อัศวินเทเลอร์กับอาณาจักรแอตแลนติส...บทที่ 7 – การพิพากษา (Part 3)

กระทู้สนทนา
..........

          “เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เมสันถามผม
          “ผมแค่เดินเล่น”
          “อย่าโกหก ข้าเห็นเจ้ากำลังวิ่ง” ทหารลาดตะเวนพูดแทรก “แล้วที่เหลือล่ะ”
          “ก็นอนอยู่บนปราสาทไง” ผมบอก “แก้เชือกได้ยัง”
          “เพส เตอ โร” เมสันร่าย เชือกที่มองไม่เห็นอันตรธานหายไป ทหารลาดตะเวนอีกคนทำท่าทีว่าจะเดินออกไปสำรวจข้างนอกแต่เมสันก็ได้ห้ามไว้
          “เราพบทหารยามสองคนนอนสลบอยู่หลังปราสาทครับท่าน” ทหารอีกคนวิ่งออกมาบอกเมสัน เขามองหน้าผม
          “ฉันไม่รู้เรื่อง” ผมแก้ตัวเพราะผมรู้ทันทีว่าเขาต้องสงสัยผมอย่างแน่นอน
          “เจ้ามีทหารยามเหลืออีกไหม” เมสันหันไปถามทหารลาดตะเวนอีกคน
          “ก็เหลือบ้าง แต่พวกเขาจะต้องเข้ากะตอนเช้าครับท่าน”
          “ไปตามพวกมันมาเฝ้าที่นี่” เขาพูดเสียงเข้ม “ส่วนเจ้า มากับข้า”
          ผมเดินตามเมสันเข้าไปในตัวปราสาท เมื่อมาถึงหน้าห้องเจนีวา เมสันพูดกับทหารหน้าประตูคนขวามือเป็นภาษาที่ผมไม่เข้าใจอีกครั้ง ผมว่านั่นคือภาษาแอตแลนติส ทหารนายนั้นเดินเข้าไปข้างในและออกมาเพียงชั่วครู่ เขาพยักหน้าให้เมสันตามเข้าไป แต่ก่อนที่เราจะเข้าไป เมสันก็หันไปพูดอะไรอีกสองสามคำกับทหารคนซ้ายมือ พร้อมเบี่ยงหน้าไปยังห้องที่เราอาศัยอยู่ก่อนที่จะลากผมเข้าไปห้องรับรองแขกของเจนีวา
          “เจ้าก่อปัญหาได้ไม่หยุดหย่อนจริง ๆ” เจนีวาตวาดเสียงดัง
          “ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
          เจนีวาไม่พูดอะไร เธอพยักหน้าให้ทหารยามเฝ้าหน้าประตูเข้ามา เขาพูดภาษาแอตแลนติสและเจนีวาทำท่าเหมือนกับว่าพยายามข่มอารมณ์อยู่
          “เพื่อนเจ้าหายไปไหนหมด”
          “ก็นอนที่ห้องไง” ผมตอบ
          “อย่าโกหก”
          เธอตวาดเสียงดังกว่าเดิม ผมรู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายของเสียงนั้น ผมสาบานได้มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว เมสันและทหารยามอีกคนคุกเข่า ก้มหน้าลงกับพื้นด้วยตัวสั่นเทาทันที เธอเงียบไปพักใหญ่ในขณะที่ผมยืนไม่กล้าเงยหน้ามาสบตาเธอแม้แต่นิด
          “เจ้าต้องบอกข้าเดี๋ยวนี้ว่าพวกเพื่อนเจ้าไปไหน” เธอกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่มันก็ยังทำให้ทุกคนในห้องก้มหน้าลงกับพื้นอยู่
          “ข้าให้เจ้าบอกว่า...เพื่อนของเจ้าไปไหน เดี๋ยวนี้” เจนีวาตวาดอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากผม
          “พวกเขานอนหลับอยู่ที่เตียงตอนที่ผมออกมาเดินเล่น” ผมรู้ นั่นเป็นคำพูดที่ผมไม่ควรพูดออกมาเลย กับสถานการณ์ตอนนี้แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว
          “เจ้าเลือกให้ข้าต้องสั่งสอนเจ้าด้วยวิธีนี้”
          เธอพูดเสียงราบเรียบ แต่เหมือนเสียงนั่นก้องกังวานดังไปทั่วห้อง ผมรู้สึกได้ถึงคลื่นเสียงที่มันวิ่งมากระทบใบหน้าผมเลย สาบานได้ และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น นอกจากเสียงวิ้ง ๆ ที่ดังในโสต มันเป็นแบบนี้อยู่พักใหญ่ ผมหันไปมองทั้งเจสันกับทหารอีกคนที่พื้น หน้าพวกเขายังคนหมอบอยู่ และทันใดนั้นผมก็หวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าเสียงผมดังมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ผมเปล่งเสียงออกมาผมรู้สึกถึงใบมีดขนาดเล็กกำลังกรีดแทงในลำคอ ความเจ็บปวดจากใบมีดในลำคอทำให้ผมอยากจะหยุดร้องแต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ ผมฟุบตัวลงไปกับพื้น ตาผมมองเพดาน ผมควบคุมร่างกายไม่ได้ น้ำตาไหล มือผมขูดไปกับพื้นและผิวหนังผมแตกราวกับว่ามีคนใช้แซ่ขนาดใหญ่ฟาดลงมาไม่ยั้ง ผมเกลือกกลิ้งร่างบนพื้นพรมของปราสาท ดิ้นพรวดพราดไปมาราวกับว่ากำลังนอนอยู่ในน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ความทรมานมันยังไม่สิ้น ความเจ็บปวดรุนแรงมากกว่าเวทของพรีลีนัสและเมสันรวมกันหลายร้อยเท่า มันเสียดลึกลงไปถึงทุกอณูของร่างกาย อาการนี้ยืดยาวนานนับหลายนาที ผมเริ่มหมดแรงแต่ร่างกายยังดิ้นอยู่เหมือนเดิม และผมก็หมดสติไป

          ผมกำลังยืนอยู่บนหอหอยที่สูงตระหง่านริมทะเลเป็นเวลานาน เสียงคลื่นพัดเข้าชายฝั่งเป็นระยะ ผมล้มตัวนั่งลงกับพื้น มือกอดเข่า ผมมีความสุขมาก ตะวันเริ่มลับขอบฟ้าไปทุกที ท้องฟ้าเป็นสีแดงจัดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมไม่ได้คิดถึงใคร ผมกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่สวยงามในตอนนี้ ในใจว่างเปล่า แล้วผมก็เห็นเรือสำเภายักษ์ขนาดใหญ่ล่องมาจากขอบทะเลแต่มันไม่ได้ลอยอยู่บนพื้นทะเลที่ราบเรียบ เรือลำนั่นลอยอยู่บนคลื่นที่สูงหลายสิบเมตร ผมลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พยายามเพ่งไปที่เรือนั่น แล้วเรือมันก็พลิกคว่ำหลังจากที่ถูกคลื่นยักษ์ซัดลง หลังจากเรือลำนั้นจมลงใต้สมุทร ท้องทะเลก็กลับมาราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          ผมลืมตา ชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับผู้หญิงชุดขาวตรงปลายเตียงผม ผมเดาว่านั่นเป็นนางพยาบาล ผมมองชายคนนั้นจากด้านหลัง เขาดูคุ้นเคยเป็นอย่างดี
          “แมท นั่นนายหรอ” ปากผมระบมไปหมด บวมเหมือนถูกวัยรุ่นรุมต่อย ชายคนนั้นหันหน้ามาหาผม แม้ตาผมจะพร่าเลือนแต่เขาก็ไม่ใช่แมท
          “เทเลอร์ เจ้าเป็นไงบ้าง”
          “นายเป็นใคร”
          “ฉัน อันทิโนอุส” เขายิ้มให้ผม ตอนนี้ผมเดาไม่ออกว่า ผมควรจะดีใจหรือรู้สึกอะไรดีเพราะตั้งแต่มาที่นี้ผมก็เจอเรื่องแย่ ๆ มาตลอด “ข้าเคยนิมิตเจ้า เจ้าจำข้าได้ใช่ไหม”
          เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ ผูกเนคไทและถือเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ผมยาวสีดำขริบของเขารับ ใบหน้าเรียวที่เหมือนผู้หญิง และสายตาเขาดูอ่อนโยนเหมือนของศาสตราจารย์แฟรงค์เป็นอย่างมาก
          “ฉันจำนายได้” ผมพยักหน้า “ตอนนี้ฉันอยู่...” ผมคิดจะถามแต่พอมองไปรอบ ๆ ห้อง ผมนอนอยู่บนเตียงที่ผ้าปูดูเหมือนไม่เคยซักเลย กลิ่นเหม็นอับคละคุ้งไปทั่วห้อง แบบนี้ มีที่เดียวที่ผมคุ้นเคยสถานพยาบาล “โอเค ฉันรู้แล้ว...ว่าแต่นายมาอยู่นี่ได้ไง”
          “พวกข้าถูกเรียกตัวมาที่นี่เพื่อสาระสำคัญ” เขาหันหลังไปมองที่พยาบาล “เจ้ามีอะไรก็ไปทำได้แล้ว ข้าจะดูแลอัศวินเอง” อันทิโนอุสสั่ง นางพยาบาลเดินออกไปนอกห้อง ตอนนี้เหลือผมและเขาเพียงสองคน
          “เจ้าได้นิมิตของข้าใช่ไหม”
          “ใช่ แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ” ผมพูดเพราะเรื่องราวในฝันไม่เคยปะติดปะต่อกันเลย
          “ข้าขอโทษจริง ๆ ถึงข้าจะอยู่ในระดับนักเวทขั้นสูงแต่ข้าก็ยังไม่สามารถทำให้ความฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้อย่างชัดเจน ข้าทำได้เพียงส่งข้อความสำคัญเท่านั้น” เขายิ้มอย่างเขินอายพร้อมนั่งลงข้าง ๆ เตียงผม “ข้ากำลังฝึกอยู่ แบบนั้นมันต้องใช้พลังมหาศาล”
          “ว่าแต่ นายมีอะไรกับฉันหรือเปล่า”
          “ข้าจะมาบอกเจ้าว่าให้เจ้าลงชื่อยินยอมกลับโลกของเจ้าไปก่อนเมื่อจบการพิพากษา”
          “ไม่” ผมพยายามเปล่งเสียง “พวกเพื่อนและพี่ฉันยังอยู่ที่นี่ ฉันไม่กลับเด็ดขาด”
          “ข้ารู้แล้ว เมื่อคืนข้าเจอเพื่อนและพี่เจ้ากลางทาง”
          “พวกนั้นเป็นไงบ้าง”
          “ข้าพาพวกนั้นไปอยู่ที่ปลอดภัยแล้ว ข้าไม่มีเวลา การพิพากษาจะเริ่มแล้ว เจ้าทำตามที่ข้าบอกก่อน แล้วเรื่องอื่น ๆ ข้าจะจัดการเอง ท่านอัศวิน ไว้ใจข้าเถอะ” เขาพูดรวบรัดด้วยความเร่งรีบ “และข้าขอโทษแทนนางด้วยที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ ปกตินางไม่เป็นแบบนี้หรอก”
          “แล้วอะไรเรียกว่าปกติสำหรับเจนีวาล่ะ”
          “ทำไมเจ้าเรียกนางว่าเจนีวา” อันทิโนอุสสงสัย
          “ก็เพราะนั่นเป็นชื่อจริงของนางไง”
          “ไม่มีใครเรียกนางชื่อนี้นอกจากครีโทเนียสและปราชญ์เฮอร์มอส” อันทิโนอุสบอกและผมก็นิ่งเงียบไป “การเรียกชื่อแบบนั้นเป็นการไม่ให้เกียรติสูงสุดของที่นี่ เมื่อเจ้ารู้แล้วข้าอยากให้เจ้าระวังคำพูดของเจ้าถ้าจะคุยกับนาง...นางเป็นคนดีคนหนึ่งแต่ข้าสัมผัสได้ว่าจิตใจนางเริ่มไม่ปกติตั้งแต่...”
          “ตั้งแต่...”ผมทวนคำถาม
          “ข้ายังไม่แน่ใจกับเรื่องนี้ ข้าแค่รู้สึกว่านางถูกคำสาปตั้งแต่ตอนที่หนีออกมาจากแอตแลนติส”
          “คำสาปอะไร” ผมพูด
          “ข้าคิดว่าเป็นคำสาปแห่งการควบคุม ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก แต่ข้าคิดว่าคนที่จะทำแบบนี้ได้ ก็มีแค่ครีโทเนียสเพียงคนเดียว...” อันทิโนอุสมองออกนอกหน้าต่างไป และนิ่งเงียบไปสักพัก
          “เจ้าเจ็บหนักเลยสินะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง เขายิ้มให้ผมพร้อมร่ายเวทมนตร์เบา ๆ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น บาดแผลบนตัวสมานหายไปอย่างรวดเร็ว
          “แผลฉันหายแล้วนี่” ผมบอกเมื่อแผลบนผิวหนังสมานหายกลับเป็นปกติ
          “มันยังไม่หายดีหรอก เจ้ายังคงเจ็บอยู่ ข้าแค่สมานแผลบนผิวหนังเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องกินยารักษาจากภายในถึงจะหายเป็นปกติ” เขาพูดพร้อมส่งขวดยาให้ผม “แค่จิบเท่านั้นนะ ถ้าเจ้ากินเยอะเกินไปมันจะทำให้เจ้าตายได้”
          ผมพยักหน้าและรู้สึกว่าเจ็บทันทีเมื่อขยับตัวไปรับขวดยา อย่างที่อันทิโนอุสบอกเวทมนตร์เขามันแค่สมานแผลด้านนอกเท่านั้น ตอนนี้สายตาอันทิโนอุสอ่อนโยนมาก ถึงเขาจะดีกับผมแบบนี้แต่สิ่งที่ผมเจอมา มันก็ทำให้ผมยากที่จะไว้ใจใคร
          “คงจะเริ่มอีกไม่ช้า เดี๋ยวพยาบาลจะพาเจ้าเข้าไปที่ห้องนะ ข้าไปก่อน”
          “ฉันต้องไปด้วยเหรอ”
          “แน่นอน” เขาพูดแล้วเดินออกไป

          พยาบาลพยุงตัวผมขึ้นนั่งในรถเข็นที่ล้อทั้งสองข้างทำด้วยไม้ พอเธอเลื่อนรถเข็นออกจากห้อง ผมก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของล้อทั้งสองข้าง อีกข้างใหญ่ อีกข้างเล็ก คิดซะว่านี่ร่างกายมนุษย์ละกัน ของสองสิ่งมันมักจะไม่เท่ากันเสมอ เธอเข็นผมมาหยุดที่ห้องแล้วเธอก็เดินจากไป

          “เฮ้ ไม่พาฉันเข้าไปหรอ” ผมพูด เธอหันมามองแวบหนึ่งแล้วเดินจากไป “ให้ตายเถอะ” ผมบ่นและพยายามลุกจากรถเข็นด้วยตนเอง มันเป็นเหมือนที่อันทิโนอุสบอก ร่างกายผมดูเหมือนปกติทุกอย่างแต่ภายในกลับเจ็บปวดเหมือนมีใบมีดฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ผมจึงนั่งลงและหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าแล้วจิบ รสชาติมันเย็น ๆ เหมือนเปปเปอร์มินต์และผมก็รู้สึกมีพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเข็นล้อทั้งสองข้างเข้าไปในห้องด้วยความทุลักทุเล พอเข้ามาข้างใน ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาช่วยผม ทำให้การขึ้นนั่งบนเกาอี้กลางห้องสะดวกขึ้น
          “เบิกตัวจำเลยเข้ามาในชั้นพิพากษา” คนที่นั่งริมข้างซ้ายของประธานพูดเสียงก้องกังวานไปทั่วห้องแบบช้า ๆ ผมซึ่งนั่งอยู่กลางห้อง ก็นั่งอยู่ที่เดิม
          “เริ่มการพิพากษา” ชายคนเดิมพูดอีกครั้ง ผมกวาดสายตาไปทั่วห้อง พยายามมองหาอันทิโนอุส แต่ตอนนี้ผมยังไม่เห็นเขา
          “เจ้านามว่าอะไร” ชายคนที่นั่งริมซ้ายถามขึ้น
          “เทเลอร์” ผมตอบ “เทเลอร์ บรู๊ค” เกิดเสียงกระซิบกระซาบทั่วห้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่