อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 3 – จุดเริ่มต้นจากความตาย (Part 1)

กระทู้สนทนา
บทที่ 3 – จุดเริ่มต้นจากความตาย

          มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษสุดเท่าที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน ท้องฟ้าแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยเป็น แม้ว่าแสงแดดจะร้อนแรงจนทำให้ผมเห็นไอร้อนลอยขึ้นจากพื้นถนน แต่อากาศกลับเย็นสบายอย่างน่าอัศจรรย์ รถม้าเทียมสีดำประดับประดาด้วยทองคำและพลอยสีต่าง ๆ กำลังแล่นไปมาบนถนนที่ปูด้วยอิฐทางเดินรูปสี่เหลี่ยมหลายคัน เมื่อผมมองไปข้างหน้า กำแพงที่ไกลสุดลูกหูลูกตาสะท้อนกับแสงพระอาทิตย์เจิดจ้าดูสวยงามปนความพิศวง ตามปกติแล้วอะไรก็ตามที่แสงแดดมากระทบในเวลาแบบนี้ มันยากที่จะสามารถลืมตามองมันได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสีทองอย่างที่ผมเห็นในตอนนี้ก็ตาม แต่สำหรับที่นี่มันไม่ใช่

          ผมเดินบนทางซึ่งปูด้วยอิฐรูปตัวโอที่มีหญ้าสีเขียวขึ้นแซมตรงกลางไปเรื่อย ๆ มันแตกต่างจากลักษณะของถนนที่รถม้ากำลังวิ่งอยู่เล็กน้อย ศิลปะแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับการวางผังถนนของเมืองนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่รู้ว่าผมอยู่ไหนก็ตาม
          “เจ้าหนู กำลังจะไปไหน” ชายใจดีทักทายและจอดรถม้าสีดำข้าง ๆ ผม
          “ผมว่าจะเข้าไปที่เมืองนั้นครับ” ผมตอบทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีจุดหมายให้คิด
          “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนที่นี่ละสิ มาจากที่ไหนล่ะ”
          “เวอร์จิเนียครับ”
          ชายใจดียิ้มรับ แต่แววตาก็ยังดูสับสน “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
          “ประธานาธิบดีของสหรัฐเกิดที่นี่ถึงแปดคนเลยนะลุง”
          ผมย้ำแต่เขาก็ไม่ได้สนใจฟัง
          “โอเค” ผมตัดบท “ลุงจะเข้าไปในเมืองใช่ไหมครับ”
          “ใช่” ลุงพยักหน้าพร้อมป้องมือมองไปข้างหน้า “ขึ้นมาเลย”

          ชายขับรถม้าเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเองโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผมจึงกระโดดขึ้นรถม้าโดยไม่ลังเลใจ รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ แต่ผมรู้สึกว่ารถม้าที่นั่งอยู่นี้กำลังจะถึงสะพานข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผมชะโงกหัวออกนอกตัวรถ อากาศบริสุทธิ์ปะทะใบหน้าจนเส้นผมพลิ้วไหวไปมา จุดหมายข้างหน้าเป็นกำแพงสูงสีทองทอดตัวยาว ตรงกลางกำแพงเป็นประตูเมืองสีทองที่ใหญ่มาก ใหญ่แบบที่ว่าผมไม่เคยเห็นประตูไหนใหญ่เท่านี้มาก่อน และเมื่อเข้าใกล้เรื่อย ๆ ผมก็เห็นคูน้ำที่กว้างเกือบห้าสิบเมตร มีสะพานไม่โค้งมากนักทอดตัวเชื่อมถนนกับประตูนั่นและเมื่อรถม้าลอดใต้ประตูเมืองมา
          
          สิ่งที่อยู่หลังกำแพงมันไม่ใช่ตัวเมืองอย่างที่ผมคิดไว้ แต่มันกลายเป็นป่าทึบที่มีต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน จากที่อากาศสบาย ๆ กลายเป็นหนาวเย็นยะเยือก ตอนนี้ใบหน้าผมที่อยู่นอกตัวรถมันชาจนผมต้องกลับมาในรถ แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน แต่บรรยากาศของถนนช่วงนี้ต่างกันลิบลับกับเส้นทางที่ผมได้ผ่านมา จากที่สว่างเพราะแสงแดด ก็มืดมิดดั่งรัตติกาล ต้นไม้สั่นไหวช้า ๆ ตามแรงลม ผมมองผ่านหน้าต่างรถม้าเทียมออกไป สิ่งที่ผมเห็นไกลสุดก็คือต้นไม้ที่อยู่ห่างจากรถม้าไม่ถึงห้าเมตร นอกนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอก รถม้าเคลื่อนมานานพอตัว ผมจึงเห็นแสงสว่างข้างหน้าเหมือนปลายอุโมงค์ยักษ์ เพียงแต่อุโมงค์ที่ผมอยู่นี้ เป็นอุโมงค์ต้นสนขนาดใหญ่ราว ๆ สี่สิบฟุตปกคลุม

          พอพ้นป่าทึบ ต้นไม้เริ่มมีช่องว่างห่างกันเป็นระยะ ระหว่างช่องว่างนั้น มีสวนดอกไม้นานาชนิดปลูกสลับกันเป็นแนว แสงแดดสาดแสงลงมาให้ความอบอุ่นอีกครั้ง มีผีเสื้อตอมเกสรดอกไม้หลายร้อยตัวและนกหลากหลายสายพันธุ์กำลังส่งเสียงร้องเพลงอย่างรื่นเริง บ้างก็ประชันความเร็วกับรถม้าที่กำลังเคลื่อน บนโลกเรายังมีที่แบบนี้อยู่อีกเหรอ สถานที่ที่ระบบนิเวศน์ยังไม่ถูกทำลาย เมืองที่เราสามารถเรียกว่า ธรรมชาติ จริง ๆ แต่ความคิดผมก็ต้องหยุดเมื่อผมเห็นกำแพงสีเงินด้านหน้า เพียงแต่กำแพงนี้สูงไม่เท่ากับกำแพงสีทองอันแรก และเช่นเดียวกัน มีสะพานทอดตัวยาวอยู่เพื่อข้ามแม่น้ำนั่น เหมือนว่าในแต่ละช่วงถูกกั้นด้วยคูน้ำเป็นระลอก ทำให้ผมตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และมันก็มากยิ่งขึ้นเมื่อพ้นประตูเมืองสีเงินอันใหญ่

          ในส่วนนี้มีสถาปัตยกรรมให้เห็นอย่างเด่นชัด บ้านเรือนปลูกสร้างอย่างเป็นระบบ ความสูงลดหลั่นกันเป็นระดับ มีวิหารที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาวสลับดำ ประดับประดาแร่ธาตุสีสันต่าง ๆ ขณะที่รถม้าแล่นไปเรื่อย ๆ ผมสังเกตว่าไม่เพียงแต่ที่นี่จะสามารถวางระบบของที่อยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังมีการวางผังเมืองได้อย่างลงตัวอีกต่างหาก เพราะมีการจัดผังเป็นสัดส่วน ทั้งบ้านพักและตลาด ในตลาดมีผู้คนมากมายที่กำลังแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เสียงผู้คนหยอกล้อหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

          “ลุงจอดก่อน” ผมตะโกน
          ชายกลางคนเบรกรถม้าทีที่ได้ยินเสียง จนผมหน้าคว่ำลงกับพื้น
          “ขอบคุณลุง” ผมบอกพร้อมปัดฝุ่นที่หัวเข่า “จอดได้สวยจริง ๆ”
          ผมเดินตรงไปยังคนหนึ่งที่ผมเห็นขณะอยู่บนรถ แม้ว่าจะในระยะไกล แต่ผมจำเขาได้อย่างแม่นยำ เขายืนอยู่ตรงร้านขายผลไม้ ห่างจากผมไปประมาณสิบเมตร และตอนนี้เขาทำท่าจะออกจากร้านนั้น ผมจึงเปลี่ยนจากเดินมาเป็นวิ่งเยาะ ๆ เพื่อให้ทันก่อนที่เราจะคลาดกัน
          เอี๊ยดดด...
          เสียงรถม้าเบรกกะทันหัน
          “เป็นอะไรไหมเจ้าหนุ่ม”
          ผมหันไปมองต้นเสียง ให้ตายเถอะ! รถม้าอยู่ห่างจากผมไปไม่ถึงห้าฟุต นี่ผมคิดว่าทางลาย ๆ ตรงนี้เป็นทางม้าลายซะอีก ผมปฏิบัติตามกฎแล้วนะ
          “ไม่เป็นไรครับ” ผมตะโกนตอบพร้อมข้ามถนนไปร้านขายผลไม้อย่างรวดเร็ว แต่คนที่ผมเห็นเมื่อกี้หายไปแล้ว ผมสบถอย่างเคืองใจพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บางทีผมอาจจะเห็นเขากำลังเดินอยู่ก็ได้
          “เทเลอร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ผมหันหลังกลับไปยังเสียง ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า กำลังเดินเข้ามาหาผม จริง ๆ เป็นย่องมากกว่า แม้ว่าทรงผมกับการแต่งตัวเขาจะดูแปลก ๆ แต่ผมก็จำเขาได้อยู่ดี
          “เฮ้ ทำไมนายแต่งตัวแบบนี้” ผมมองชุดยาวกรอมเหมือนลัทธิใดลัทธิหนึ่งที่เขาใส่ ผมยาวและขอบตาดำดูน่าเกรงขาม
          “สไตล์วินเทจเหรอ”
          เขายังไม่ทันตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
          “ข้ารอเจ้าอยู่นะอันทิโนอุส”
          หญิงคนหนึ่งตะโกนถาม ผมบลอนด์หยักศกที่เป็นระเบียบ ดวงตาแสนคมและชุดสีขาวที่สวมใส่ ทำให้เธอดูสวยสง่าราวเจ้าหญิง
          “พอดีข้าเจอคนรู้จัก ประเดี๋ยวข้าตามไปท่านหญิง” ชายคนนั้นตะโกนตอบไป เธอยิ้มและสบตากับผมชั่วครู่จึงจากเดินไป
          “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง” ชายที่ชื่อ อันทิโนอุส หันมาคุยกับผม
          “อันทิโนอุส” ผมทวนชื่อด้วยความสงสัย ในความคิด ผมนึกไม่ออกว่าเขาชื่ออันทิโนอุส แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมยังคงรู้สึกว่ารู้จักคน ๆ นี้
          “เจ้ามาที่นี่ได้ไง” เขาย้ำเสียงดัง
          “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันแค่เดินอยู่นอกเมืองแล้วก็มีรถม้าผ่านมาแล้วฉันก็ขอติดรถมา แล้วก็มาเจอนายเนี่ยล่ะ” สีหน้าของเขาซีดเผือด ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังจะตายในไม่อีกกี่นาที “ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน แล้วนายคือใคร ทำไมฉันคลับคล้ายว่ารู้จักนาย แล้วทำไมนายแต่งตัวแบบนี้”
          “โทษทีนะ ข้ามีเวลาไม่มากเพราะข้าจะต้องกลับเข้าเมือง ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า เจ้าต้องรีบไปซะ ตอนนี้ครีโทเนียสกำลัง............”
          ทุกอย่างกำลังช้าลง ช้าลง เสียงของชายที่ผมรู้จักช้าจนฟังไม่ออกว่าเขากำลังพูดอะไร รถม้าที่วิ่งก็เหมือนหยุดอยู่กับที่ ทุกอย่างเริ่มพร่ามัว ผมพยายามตั้งสติ พยายามฟังสิ่งที่เขากำลังพูดแต่มันก็ไม่ได้ผล ความรู้สึกล่องลอยอยู่บนอากาศเกิดขึ้น ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้และผมก็ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่พร่าเลือนเริ่มเห็นได้ถนัด ในขณะที่ทุกอย่างยิ่งกำลังชัดเจนขึ้น ความทรงจำเกี่ยวกับความฝันเริ่มหายไปพร้อมกับการขยับตัว และตอนนี้ผมก็จำอะไรไม่ได้ว่าในฝันผมอยู่ที่ไหน ผมเจออะไรและคนคุ้นเคยที่ผมเจอนั้นคือใคร

          “เป็นไร เทย์” แมททักขณะที่เราเปลี่ยนเสื้อในโรงยิม เขาคงเห็นผมจิตหลุดหลายรอบวันนี้
          “ไม่รู้สิ เมื่อคืนฝันประหลาดมาก พอตื่นมามันก็รู้สึกเพลีย ๆ”
          “ฝันร้ายเหรอ”
          “ไม่เชิง รู้แค่ว่าเจอใครบางคน คุย ๆ กัน แล้วก็ตื่น” ผมบอก
          “ก็แค่ความฝันน่ะ” แมทดูไม่ใส่ใจ
          “แต่มันเหมือนจริงมากเลยนะแมท” ผมบอก “คนนั้นบอกว่าฉันกำลังมีอันตรายด้วย”
          ความเงียบเกิดขึ้น ผมหันไปมองแมท เขาคิ้วขมวดบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนักและผมก็ทำลายความเงียบ
          “นายเชื่อปรากฏการณ์เดจาวูไหม”
          “ฮะ อะไรนะ” แมทสะดุ้งสุดตัว “โทษที เทย์ ฉันลืมไป อาจารย์ไมเคิลนัดฉันให้ไปช่วยดูการคัดตัวเทควันโด ชุดใหม่ เจอกันพรุ่งนี้”
          “แต่นายเพิ่งเปลี่ยนชุดพละเมื่อกี้...แล้ว…”
          “เฮ้ แมท”
          ผมตะโกนไล่หลัง แต่ก็ไม่ทันแล้ว แมทวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากที่เขาจะเป็นนักกีฬาเทควันโดแล้ว ผมว่าหากเขาควบวิ่งไปด้วยคงจะดี แต่ผมก็อดแปลกใจกับอาการของแมทเมื่อกี้ไม่ได้เพราะเขาควรไปช่วยอาจารย์ไมเคิลคัดนักกีฬาบาสด้วยชุดพละที่เขาเพิ่งถอดไป ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับสะพายกระเป๋าและเดินออกจากโรงยิม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่