแก้ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
"ถึงแม้ว่าว่ามันจะทำให้ระบบนิเวศเสียหายงั้นเหรอครับ" พิชัยยุทธิ์แย้งพร้อมกับการกล่าวอ้างถึงผลการศึกษา เรื่องการเปลี่ยนแปลงของตะกอนในแม่น้ำโขง ระดับน้ำ ปริมาณและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำโขง
"แล้วเธอจะให้ทำยังไง คนในประเทศเราก็มากขึ้นทุกวัน ความต้องการไฟฟ้าก็มากขึ้น จะให้ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเหรอ พลังงานนิวเคลียร์เหรอ ปัญหาโลกร้อนอะไรอีกสารพัด ไฟฟ้าพลังงานน้ำคือคำตอบที่ดีที่สุด" อาจารย์กล่าวแย้งอย่างมีเหตุผล แต่เหตุผลลึกๆแล้ว พิชัยยุทธิ์รู้ดีว่ามันคืออะไร
งบประมาณเพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนหลายร้อยล้านบาท ที่ทางภาควิชาได้รับมากจากทางการไทย หรือจะพูดง่ายๆก็คือ บริษัทด้านก่อสร้างและพลังงานไฟฟ้าที่ครอบครัวของพิชัยยุทธิ์เป็นเจ้าของ ที่รับงานจากการไฟฟ้าของไทยเพื่อก่อสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนเป็นคำสั่งว่า รายงานผลกระทบนี้ต้องผ่าน หน้าฉากของเงินจำนวนนี้ถูกนำมาใช้เพื่อกิจการของภาควิชา ทุนการศึกษา ทุนวิจัย ซึ่งพิชัยยุทธิ์ นักศึกษาปริญญาโท ของภาควิชานี้เรียนอยู่ และเงินที่ไม่สามารถสำแดงในบัญชีได้ ถูกแจกจ่ายไปยังทุกภาคส่วน เสมือนใบผ่านทางในโครงการนี้ลุล่วง แน่นอนรวมไปถึงอาจารย์ของเค้าเองด้วย
"ถึงแม้ต้นทุนของพลังงานสะอาดนั้นจะมาจากระบบนิเวศที่ต้องเสียไปอย่างนั้นเหรอครับ" ไม่มีคำตอบของคำถามจากอาจารย์ มีเพียงร้อยยิ้มที่พอจะเป็นคำตอบได้ว่า นั่นแหละคือสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว
..................................................
"เฮ้ยต็อด ข้าน่ะ ไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังกับการศึกษามากขนาดนี้เลยว่ะ" พิชัยยุทธิ์ที่นั่งดื่มเหล้า เพื่อย้อมใจให้หยุดคิดจากเรื่องทั้งหมด ขณะที่ต็อด เพื่อนร่วมคณะที่ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม ที่ตอนนี้ก็ลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่เช่นกัน
"ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั้ยยุทธิ์อุดมการณ์แก มันเด็กๆว่ะ จะมาเป็นอาจารย์สั่งสอนคนเพื่อสิ่งแวดล้อมน่ะมันไม่ม่ีจริงหรอก ดูอย่างอาจารย์เรา แม่...ง ตอนเรียนตรีก็พูดว่ารักษาสิ่งแวดล้อมนั่นๆนี่ๆ พอจะเกษียณก็กระดิกหางรับเศษเงินนายทุน" เอ็นจีโอหนุ่มหนวดเฟิ้ม ผู้ซึ่งพูดจาขวานผ่าซากมาแต่ไหนแต่ไร ก็ว่าอาจารย์ที่ตัวเองเคยเคารพอย่างไม่มีชิ้นดี ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนยุทธิ์คงโมโหเอากำปั้นฟาดปากเพื่อนของเค้าไปแล้ว แต่ตอนนี้ยุทธิ์ทำได้เพียงยิ้มอย่างเห็นด้วย พลางรินเหล้าจากขวดแล้วยกซดมันทั้งอย่างนั้น
ท้องฟ้าริมโขงยามค่ำคืนของจังหวัดเชียงราย ช่างหนาวสะท้าน ยุทธิ์มองไปยังกองไฟที่จุดไว้คลายหนาวยามที่มันกำลังจะมอด ยุทธิ์ไม่รู้ว่าอีกหน่อยไฟอุดมการณ์เพื่อสิ่งแวดล้อมของเค้าจะมอดลงเหมือนอาจารย์ของเค้าหรือไม่ เค้าจะสู้ต่อไป หรือยอมหันหลังกลับไปหากิจการหมื่นล้านแสนแล้วของครอบครัวแล้วทิ้งอุดมการณ์สิ่งแวดล้อมไว้เบื้องหลัง
เมื่อไฟเริ่มมอด ยุทธิ์ดึงผ้าห่มที่เลื่อนลงมาให้ห่มคลุมต็อดเพื่อของเค้าที่หลับคาขวดเหล้า สายตามองไปที่ดาวบนผืนน้ำ เขาไม่รู้ว่าเมื่อการศึกษานี้จบลงพร้อมกับการเริ่มต้นก่อสร้างเขื่อน แสงดาวบนสายน้ำโขงจะยังคงงดงามเหมือนคืนนี้อีกหรือไม่
............................................
เช้าที่วุ่นวายมันก็เริ่มต้นเหมือนทุกวัน ต็อดนำชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยออกมาประท้วงการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ที่เหมือนเป็นตรายางให้นายทุนเดินหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อนต่อไปได้ วันสุดท้ายที่ยุทธิ์จะต้องลงภาคสนามเพื่อวัดปริมาณตะกอนของแม่น้ำโขง ส่วนหนึ่งการเพื่อรายงานผลกระทบ อีกส่วนก็เพื่อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของตัวเค้าเอง และแน่นอนมันก็เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่กับเพื่อนสนิทสมัยเรียนปริญญาตรี ที่ตอนนี้ทั้งสองคนต้องเดินกันคนละเส้นทาง
"เฮ้ยต็อด ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวเอ็งขับเรือพาข้าไปวัดตะกอนหน่อยได้มั้ย เราจะได้คุยอะไรๆกันก่อนกลับ" ยุทธิ์เอ่ยปากชวน แล้วมีหรือต็อดเพื่อนรักจะปฏิเสธ
ทั้งสองช่วยกันขนอุปกรณ์ที่จำเป็นลงเรือหางยาว หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ ต็อดก็ขับเรือพายุทธิ์ไปยังจุดต่างๆของแม่น้ำโขง เพื่อวัดปริมาณตะกอน
"ไม่นึกว่าพี่ว๊ากอย่างเอ็งเนี้ยจะปลุกระดมชาวบ้านได้ดีเหมือนกันนะ" ยุทธิ์พูดแหย่เพื่อน
"เอ็งคิดว่าข้าไปว๊ากชาวบ้านให้มาประท้วงหรือไง พวกที่มาประท้วงน่พชาวประมงพื้นบ้านทั้งนั้น พอประเทศต้นน้ำสร้างเขื่อน ปลาก็ดูเหมือนน้อยลง พอจะมีการสร้างเขื่อนอีก พวกข้าก็แค่เข้ามาให้ความรู้ ชาวบ้านไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เค้าก็เลยมาประท้วงกัน"ต็อดตอบ
ทั้งคู่เริ่มสำรวจบริเวณจุดต่างๆ พอถึงจุดสุดท้ายที่ต้องปริมาณตะก่อนคือ บริเวณเหนือจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง
ระหว่างที่ยุทธิ์กำลังวัดปริมาณตะกอนอยู่ ต็อดที่นั่งสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ก้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง เรือหาปลา จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ได้เล่นตรงมาใกล้เรือของพวกเค้า
แต่ก่อนที่ต็อดจะได้ทันหันเรือเพื่อหนี คมกระสุนของอาวุธสงคราม ได้เจอะทะลุผ่านร่างของเอ็นจีโอหนุ่มไป ต่อหน้าต่อตายุทธิ์ร่างที่ถูกยิงจะพรุนได้ตกลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง ยุทธิ์ตัดสินใจกระโดดลงไปทันทีตามสัญชาตญานการเอาตัวรอด และด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
ร่างของต็อดค่อยๆจมดิ่งไปยังเบื้องล่าง เบื้องบนมีกระสุนตกลงมาอีกไม่ยั้ง ความลึกของแม่น้ำโขงค่อยแยกร่างของทั้งคู่ออกจากกัน พร้อมกับสติที่เริ่มเลือนลางของยุทธิ์เอง
...............................................
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ความรู้สึกอบอุ่นนี้มันคืออะไร มันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก สวรรค์งั้นเหรอ นี่เราตายแล้วงั้นเหรอ ความคิดความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาในหัวสมอง ยุทธิ์ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ รอบๆตัวเขามันไม่เหมือนน้ำในแม่น้ำโขง มันมั้นกลับเป็นของเหลวใสสีเขียว สายระโยงระยางต่างๆแปะตามตัวของยุทธิ์ ที่ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นอยู่ติดกาย ตอนนี้เขากำลังลอยอยู่หลอดแก้วที่บรรจุสารสีเขียวๆเอาไว้ แต่น่าแปลก เขากลับหายใจในของเหลวชนิดนี้ได้ราวกับหายใจแบบปกติ
เมื่อสายตาเริ่มประโฟกัสได้ เขามองไปที่รอบๆหลอดแก้วขนาดใหญ่นั้น มันคือโถงโล่ง ที่มีหลอดแก้ว ที่คล้ายๆกับที่เข้าอยู่เป็นสิบๆหลอด แต่กลับไม่มีใครอยู่ด้านในเลบเว้นแต่หลอดของเขาเท่านั้น มันเหมือนห้องวิจัยลับที่หลุดออกมาจากหนังไซไฟฮอลลีวูด
ครู่หนึ่ง ก็มีสตรีร่างบางเดินเข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่าง มันใหญ่โต แววตาสีแดงก่ำ มันเลื้อยตามสตรีนางนั้นเข้ามา แม้จะมองผ่านของเหลวสีเขียว แต่ยุทธิ์กลับมองเห็นสตรีที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่เขาเคยพบเคยเจอ แต่สาวสวยคนนั้นกลับไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดประดับกายที่งามระหงราวกับรูปปั้นเทพธิดากรีก จนทำให้ยุทธิ์รู้สึกเขินอายแทนเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ และสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังของเธอนั้นทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า
มันคือพญานาค งูยักษ์มีหงอน ที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเพียงจินตนาการของคนโบราณเท่านั้น
หญิงสาวค่อยๆวาดมือไปบนอาการ จอภาพโฮโลแกรม ประมาณ4-5จอก็ปรากฏเบื้องหน้า มันแสดงถึงลักษระร่างกายมนุษย์ ซึ่งน่าจะเป็นการแสดงถึงร่างกายของยุทธิ์เอง เมื่อหญิงสาวกวาดสายตาไปที่ละจอๆอย่างพิจารณา เะอก็ค่อยๆวาดมือลง พร้อมๆกับระดับของเหลวสีเขียวในหลอดที่ยุทธิ์อยู่ข้างในค่อยๆลดระดับลงจนหมด จากนั้นหลอดแก้วก็ค่อยๆเปิดออก พร้อมๆกับสายระโยงระยางต่างๆก็หลุดออกไป เธอคนนั้นค่อยๆเดินมายังเบื้องหน้าของยุทธิ์เอง พร้อมๆกับเสียงหนึ่งที่ดังก้องในหัวของเขา
"เจ้าเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่"