ในห้วงลึกของจิตใจ มีแต่ความเคว้งคว้างดำมืด เสียงสะอื้นสะท้อนก้องในความโดดเดี่ยวจากร่างเล็กๆที่ขดซุกกับอ้อมแขนของตน จอมมารวฤตระนั่งขัดสมาธิ โน้มตัวลงเท้าคางมองร่างนั้นอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เด็กน้อยสงบลง จะได้รีบไปให้พ้นหน้าพ้นตาเสียที เพราะตอนนี้เขากำลังทรมานจากอาการง่วงนอน แต่ไม่สามารถหลับลงได้เป็นเพราะเสียงสะอื้นและความรู้สึกอันเจ็บปวดของสรษดา ที่แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึกของเขาให้รับรู้ด้วยเช่นกัน
“โว้ย!! ช่างน่าหงุดหงิดนัก” แล้วก็ลุกพรวดชี้นิ้วต่อว่าเด็กน้อย “เจ้าก็ช่างโง่งมนัก เจ้าเองก็คิดได้แล้วไม่ใช่เรอะ สาเหตุเพราะไอ้ยาถ้วยนั้นที่มารดาของเจ้าหยิบยื่นให้ ทำให้เจ้าต้องได้รับความอัปยศอย่างไม่น่าให้อภัยจากพวกมนุษย์ เผ่าที่แสนอ่อนแอและด้อยค่า..เจ้าเลิกร้องไห้คร่ำครวญได้แล้ว อย่างไรเสีย พวกมันก็สลายเป็นเถ้าไปหมดแล้ว เก็บแรงของเจ้าไปตามล่าไอ้ปิศาจงูนั่นดีกว่า แล้วข้าจะทรมานมันให้หายแค้น”
ชายหนุ่มพูดออกไปตั้งมากมาย แต่เสมือนสายลมโชยผ่านหินผา เด็กน้อยยังคงจมปลักอยู่ในความโศกตรม จอมมารหนุ่มงุ่นง่าน พร้อมๆน้ำตาเอ่อท้น ยิ่งเขาพูดจาว่าร้ายมากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูจนเขาจำต้องสงบปากสงบคำ แค่นหัวเราะเย้ยหยันในชะตากรรมของตนเอง
“ชาติก่อนข้าเคยติดค้างอะไรเจ้าเรอะ..กายเนื้อข้าต้องสูญสิ้นก็เป็นเพราะบิดาของเจ้า ข้าต้องพลัดพรากจากครอบครัวมาติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้าอย่างโดดเดี่ยว แล้วเหตุใด มารเช่นข้ายังต้องมาร่วมโศกเศร้าไปกับชะตากรรมอันโสมมของพวกเจ้าด้วย ข้าทำผิดอะไรนักหนาเรอะ!”
วฤตระตรงเข้ากระชากร่างเล็กๆนั้นจนตัวปลิวขึ้นมาตามแรง ตะโกนถามอย่างคับแค้นใจ แต่สรษดาทำได้เพียงมองสบพร้อมน้ำตาเจิ่งนอง
“ข้าไม่รู้..ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น..หรือเพราะข้าทั้งอ่อนแอและโง่งมดั่งคำกล่าวของท่าน เสด็จแม่ถึงทำกับข้าเช่นนี้..หรือเพราะพระองค์ผิดหวังในตัวข้า เสด็จแม่ถึงได้เกลียดข้าแล้ว” ประโยคที่ถามกลับเสียดลึกในความรู้สึกของจอมมารหนุ่ม
นับตั้งแต่ดวงจิตหลอมรวมกับโอรสสวรรค์ และแม้จะหลับใหล แต่หลายครั้งดวงจิตของเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของสรษดายามถูกทำร้ายร่างกายและความอึดอัดคับแค้นใจที่ต้องทนอยู่ภายใต้คำบัญชาของพระนางมาทรี หรือความขุ่นข้องหมองใจในการกระทำของผู้ให้กำเนิด ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้น แม้จะเลือนราง ทว่าความเจ็บปวดที่เด็กน้อยได้รับยังคงหลงเหลือร่องรอยให้เขาได้ซึมซับร่วมกัน แม้เขาจะพยายามปฏิเสธที่จะรับรู้ในความรู้สึกเหล่านั้น แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
และยามนี้ จิตใจของสรษดาอ่อนแอไร้การต่อต้านใดๆ จอมมารหนุ่มเพ่งพินิจพลางครุ่นคิด
..หากฉวยโอกาสนี้ ยึดครองจิตอันบอบช้ำบิดเบี้ยวดวงนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญนัก จากนั้น เขาก็สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกนึกคิดของสรษดา และสามารถกระทำตามใจปรารถนาอย่างเป็นอิสระ..
ชายหนุ่มยิ้มกระหยิ่มใจ มองร่างของเด็กน้อยไม่สามารถยืนทรงตัวได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะมือเขาที่กำรวบข้อมือเล็กๆชูขึ้นสูง จึงยื่นมืออีกข้างเชยใบหน้าที่ฟุบต่ำให้เงยขึ้นเห็นถึงความสิ้นหวังในโชคชะตาของอีกฝ่าย จิตใจพลันหล่นวูบ แต่ยังคงเอื้อนเอ่ยออกไป
“เด็กน้อย..หากเจ้าเจ็บปวดและเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวแล้ว..เช่นนั้น มอบกายหยาบของเจ้าให้ข้าได้หรือไม่”
สรษดามองสบ พลางตอบอย่างเลื่อนลอย
“กายที่ไม่มีใครต้องการ จะมีประโยชน์อันใดกับท่าน” พลางทิ้งตัวสวมกอดร่างตรงหน้าแน่นอย่างหาหลักพึ่งพิง
วฤตระถึงกับยืนแข็งค้างกับอ้อมกอดของเผ่าเทวาที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนในชีวิต และอ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆและสับสนจนเขาไม่อาจผลักไส ไฟแค้นที่สุมแน่นในอกยังคงลุกโชน ทว่า..หัวใจของร่างเล็กๆนี้บริสุทธิ์และเปราะบางเกินกว่าจะทำลายลงได้ สุดท้าย เขาจำต้องโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจในจิตใจอันอ่อนไหวของตน ก่อนปลอบประโลม
“ไม่เป็นไร หลับเสียหน่อยเถอะนะเด็กน้อย..ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใด”
ร่างเล็กบอบบางในอ้อมอกเริ่มหยุดสะอื้น ดวงจิตอ่อนล้าค่อยๆหลับใหล ทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง
ท้ายวังเจ้าเมือง..
นางภูตงูดินในวัยชรากำลังขมีขมันในการกวาดลานเดินรอบสวนดอกไม้ที่นางเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาหลายสิบปี พลางพูดคุยกับดอกไม้ใบหญ้าตามประสาเฉกเช่นทุกวัน ทว่า..วันนี้นางกำลังพบผู้มาเยือนที่ทำให้เส้นขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะสัมผัสได้ถึงฌานอันสูงส่งของสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์
นางก้มหน้างุด ไม้กวาดทางมะพร้าวในมือหลุดร่วงยามก้าวถอย
“ขะ..ข้ากำเนิดขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ มิได้หลบหนีมาจากที่ใดนะเจ้าคะ..” พลางเอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เพราะคิดว่าสัตว์ภูตตนนี้ได้รับคำสั่งให้มาตามจับเหล่าปิศาจหรือภูตที่หนีจากดินแดนอื่นมาหลบซ่อนตัวอยู่ในโลกมนุษย์
“ไม่ต้องหวาดกลัวข้าหรอกท่านยาย..ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องให้ท่านช่วยเหลือ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและเป็นมิตร ทำให้นางภูตกล้าที่จะเงยหน้ามองผู้มาเยือน แล้วให้ขมวดคิ้วมุ่น
ร่างจำแลงนั้นสูงโปร่งคลุมด้วยผ้าทอสีเมฆ ใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาจนไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเป็นหญิงหรือชาย กึ่งกลางระหว่างคิ้วปรากฏตราสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้เป็นนายปิดผนึกด้วยติลักษณ์สีแดงทับทิมรูปหยดน้ำ แม้ว่าสัตว์ภูตตนนี้จะมีฌานชั้นสูง ทว่าดวงจิตคงได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังวิญญาณถึงได้บางเบา ผิวกายและเรือนผมยาวขาวสว่างแลดูโปร่งแสง ในอ้อมอกโอบอุ้มร่างหมดสติของเด็กชายวัยประมาณสิบขวบ ซึ่งดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย
“ท่านต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดเรอะ”
ผู้มาเยือนเดินเข้าใกล้ แล้วยื่นร่างเด็กน้อยส่งให้
“ท่านช่วยดูแลเขาแทนข้าที”
นางภูตอึกอัก “แล้วเขาเป็นใครล่ะ..เหตุใดข้าต้องดูแลเขาด้วย”
“เขาสำคัญสำหรับข้ามาก เพียงแต่..ยามนี้ ข้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องใครได้ จึงขอความเมตตาจากท่านช่วยดูแลเขาแทนข้าชั่วคราว”
นางภูตมองเขาสลับกับเด็กน้อย
“หือ..สำคัญมากสำหรับท่าน เช่นนั้นคงเป็นบุตรของท่านสินะ อืม..ท่านเองก็ดูบาดเจ็บภายในไม่น้อยคงจะเลี้ยงดูเขาลำบากสินะ..มา ๆ งั้นข้าจะดูแลเขาให้ ท่านก็รีบรักษาตัวเถอะ หายแล้วค่อยมารับเขาคืนจากข้า”
และยื่นมือไปรับร่างเด็กชาย สายตาเหลือบเห็นแขนที่โผล่พ้นชายผ้าของอีกฝ่ายปรากฏเกล็ดงูสีขาวชัดเจน นางก็พอจะเดาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้
“รับรองว่าข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี..ท่านเองก็ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
ผู้มาเยือนโน้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการน้อมรับด้วยใบหน้าอิดโรย สายตาอาทรเหลือบมองร่างเด็กน้อยอีกครั้งก่อนจะหันจากไป
“โปรดรักษาพระวรกาย..แล้วสักวัน กระหม่อมจะกลับมารับใช้พระองค์อีกครั้ง”
นางภูตรีบนำร่างเด็กชายกลับเรือนพักของตน แล้วเริ่มสำรวจอาการบาดเจ็บ
“ตายแล้ว! บิดาของเจ้าพาไปออกศึกสงครามมาหรือไรกัน บาดแผลถึงได้มากมายเพียงนี้”
นางใช้สมุนไพรมารักษาบาดแผลฉกรรจ์ จากนั้นก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวชำระคราบเลือดเกรอะกรังจนหมด แล้วก็พินิจพิจารณาใบหน้าที่ยังไม่ได้สติ
“อุแหม ! เจ้านี่ช่างหล่อเหลาเอาการเชียวนะ หากโตเป็นหนุ่มรุ่นกระทง แม่ของเจ้าคงฉีกผ้าอ้อมไม่ทันแน่..เสียแต่คิ้วของเจ้านี่ เหตุใดถึงขมวดยุ่งเช่นนี้” พลางใช้หัวแม่มือนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วให้ “เด็กน้อยเช่นเจ้ามีเรื่องมากมายอันใดต้องคิดนักหนาเรอะ ขนาดไม่ได้สติ สีหน้าของเจ้ายังอมทุกข์ไม่คลาย..เฮ้อ”
นางภูตนวดคลึงได้ไม่กี่อึดใจก็หยุดชะงัก และยื่นใบหน้าเข้าใกล้ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นของดอกไม้มาจากร่างของเด็กชาย
“เจ้าไม่ใช่ภูตศักดิ์สิทธิ์เช่นบิดาของเจ้าหรอกเรอะ”
นางครุ่นคิด..เรื่องราวมันคงไม่ได้เป็นไปอย่างที่นางเข้าใจสินะ แล้วรีบลุกลงจากเรือนนำดินโคลนติดมือขึ้นมาคลุกกับสมุนไพรกลิ่นฉุน ก่อนนำมาทาทั่วเนื้อตัวของเด็กชาย เพราะคาดเดาได้ว่า เด็กผู้นี้อาจจะเป็นเผ่าเทวา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะถูกหมายตาจากบรรดาปิศาจ หรือภูตมาร จับตัวไปกลืนกินเพื่อเพิ่มฌานบารมี
“เพราะเมื่อกี้เจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดข้าจึงไม่ได้เอะใจ..แล้วเหตุใด เผ่าเทวาถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า”
ขณะที่นางภูตกำลังคาดเดาไปต่างๆนานา เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ตะโกนลั่น
“ยายเฒ่ามุตตา อยู่หรือไม่..ยายเฒ่า!” ตะโกนหาพร้อมกระโจนขึ้นเรือนอย่างไม่รั้งรอ ก่อนที่เจ้าของเรือนจะทันได้ขยับลุกขึ้นเสียอีก
“เอ๋ นั่นเจ้าเก็บตัวอะไรมากันล่ะ” เด็กหนุ่มยื่นหน้าถามอย่างสงสัยกับร่างของเด็กชายที่เปรอะเปื้อนดินโคลน
นางเฒ่าซัดเผียะกับต้นแขน
“ปากเสีย นั่นน่ะหลานชายของข้า แต่สติไม่ค่อยสมประดีนัก ชอบทำเช่นนี้ล่ะ..มันเพิ่งมาหาข้าเมื่อคืน แล้วไม่สบาย ข้าเลยให้กินยานอนน่ะ”
เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังจ้องมองไม่วางตา จนนางเฒ่ารุนหลังเขา พลางถาม
“แล้วเจ้ามาตะโกนโหวกเหวกด้วยเรื่องอันใด”
“อ้อ..ไม่มีอันใดมากหรอก แค่ข้ากับตาเฒ่าฉิมอยากได้เหล้าที่ท่านหมักไว้สักสองไห..คืนนี้พวกข้ามีแข่งกัดจิ้งหรีดที่ท้ายป่ากันน่ะ”
“พวกเจ้านี่นะ ถ้าเจ้าเมืองน้อยรู้เข้า ระวังจะหลังลายล่ะ”
เด็กหนุ่มรีบยกนิ้วชี้มาปิดปาก
“ชูว์..เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด เจ้าเมืองน้อยก็ไม่รู้หรอก..น่ารีบไปเอาเหล้าให้ข้าเถอะ หากคืนนี้ชนะ ข้าจะแบ่งเบี้ยให้ท่านเป็นค่าเหล้า”
“แล้วหากเจ้าแพ้ล่ะ ข้ามิเสียเหล้าไปเปล่าๆปลี้ๆเรอะ”
“อพิโธ่อพิถัง เหตุใดพูดไม่เป็นมงคลเช่นนั้นเล่ายายเฒ่า ตบปากเลยนะ” และทำท่าจะตบปากยายเฒ่าอย่างลืมตัว แต่เมื่อเจอสีหน้าเอาเรื่อง พร้อมเท้าสะเอว เด็กหนุ่มยิ้มแหย รีบตบปากตัวเองแทน “ข้าหมายถึงตบปากข้าเองน่ะ..นี่แน่ะ..นี่แน่ะ”
นางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“พอเลย..ตามข้ามา” แล้วเดินลงจากเรือนไปยังต้นจำปี
“เอ้า เจ้าขุดตรงนี้หนึ่งไห..เสร็จแล้วไปทางนั้นอีกสามเก้าจะมีอีกไห”
เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ หันหากิ่งไม้มาช่วยขุดดินจนพบกับไหกระเบื้องที่ห่อผ้าไว้อย่างดีขึ้นมาจากใต้ดินทั้งสองไห พลางส่ายสายตาถาม
“ยังมีซ่อนไว้อีกไหมเนี่ย”
“พอเลย เจ้าไปได้แล้ว” นางโบกมือไล่
เด็กหนุ่มเดินยิ้มจากไป สองแขนกอดไหเหล้าไว้อย่างหวงแหน เพราะทั้งแคว้นแดนนี้ ฝีมือการหมักเหล้าของนางเฒ่ามุตตาเป็นที่เลื่องลือไม่เป็นสองรองใคร ถึงแม้หลายคนจะมาขอสูตรหมักเหล้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำรสชาติออกมาได้หอมหวาน นุ่มลึกเทียบเท่านางเฒ่ามุตตา
นางภูตชราคอยดูแลเด็กชายปลกหน้าอย่างใส่ใจจนล่วงเลยเข้าวันที่สอง เด็กน้อยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเสียที ได้แต่นอนกระสับกระส่ายจากพิษไข้ และให้ตกใจในยามค่ำคืน ที่ดูเหมือนว่าเด็กน้อยผู้นี้ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายและด้วยฤทธาที่แผ่ออกมาโดยไร้การควบคุม แปรเปลี่ยนสภาพอากาศโดยรอบพัดโหมด้วยพายุฝน ท้องฟ้าคำรามคำรนสะเทือนเลื่อนลั่นจนเรือนไม้ของนางไหวยวบ
“โอ้ย..นี่มันอะไรกัน!”
นางเฒ่าลนลานทำอะไรไม่ถูก ขืนปล่อยไปเช่นนี้ พายุคงพัดเรือนพักโกโรโกโสของนางพังในไม่กี่อึดใจนี้เป็นแน่ จึงเร่งปลุกเด็กน้อย แต่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่น นอกจากเสียงสะอึกสะอื้น สีหน้าเจ็บปวด จนนางเฒ่าเห็นแล้วนึกสงสาร ช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลนอง
“โธ่ เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าไปประสบเคราะห์กรรมใดกัน มันถึงได้ตามหลอกหลอนเจ้าถึงในฝันเยี่ยงนี้”
แล้วโน้มตัวลงนอนเคียงข้าง โอบกอดไว้แทบอก พลางร้องเพลงกล่อมปลอบขวัญจนร่างน้อยคลายสะอื้น ฝนฟ้าก็เริ่มซาเข้าสู่สภาวะปกติ
นางภูตได้แต่พึมพำสงสัย
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
(ต่อค่ะ)
ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๗ #
ชายหนุ่มพูดออกไปตั้งมากมาย แต่เสมือนสายลมโชยผ่านหินผา เด็กน้อยยังคงจมปลักอยู่ในความโศกตรม จอมมารหนุ่มงุ่นง่าน พร้อมๆน้ำตาเอ่อท้น ยิ่งเขาพูดจาว่าร้ายมากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูจนเขาจำต้องสงบปากสงบคำ แค่นหัวเราะเย้ยหยันในชะตากรรมของตนเอง
“ชาติก่อนข้าเคยติดค้างอะไรเจ้าเรอะ..กายเนื้อข้าต้องสูญสิ้นก็เป็นเพราะบิดาของเจ้า ข้าต้องพลัดพรากจากครอบครัวมาติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้าอย่างโดดเดี่ยว แล้วเหตุใด มารเช่นข้ายังต้องมาร่วมโศกเศร้าไปกับชะตากรรมอันโสมมของพวกเจ้าด้วย ข้าทำผิดอะไรนักหนาเรอะ!”
วฤตระตรงเข้ากระชากร่างเล็กๆนั้นจนตัวปลิวขึ้นมาตามแรง ตะโกนถามอย่างคับแค้นใจ แต่สรษดาทำได้เพียงมองสบพร้อมน้ำตาเจิ่งนอง
“ข้าไม่รู้..ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น..หรือเพราะข้าทั้งอ่อนแอและโง่งมดั่งคำกล่าวของท่าน เสด็จแม่ถึงทำกับข้าเช่นนี้..หรือเพราะพระองค์ผิดหวังในตัวข้า เสด็จแม่ถึงได้เกลียดข้าแล้ว” ประโยคที่ถามกลับเสียดลึกในความรู้สึกของจอมมารหนุ่ม
นับตั้งแต่ดวงจิตหลอมรวมกับโอรสสวรรค์ และแม้จะหลับใหล แต่หลายครั้งดวงจิตของเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของสรษดายามถูกทำร้ายร่างกายและความอึดอัดคับแค้นใจที่ต้องทนอยู่ภายใต้คำบัญชาของพระนางมาทรี หรือความขุ่นข้องหมองใจในการกระทำของผู้ให้กำเนิด ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้น แม้จะเลือนราง ทว่าความเจ็บปวดที่เด็กน้อยได้รับยังคงหลงเหลือร่องรอยให้เขาได้ซึมซับร่วมกัน แม้เขาจะพยายามปฏิเสธที่จะรับรู้ในความรู้สึกเหล่านั้น แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
และยามนี้ จิตใจของสรษดาอ่อนแอไร้การต่อต้านใดๆ จอมมารหนุ่มเพ่งพินิจพลางครุ่นคิด
..หากฉวยโอกาสนี้ ยึดครองจิตอันบอบช้ำบิดเบี้ยวดวงนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญนัก จากนั้น เขาก็สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกนึกคิดของสรษดา และสามารถกระทำตามใจปรารถนาอย่างเป็นอิสระ..
ชายหนุ่มยิ้มกระหยิ่มใจ มองร่างของเด็กน้อยไม่สามารถยืนทรงตัวได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะมือเขาที่กำรวบข้อมือเล็กๆชูขึ้นสูง จึงยื่นมืออีกข้างเชยใบหน้าที่ฟุบต่ำให้เงยขึ้นเห็นถึงความสิ้นหวังในโชคชะตาของอีกฝ่าย จิตใจพลันหล่นวูบ แต่ยังคงเอื้อนเอ่ยออกไป
“เด็กน้อย..หากเจ้าเจ็บปวดและเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวแล้ว..เช่นนั้น มอบกายหยาบของเจ้าให้ข้าได้หรือไม่”
สรษดามองสบ พลางตอบอย่างเลื่อนลอย
“กายที่ไม่มีใครต้องการ จะมีประโยชน์อันใดกับท่าน” พลางทิ้งตัวสวมกอดร่างตรงหน้าแน่นอย่างหาหลักพึ่งพิง
วฤตระถึงกับยืนแข็งค้างกับอ้อมกอดของเผ่าเทวาที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนในชีวิต และอ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกแปลกๆและสับสนจนเขาไม่อาจผลักไส ไฟแค้นที่สุมแน่นในอกยังคงลุกโชน ทว่า..หัวใจของร่างเล็กๆนี้บริสุทธิ์และเปราะบางเกินกว่าจะทำลายลงได้ สุดท้าย เขาจำต้องโอบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจในจิตใจอันอ่อนไหวของตน ก่อนปลอบประโลม
“ไม่เป็นไร หลับเสียหน่อยเถอะนะเด็กน้อย..ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใด”
ร่างเล็กบอบบางในอ้อมอกเริ่มหยุดสะอื้น ดวงจิตอ่อนล้าค่อยๆหลับใหล ทิ้งความรู้สึกหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง
ท้ายวังเจ้าเมือง..
นางภูตงูดินในวัยชรากำลังขมีขมันในการกวาดลานเดินรอบสวนดอกไม้ที่นางเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาหลายสิบปี พลางพูดคุยกับดอกไม้ใบหญ้าตามประสาเฉกเช่นทุกวัน ทว่า..วันนี้นางกำลังพบผู้มาเยือนที่ทำให้เส้นขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะสัมผัสได้ถึงฌานอันสูงส่งของสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์
นางก้มหน้างุด ไม้กวาดทางมะพร้าวในมือหลุดร่วงยามก้าวถอย
“ขะ..ข้ากำเนิดขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ มิได้หลบหนีมาจากที่ใดนะเจ้าคะ..” พลางเอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เพราะคิดว่าสัตว์ภูตตนนี้ได้รับคำสั่งให้มาตามจับเหล่าปิศาจหรือภูตที่หนีจากดินแดนอื่นมาหลบซ่อนตัวอยู่ในโลกมนุษย์
“ไม่ต้องหวาดกลัวข้าหรอกท่านยาย..ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องให้ท่านช่วยเหลือ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนและเป็นมิตร ทำให้นางภูตกล้าที่จะเงยหน้ามองผู้มาเยือน แล้วให้ขมวดคิ้วมุ่น
ร่างจำแลงนั้นสูงโปร่งคลุมด้วยผ้าทอสีเมฆ ใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาจนไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเป็นหญิงหรือชาย กึ่งกลางระหว่างคิ้วปรากฏตราสัญลักษณ์ประจำตัวของผู้เป็นนายปิดผนึกด้วยติลักษณ์สีแดงทับทิมรูปหยดน้ำ แม้ว่าสัตว์ภูตตนนี้จะมีฌานชั้นสูง ทว่าดวงจิตคงได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังวิญญาณถึงได้บางเบา ผิวกายและเรือนผมยาวขาวสว่างแลดูโปร่งแสง ในอ้อมอกโอบอุ้มร่างหมดสติของเด็กชายวัยประมาณสิบขวบ ซึ่งดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย
“ท่านต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใดเรอะ”
ผู้มาเยือนเดินเข้าใกล้ แล้วยื่นร่างเด็กน้อยส่งให้
“ท่านช่วยดูแลเขาแทนข้าที”
นางภูตอึกอัก “แล้วเขาเป็นใครล่ะ..เหตุใดข้าต้องดูแลเขาด้วย”
“เขาสำคัญสำหรับข้ามาก เพียงแต่..ยามนี้ ข้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องใครได้ จึงขอความเมตตาจากท่านช่วยดูแลเขาแทนข้าชั่วคราว”
นางภูตมองเขาสลับกับเด็กน้อย
“หือ..สำคัญมากสำหรับท่าน เช่นนั้นคงเป็นบุตรของท่านสินะ อืม..ท่านเองก็ดูบาดเจ็บภายในไม่น้อยคงจะเลี้ยงดูเขาลำบากสินะ..มา ๆ งั้นข้าจะดูแลเขาให้ ท่านก็รีบรักษาตัวเถอะ หายแล้วค่อยมารับเขาคืนจากข้า”
และยื่นมือไปรับร่างเด็กชาย สายตาเหลือบเห็นแขนที่โผล่พ้นชายผ้าของอีกฝ่ายปรากฏเกล็ดงูสีขาวชัดเจน นางก็พอจะเดาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้
“รับรองว่าข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดี..ท่านเองก็ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
ผู้มาเยือนโน้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการน้อมรับด้วยใบหน้าอิดโรย สายตาอาทรเหลือบมองร่างเด็กน้อยอีกครั้งก่อนจะหันจากไป
“โปรดรักษาพระวรกาย..แล้วสักวัน กระหม่อมจะกลับมารับใช้พระองค์อีกครั้ง”
นางภูตรีบนำร่างเด็กชายกลับเรือนพักของตน แล้วเริ่มสำรวจอาการบาดเจ็บ
“ตายแล้ว! บิดาของเจ้าพาไปออกศึกสงครามมาหรือไรกัน บาดแผลถึงได้มากมายเพียงนี้”
นางใช้สมุนไพรมารักษาบาดแผลฉกรรจ์ จากนั้นก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวชำระคราบเลือดเกรอะกรังจนหมด แล้วก็พินิจพิจารณาใบหน้าที่ยังไม่ได้สติ
“อุแหม ! เจ้านี่ช่างหล่อเหลาเอาการเชียวนะ หากโตเป็นหนุ่มรุ่นกระทง แม่ของเจ้าคงฉีกผ้าอ้อมไม่ทันแน่..เสียแต่คิ้วของเจ้านี่ เหตุใดถึงขมวดยุ่งเช่นนี้” พลางใช้หัวแม่มือนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วให้ “เด็กน้อยเช่นเจ้ามีเรื่องมากมายอันใดต้องคิดนักหนาเรอะ ขนาดไม่ได้สติ สีหน้าของเจ้ายังอมทุกข์ไม่คลาย..เฮ้อ”
นางภูตนวดคลึงได้ไม่กี่อึดใจก็หยุดชะงัก และยื่นใบหน้าเข้าใกล้ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นของดอกไม้มาจากร่างของเด็กชาย
“เจ้าไม่ใช่ภูตศักดิ์สิทธิ์เช่นบิดาของเจ้าหรอกเรอะ”
นางครุ่นคิด..เรื่องราวมันคงไม่ได้เป็นไปอย่างที่นางเข้าใจสินะ แล้วรีบลุกลงจากเรือนนำดินโคลนติดมือขึ้นมาคลุกกับสมุนไพรกลิ่นฉุน ก่อนนำมาทาทั่วเนื้อตัวของเด็กชาย เพราะคาดเดาได้ว่า เด็กผู้นี้อาจจะเป็นเผ่าเทวา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะถูกหมายตาจากบรรดาปิศาจ หรือภูตมาร จับตัวไปกลืนกินเพื่อเพิ่มฌานบารมี
“เพราะเมื่อกี้เจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดข้าจึงไม่ได้เอะใจ..แล้วเหตุใด เผ่าเทวาถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า”
ขณะที่นางภูตกำลังคาดเดาไปต่างๆนานา เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ตะโกนลั่น
“ยายเฒ่ามุตตา อยู่หรือไม่..ยายเฒ่า!” ตะโกนหาพร้อมกระโจนขึ้นเรือนอย่างไม่รั้งรอ ก่อนที่เจ้าของเรือนจะทันได้ขยับลุกขึ้นเสียอีก
“เอ๋ นั่นเจ้าเก็บตัวอะไรมากันล่ะ” เด็กหนุ่มยื่นหน้าถามอย่างสงสัยกับร่างของเด็กชายที่เปรอะเปื้อนดินโคลน
นางเฒ่าซัดเผียะกับต้นแขน
“ปากเสีย นั่นน่ะหลานชายของข้า แต่สติไม่ค่อยสมประดีนัก ชอบทำเช่นนี้ล่ะ..มันเพิ่งมาหาข้าเมื่อคืน แล้วไม่สบาย ข้าเลยให้กินยานอนน่ะ”
เด็กหนุ่มทำหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังจ้องมองไม่วางตา จนนางเฒ่ารุนหลังเขา พลางถาม
“แล้วเจ้ามาตะโกนโหวกเหวกด้วยเรื่องอันใด”
“อ้อ..ไม่มีอันใดมากหรอก แค่ข้ากับตาเฒ่าฉิมอยากได้เหล้าที่ท่านหมักไว้สักสองไห..คืนนี้พวกข้ามีแข่งกัดจิ้งหรีดที่ท้ายป่ากันน่ะ”
“พวกเจ้านี่นะ ถ้าเจ้าเมืองน้อยรู้เข้า ระวังจะหลังลายล่ะ”
เด็กหนุ่มรีบยกนิ้วชี้มาปิดปาก
“ชูว์..เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด เจ้าเมืองน้อยก็ไม่รู้หรอก..น่ารีบไปเอาเหล้าให้ข้าเถอะ หากคืนนี้ชนะ ข้าจะแบ่งเบี้ยให้ท่านเป็นค่าเหล้า”
“แล้วหากเจ้าแพ้ล่ะ ข้ามิเสียเหล้าไปเปล่าๆปลี้ๆเรอะ”
“อพิโธ่อพิถัง เหตุใดพูดไม่เป็นมงคลเช่นนั้นเล่ายายเฒ่า ตบปากเลยนะ” และทำท่าจะตบปากยายเฒ่าอย่างลืมตัว แต่เมื่อเจอสีหน้าเอาเรื่อง พร้อมเท้าสะเอว เด็กหนุ่มยิ้มแหย รีบตบปากตัวเองแทน “ข้าหมายถึงตบปากข้าเองน่ะ..นี่แน่ะ..นี่แน่ะ”
นางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“พอเลย..ตามข้ามา” แล้วเดินลงจากเรือนไปยังต้นจำปี
“เอ้า เจ้าขุดตรงนี้หนึ่งไห..เสร็จแล้วไปทางนั้นอีกสามเก้าจะมีอีกไห”
เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ หันหากิ่งไม้มาช่วยขุดดินจนพบกับไหกระเบื้องที่ห่อผ้าไว้อย่างดีขึ้นมาจากใต้ดินทั้งสองไห พลางส่ายสายตาถาม
“ยังมีซ่อนไว้อีกไหมเนี่ย”
“พอเลย เจ้าไปได้แล้ว” นางโบกมือไล่
เด็กหนุ่มเดินยิ้มจากไป สองแขนกอดไหเหล้าไว้อย่างหวงแหน เพราะทั้งแคว้นแดนนี้ ฝีมือการหมักเหล้าของนางเฒ่ามุตตาเป็นที่เลื่องลือไม่เป็นสองรองใคร ถึงแม้หลายคนจะมาขอสูตรหมักเหล้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำรสชาติออกมาได้หอมหวาน นุ่มลึกเทียบเท่านางเฒ่ามุตตา
นางภูตชราคอยดูแลเด็กชายปลกหน้าอย่างใส่ใจจนล่วงเลยเข้าวันที่สอง เด็กน้อยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาเสียที ได้แต่นอนกระสับกระส่ายจากพิษไข้ และให้ตกใจในยามค่ำคืน ที่ดูเหมือนว่าเด็กน้อยผู้นี้ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายและด้วยฤทธาที่แผ่ออกมาโดยไร้การควบคุม แปรเปลี่ยนสภาพอากาศโดยรอบพัดโหมด้วยพายุฝน ท้องฟ้าคำรามคำรนสะเทือนเลื่อนลั่นจนเรือนไม้ของนางไหวยวบ
“โอ้ย..นี่มันอะไรกัน!”
นางเฒ่าลนลานทำอะไรไม่ถูก ขืนปล่อยไปเช่นนี้ พายุคงพัดเรือนพักโกโรโกโสของนางพังในไม่กี่อึดใจนี้เป็นแน่ จึงเร่งปลุกเด็กน้อย แต่ก็ไม่มีทีท่าจะตื่น นอกจากเสียงสะอึกสะอื้น สีหน้าเจ็บปวด จนนางเฒ่าเห็นแล้วนึกสงสาร ช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลนอง
“โธ่ เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าไปประสบเคราะห์กรรมใดกัน มันถึงได้ตามหลอกหลอนเจ้าถึงในฝันเยี่ยงนี้”
แล้วโน้มตัวลงนอนเคียงข้าง โอบกอดไว้แทบอก พลางร้องเพลงกล่อมปลอบขวัญจนร่างน้อยคลายสะอื้น ฝนฟ้าก็เริ่มซาเข้าสู่สภาวะปกติ
นางภูตได้แต่พึมพำสงสัย
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
(ต่อค่ะ)