
MC นู๋สร้างชาติ รับหน้าที่ค่ะ

ช่วงเทศกาลบอลโลก เพื่อนๆ คงอิ่มกับมาม่าจนพุงกาง นู๋เคยตั้งกระทู้เรื่องมาม่า (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ไปแล้ว วันนี้มาอาหารเส้นๆ ของไทยบ้างค่ะ นั่นคือ ก๋วยเตี๋ยว โอ๊ย น้ำลายไหล
นู๋ไปเจอบทความหนึ่งน่าสนใจ เลยตัดทอนบางส่วนเอามาแบ่งปันกันค่ะ
ก๋วยเตี๋ยว กับ ปฏิวัติ 2475
เคยมีการพูดถึงกันว่า ในสมัยก่อน แค่กินข้าวคลุกน้ำปลาหรือน้ำพริกเกลือก็สามารถอยู่ได้แล้ว นี่คือสภาพอาหารการกินของประชาชนทั่วไปภายใต้ระบอบเก่าก่อนที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงภายหลังปฏิวัติ 2475
การกินภายใต้ระบอบการปกครองใหม่
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 รัฐบาลแห่งระบอบการปกครองใหม่เห็นว่า อาหารการกินของประชาชนนั้นมีความสำคัญต่อการสร้างชาติและพัฒนาประเทศอย่างมาก พูดง่ายๆ ก็คือ หากพลเมืองมีอาหารการกินที่ดี สุขภาพของพลเมืองก็จะดีตามไปด้วย และประเทศชาติก็จะมีกำลังที่แข็งแรงไปพัฒนาประเทศสืบไป แต่หากอาหารการกินของพลเมืองแย่ ประชาชนก็จะมีความเจ็บป่วย ประเทศชาติก็จะขาดกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ในปี 2477 รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ‘กองส่งเสริมอาหาร’ ภายใต้กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย (ณ เวลานั้น) เพื่อมาดำเนิน ‘โครงการอาหารของชาติ’ โดยมีเป้าหมายที่จะปฏิวัติสุขลักษณะให้อยู่ดีกินดีขึ้น ทั้งนี้ บุคคลที่เข้ามามีบทบาทหลักในการปฏิวัติอาหารในครั้งนี้ก็คือ นายแพทย์ยงค์ ชุติมา
นายแพทย์ยงค์เห็นว่า หากต้องการปรับเปลี่ยนให้คนไทยมีสุขลักษณะและสภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น คนไทยต้องปรับวิธีการกินอาหาร จากการกินอาหารที่เน้น ‘ข้าวมากแต่กับน้อย’ มาเป็นกิน ‘ข้าวน้อย กินกับให้มากๆ’ ทั้งนี้ เพราะตามหลักโภชนาการศาสตร์ที่ได้รับมาจากประเทศตะวันตก การกินอาหารของไทยแบบโบราณที่เน้นกินข้าวและรสจัด สารอาหารที่ได้รับจะมีแต่ ‘แป้ง’ หรือ ‘คาร์โบไฮเครต’ เท่านั้น ซึ่งทำให้คนไทยสมัยก่อนเป็นพวกขาดสารอาหารชนิดอื่นที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
แต่การกินอาหารแบบใหม่ที่เน้นการกินกับหรือเนื้อสัตว์ให้มากๆ และรสไม่จัด จะทำให้คนไทยได้รับสารอาหารที่เรียกว่า ‘โปรตีน’ มากขึ้น ซึ่งโปรตีนนี่เองที่เป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้น หากชาวไทยหันมากินกับมากๆ ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีกำลังไปช่วยพัฒนาประเทศต่อไป
ในช่วงเวลานั้น หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้หันมาโปรโมตเรื่องการกินอาหารแบบใหม่กันมากขึ้น จนก่อให้เกิดลัทธิที่เรียกว่า ‘โปรตีนนิสม์’ (Proteinism) พูดอีกแบบก็คือ ได้เกิดรูปแบบการกินอาหารแบบใหม่ที่เน้นการกินเนื้อสัตว์หรือวัตถุดิบอื่นๆ ที่ให้สารอาหารโปรตีนเหมือนกัน และอาหารชนิดหนึ่งที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิใหม่นี้ก็คือ ‘ถั่วเหลือง’ ส่วนหนึ่งเพราะถั่วเหลืองปลูกง่ายแต่ให้โปรตีนได้ปริมาณมาก
นอกจากการโปรโมตให้ประชาชนสนใจมากินอาหารแบบเน้นกับมากขึ้นแล้ว รัฐบาลโดยเฉพาะในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เล็งเห็นว่า ณ ขณะนั้น ภาคเกษตรกรรมของไทยยังผลิตโปรตีนจากสุกร ไก่ เป็ด ไข่ รวมถึงถั่วเหลืองได้น้อย จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ดังนั้น จึงได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ส่งเสริมแหล่งเพาะพันธุ์ไก่ เป็ด สุกร และถั่วเหลืองอย่างเป็นระบบ เพื่อหวังว่าจะได้ผลิตเนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วเหลืองในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติตามนโยบายนี้ คือ ‘สถานีทดลองและส่งเสริมเกษตรกลางบางเขน’
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงจะโปรโมตการกินอาหารแบบเน้นกับรสไม่จัด และเร่งผลิตอาหารที่ให้โปรตีนอย่างจริงจัง แต่คนไทยก็ยังหันมากินอาหารสูตรใหม่นี้ไม่มากเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ารัฐบาลยังไม่ได้สร้างเมนูอาหารที่เป็นตัวแทนของอาหารยุคใหม่และเข้าถึงคนไทยจำนวนมากได้นั่นเอง
ก๋วยเตี๋ยว อาหารแห่งการปฏิวัติ
ถ้าจะพูดถึงที่มาของก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทย เราอาจสืบสาวราวเรื่องไปไกลถึงช่วงก่อนการปฏิวัติ 2475 ได้เลยนะครับ ถ้าว่ากันตามตรง ก๋วยเตี๋ยวได้เข้ามาในไทยโดยข้ามน้ำข้ามทะเลมากับชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาทำงานในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนจึงได้นำวัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวมาเผยแพร่ในไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์ถึงปฏิวัติ 2475 การกินก๋วยเตี๋ยวก็ใช่ว่าจะได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูงในสยามเท่าใดนัก ทั้งนี้เพราะก๋วยเตี๋ยวมักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงาน หรือ ‘กุลีจีน’ นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ภายหลังที่รัฐบาลจอมพล ป. ดำเนินนโยบายสร้างชาติด้วยปรับเปลี่ยนอาหารการกินของคนไทยอย่างเต็มสูบ ชะตากรรมของก๋วยเตี๋ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนก็เริ่มเปลี่ยนไป กล่าวคือ ในปลายเดือนตุลาคม 2485 หลังจากน้ำจากน้ำท่วมใหญ่เริ่มลด และยังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของคณะราษฎรต้องการให้ราษฎรหันมาสนใจกินอาหารที่ดีมีประโยชน์แต่หาได้ง่ายในประเทศ
สูตรอาหารที่รัฐบาลนำเสนอแก่ประชาชนก็คือ ‘
ก๋วยเตี๋ยว’ นั่นเองล่ะครับ
เหตุผลหลักที่รัฐบาลใช้ก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูอาหารหลักที่คนไทยทุกคนควรทำเป็นและหันมากินก็คือ ความง่ายในการปรุง และความหลากหลายของวัตถุดิบ
สำหรับการทำก๋วยเตี๋ยว เป็นที่รับรู้กันว่าผู้ปรุงไม่ต้องใช้กรรมวิธีมากมายในการทำก๋วยเตี๋ยว เพียงแค่มีหม้อต้มน้ำใบเดียวก็สามารถประกอบอาหารได้ภายในเวลาอันสั้น ในแง่ความหลากหลายของวัตถุดิบที่ใช้ปรุง นอกจากผู้กินจะได้รับแป้งจากเส้นหมี่ขาว หมี่เหลือง เส้นเล็ก หรือเส้นใหญ่แล้ว ยังจะได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์นานาชนิด รวมถึงวิตามินจากผักและสมุนไพรต่างๆ อีกด้วย ในแง่ของรสชาติ ก๋วยเตี๋ยวก็ให้รสชาติที่ไม่จัดเกินไป ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถกินก๋วยเตี๋ยวได้ง่าย
หลังจากที่รัฐบาลจอมพล ป. โปรโมตการกินก๋วยเตี๋ยวในปี 2485 ภายในเวลาไม่นาน คนไทยก็หันมาสนใจก๋วยเตี๋ยวกันอย่างล้มหลาม จนกลายเป็นว่า หลังผ่านสภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ก๋วยเตี๋ยวก็ได้ถูกยอมรับจากชนชั้นกลางในเมืองมากขึ้น
ถึงแม้ว่าภายหลังอำนาจของคณะราษฎรจะหมดสิ้นไป แต่มรดกทางวัฒนธรรมที่คณะราษฎรทิ้งเอาไว้ก็ได้รับการยอมรับและสืบทอดผ่านการกินของพวกเรามาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้แหละครับ
ก๋วยเตี๋ยวจึงได้กลายเป็นอาหารของการปฏิวัติ และกลายเป็นภาพแทนของอาหารการกินของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เน้นการกินที่หลากหลาย (เน้นกับ) และไม่รสจัดเหมือนเดิม
ในอีกความหมายหนึ่ง การกินก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประชาชนชาวไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กล่าวคือ คนไทยได้เปลี่ยนจากการเป็นไพร่ฟ้าหน้าใสที่กินแต่ข้าวซึ่งทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเพราะขาดสารอาหาร มาเป็นพลเมืองไทยที่กินอาหารเน้นกับที่หลากหลาย และมีร่างกายแข็งแรง
การกินอาหารแบบใหม่ของคนไทยหลังปฏิวัติ 2475 จึงสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยไม่ใช่ไพร่ฟ้าที่ไร้ค่าไร้ราคาอีกต่อไป แต่เป็น ‘กำลังของแผ่นดิน’ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า
Cr. Wachiravit Kongkarai | Nov 9, 2017
https://www.the101.world/thai-noodle-and-the-revolution-2475/
และภาพประกอบจาก
https://pantip.com/topic/36706317,
https://mgronline.com/infographic/detail/9610000046074
วันนี้ใครมีอะไรอร่อยๆ มาแชร์กันโลด จะก๋วยเตี๋ยว มาม่า เกาเหลา เส้นใหญ่ ก๋วยจั๊บ อะไรก็ได้หมด
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 19/7/2018 (ก๋วยเตี๋ยว กับ ปฏิวัติ 2475)
ช่วงเทศกาลบอลโลก เพื่อนๆ คงอิ่มกับมาม่าจนพุงกาง นู๋เคยตั้งกระทู้เรื่องมาม่า (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ไปแล้ว วันนี้มาอาหารเส้นๆ ของไทยบ้างค่ะ นั่นคือ ก๋วยเตี๋ยว โอ๊ย น้ำลายไหล
นู๋ไปเจอบทความหนึ่งน่าสนใจ เลยตัดทอนบางส่วนเอามาแบ่งปันกันค่ะ
ก๋วยเตี๋ยว กับ ปฏิวัติ 2475
เคยมีการพูดถึงกันว่า ในสมัยก่อน แค่กินข้าวคลุกน้ำปลาหรือน้ำพริกเกลือก็สามารถอยู่ได้แล้ว นี่คือสภาพอาหารการกินของประชาชนทั่วไปภายใต้ระบอบเก่าก่อนที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงภายหลังปฏิวัติ 2475
การกินภายใต้ระบอบการปกครองใหม่
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 รัฐบาลแห่งระบอบการปกครองใหม่เห็นว่า อาหารการกินของประชาชนนั้นมีความสำคัญต่อการสร้างชาติและพัฒนาประเทศอย่างมาก พูดง่ายๆ ก็คือ หากพลเมืองมีอาหารการกินที่ดี สุขภาพของพลเมืองก็จะดีตามไปด้วย และประเทศชาติก็จะมีกำลังที่แข็งแรงไปพัฒนาประเทศสืบไป แต่หากอาหารการกินของพลเมืองแย่ ประชาชนก็จะมีความเจ็บป่วย ประเทศชาติก็จะขาดกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ในปี 2477 รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ‘กองส่งเสริมอาหาร’ ภายใต้กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย (ณ เวลานั้น) เพื่อมาดำเนิน ‘โครงการอาหารของชาติ’ โดยมีเป้าหมายที่จะปฏิวัติสุขลักษณะให้อยู่ดีกินดีขึ้น ทั้งนี้ บุคคลที่เข้ามามีบทบาทหลักในการปฏิวัติอาหารในครั้งนี้ก็คือ นายแพทย์ยงค์ ชุติมา
นายแพทย์ยงค์เห็นว่า หากต้องการปรับเปลี่ยนให้คนไทยมีสุขลักษณะและสภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น คนไทยต้องปรับวิธีการกินอาหาร จากการกินอาหารที่เน้น ‘ข้าวมากแต่กับน้อย’ มาเป็นกิน ‘ข้าวน้อย กินกับให้มากๆ’ ทั้งนี้ เพราะตามหลักโภชนาการศาสตร์ที่ได้รับมาจากประเทศตะวันตก การกินอาหารของไทยแบบโบราณที่เน้นกินข้าวและรสจัด สารอาหารที่ได้รับจะมีแต่ ‘แป้ง’ หรือ ‘คาร์โบไฮเครต’ เท่านั้น ซึ่งทำให้คนไทยสมัยก่อนเป็นพวกขาดสารอาหารชนิดอื่นที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง
แต่การกินอาหารแบบใหม่ที่เน้นการกินกับหรือเนื้อสัตว์ให้มากๆ และรสไม่จัด จะทำให้คนไทยได้รับสารอาหารที่เรียกว่า ‘โปรตีน’ มากขึ้น ซึ่งโปรตีนนี่เองที่เป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้น หากชาวไทยหันมากินกับมากๆ ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีกำลังไปช่วยพัฒนาประเทศต่อไป
ในช่วงเวลานั้น หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้หันมาโปรโมตเรื่องการกินอาหารแบบใหม่กันมากขึ้น จนก่อให้เกิดลัทธิที่เรียกว่า ‘โปรตีนนิสม์’ (Proteinism) พูดอีกแบบก็คือ ได้เกิดรูปแบบการกินอาหารแบบใหม่ที่เน้นการกินเนื้อสัตว์หรือวัตถุดิบอื่นๆ ที่ให้สารอาหารโปรตีนเหมือนกัน และอาหารชนิดหนึ่งที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิใหม่นี้ก็คือ ‘ถั่วเหลือง’ ส่วนหนึ่งเพราะถั่วเหลืองปลูกง่ายแต่ให้โปรตีนได้ปริมาณมาก
นอกจากการโปรโมตให้ประชาชนสนใจมากินอาหารแบบเน้นกับมากขึ้นแล้ว รัฐบาลโดยเฉพาะในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เล็งเห็นว่า ณ ขณะนั้น ภาคเกษตรกรรมของไทยยังผลิตโปรตีนจากสุกร ไก่ เป็ด ไข่ รวมถึงถั่วเหลืองได้น้อย จนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ดังนั้น จึงได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ส่งเสริมแหล่งเพาะพันธุ์ไก่ เป็ด สุกร และถั่วเหลืองอย่างเป็นระบบ เพื่อหวังว่าจะได้ผลิตเนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วเหลืองในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติตามนโยบายนี้ คือ ‘สถานีทดลองและส่งเสริมเกษตรกลางบางเขน’
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงจะโปรโมตการกินอาหารแบบเน้นกับรสไม่จัด และเร่งผลิตอาหารที่ให้โปรตีนอย่างจริงจัง แต่คนไทยก็ยังหันมากินอาหารสูตรใหม่นี้ไม่มากเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ารัฐบาลยังไม่ได้สร้างเมนูอาหารที่เป็นตัวแทนของอาหารยุคใหม่และเข้าถึงคนไทยจำนวนมากได้นั่นเอง
ก๋วยเตี๋ยว อาหารแห่งการปฏิวัติ
ถ้าจะพูดถึงที่มาของก๋วยเตี๋ยวในประเทศไทย เราอาจสืบสาวราวเรื่องไปไกลถึงช่วงก่อนการปฏิวัติ 2475 ได้เลยนะครับ ถ้าว่ากันตามตรง ก๋วยเตี๋ยวได้เข้ามาในไทยโดยข้ามน้ำข้ามทะเลมากับชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาทำงานในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนจึงได้นำวัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวมาเผยแพร่ในไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์ถึงปฏิวัติ 2475 การกินก๋วยเตี๋ยวก็ใช่ว่าจะได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูงในสยามเท่าใดนัก ทั้งนี้เพราะก๋วยเตี๋ยวมักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นแรงงาน หรือ ‘กุลีจีน’ นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ภายหลังที่รัฐบาลจอมพล ป. ดำเนินนโยบายสร้างชาติด้วยปรับเปลี่ยนอาหารการกินของคนไทยอย่างเต็มสูบ ชะตากรรมของก๋วยเตี๋ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนก็เริ่มเปลี่ยนไป กล่าวคือ ในปลายเดือนตุลาคม 2485 หลังจากน้ำจากน้ำท่วมใหญ่เริ่มลด และยังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของคณะราษฎรต้องการให้ราษฎรหันมาสนใจกินอาหารที่ดีมีประโยชน์แต่หาได้ง่ายในประเทศ
สูตรอาหารที่รัฐบาลนำเสนอแก่ประชาชนก็คือ ‘ก๋วยเตี๋ยว’ นั่นเองล่ะครับ
เหตุผลหลักที่รัฐบาลใช้ก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูอาหารหลักที่คนไทยทุกคนควรทำเป็นและหันมากินก็คือ ความง่ายในการปรุง และความหลากหลายของวัตถุดิบ
สำหรับการทำก๋วยเตี๋ยว เป็นที่รับรู้กันว่าผู้ปรุงไม่ต้องใช้กรรมวิธีมากมายในการทำก๋วยเตี๋ยว เพียงแค่มีหม้อต้มน้ำใบเดียวก็สามารถประกอบอาหารได้ภายในเวลาอันสั้น ในแง่ความหลากหลายของวัตถุดิบที่ใช้ปรุง นอกจากผู้กินจะได้รับแป้งจากเส้นหมี่ขาว หมี่เหลือง เส้นเล็ก หรือเส้นใหญ่แล้ว ยังจะได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์นานาชนิด รวมถึงวิตามินจากผักและสมุนไพรต่างๆ อีกด้วย ในแง่ของรสชาติ ก๋วยเตี๋ยวก็ให้รสชาติที่ไม่จัดเกินไป ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถกินก๋วยเตี๋ยวได้ง่าย
หลังจากที่รัฐบาลจอมพล ป. โปรโมตการกินก๋วยเตี๋ยวในปี 2485 ภายในเวลาไม่นาน คนไทยก็หันมาสนใจก๋วยเตี๋ยวกันอย่างล้มหลาม จนกลายเป็นว่า หลังผ่านสภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ก๋วยเตี๋ยวก็ได้ถูกยอมรับจากชนชั้นกลางในเมืองมากขึ้น
ถึงแม้ว่าภายหลังอำนาจของคณะราษฎรจะหมดสิ้นไป แต่มรดกทางวัฒนธรรมที่คณะราษฎรทิ้งเอาไว้ก็ได้รับการยอมรับและสืบทอดผ่านการกินของพวกเรามาจนถึงปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้แหละครับ ก๋วยเตี๋ยวจึงได้กลายเป็นอาหารของการปฏิวัติ และกลายเป็นภาพแทนของอาหารการกินของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เน้นการกินที่หลากหลาย (เน้นกับ) และไม่รสจัดเหมือนเดิม
ในอีกความหมายหนึ่ง การกินก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประชาชนชาวไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กล่าวคือ คนไทยได้เปลี่ยนจากการเป็นไพร่ฟ้าหน้าใสที่กินแต่ข้าวซึ่งทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเพราะขาดสารอาหาร มาเป็นพลเมืองไทยที่กินอาหารเน้นกับที่หลากหลาย และมีร่างกายแข็งแรง
การกินอาหารแบบใหม่ของคนไทยหลังปฏิวัติ 2475 จึงสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยไม่ใช่ไพร่ฟ้าที่ไร้ค่าไร้ราคาอีกต่อไป แต่เป็น ‘กำลังของแผ่นดิน’ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า
Cr. Wachiravit Kongkarai | Nov 9, 2017 https://www.the101.world/thai-noodle-and-the-revolution-2475/
และภาพประกอบจาก https://pantip.com/topic/36706317, https://mgronline.com/infographic/detail/9610000046074
วันนี้ใครมีอะไรอร่อยๆ มาแชร์กันโลด จะก๋วยเตี๋ยว มาม่า เกาเหลา เส้นใหญ่ ก๋วยจั๊บ อะไรก็ได้หมด
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น