กระทู้นี้เป็นการอธิบายสำหรับเยาวชนผู้ไม่ใช่มุสลิม และผู้ซึ่งสนใจในศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามที่แท้จริงไม่มีนิกายใดๆทั้งสิ้นแนวความเชื่อของมุสลิมคือความศรัทธาต่อเอกพลานุภาพที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้บังเกิดจักรวาล สรรพสื่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และควบคุมระบบ วงจรชีวิต, จักวาล ทั้งทางฟิสิกส์และทางชีวะวิทยา ให้ดำเนินไปตามระบบของมันอย่างมีระเบียบ, มนุษย์เรียกเอกพลานุภาพที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นว่าพระเจ้า หรือ อัลลอฮุ ถึงแม้ว่าถ้าไม่มีศาสนาใดๆบนโลกนี้ อำนาจดังกล่าวนั้นก็ยังมีสถิตย์อยู่ชั่วนิรันดร
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่สอนความสัมพันธ์ของมนุษย์แต่ละคนที่มีกับพระเจ้า อิสลามหมายถึงการยอมจำนนต่อพระเจ้าทั้งกายวาจาและจิตใจ ผู้ที่ยอมจำนน และสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าเรียกว่า"มุสลิม",มุสลิมจะต้องศรัทธาว่าท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระเจ้า ผู้ที่ได้รับมอบแนวทางการดำเนินชีวิต(อัลกุรอาน) จากพระเจ้ามาสั่งสอนแก่มุสลิมในเรื่องการดำเนินและการใช้ชีวิตประจำวันในสังคมมนุษย์ ตามแนวทางที่พระเจ้าทรงแนะให้ตามบัญญัติต่างๆ ในอัลกุรอาน ถ้ามุสลิมไม่มีศรัทธาต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว อัลกุรอานอันเป็นข่าวสารจากพระเจ้าจะไม่มีความหมายอะไรเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
{5:48} และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เธอด้วยความจริง เพื่อเป็นสิ่งยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้ามัน และเป็นสิ่งที่ควบคุมคัมภีร์นั้น ดังนั้นเธอจงพิพากษาระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าตามตัณหาของพวกเขาจนออกจากความจริงที่ได้มายังเธอ สำหรับพวกเธอแต่ละประชาชาติ เราได้ให้กำหนดบทบัญญัติและแนวทางไว้ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ก็จะทรงให้พวกเธอเป็นประชาชาติเดียวกัน ทว่าเพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเธอในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเธอ ดังนั้นพวกเธอจงแข่งขันกันในความดีทั้งหลายเถิด ยังอัลลอฮฺนั้นคือการกลับไปของพวกเธอทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเธอทราบ ในสิ่งที่พวกเธอกําลังขัดแย้งกันในสิ่งนั้น
{5:49} และเธอจงพิพากษาระหว่างพวกเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามตัณหาของพวกเขา และจงระวังพวกเขา ที่จะจูงใจเธอให้ออกจากบางสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรง
ประทานลงมาแก่เธอ แล้วถ้าหากพวกเธอผินหลังให้ ก็พึงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺนั้นทรงประสงค์จะให้พวกเขาประสบกับบาปกรรมบางส่วนของพวกตน และแท้จริงมนุษย์ส่วนมากนั้นเป็นผู้ละเมิด
{5:50} ข้อตัดสินแห่งอานารยสมัยกระนั้นหรือ ที่พวกเขาปรารถนา? และผู้ใดเล่าที่จะมีข้อตัดสินดียิ่งกว่าอัลลอฮฺสำหรับกลุ่มชนที่เชื่อมั่น
อัลกุรอาน เป็นเอกสารซึ่งเป็นแหล่งวิชาการทางศาสนาอิสลาม เพียงแหล่งเดียวเท่าน้น ที่พระเจ้ากำหนดให้มุสลิมใช้ปฏิบัติตาม พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ในอัลกุรอาน คือให้มุสลิม เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัดผู้ซึ่งนำวิทยปัญญาที่ได้รับจากอัลกุรอาน มาสั่งสอนแก่มวลมนุษยชาติ คำสอนและการปฏิบัติของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่เป็นตัวอย่างต่อมวลมนุษย์นั้นจะต้องอยู่ในขอบเขตุและในแนวทางที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานเท่านั้น, ท่านศาสดามูฮัมมัด จะบิดเบนและต่อเติมนอกเหนือไปจากแนวทางที่วางไว้ในอัลกุรอานไม่ได้อย่างเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้{17:73} และหากว่าพวกเขาจะทำให้เธอหลงไปจากสิ่งที่เราได้เปิดเผยสำแดงแก่เธอ เพื่อเธอจะได้กุสิ่งอื่นขึ้นแก่เรา เมื่อนั้นแหละ พวกเขาก็จะคบเธอเป็นเพื่อนสนิท
{17:74} และหากว่าเราไม่ได้ให้เธอตั้งมั่นอยู่บนความจริงแล้ว เธอก็คงจะโน้มเอียงไปทางพวกเขาบ้างเล็กน้อย
{17:75} ถ้าเช่นนั้น แน่นอนเราก็จะให้เธอลิ้มรส (การลงโทษ) สองเท่าในชีวิตนี้และสองเท่าเมื่อยามตาย แล้วเธอจะไม่พบผู้ช่วยเหลือแก่เธอให้พ้นจากเราได้
{10:15} และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า "ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย" จงกล่าวเถิด "ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"
{10:16} จงกล่าวเถิด "หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกเธอ และ
พระองค์จะไม่ให้พวกเธอได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอน ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเธอมาก่อนนั้น พวกเธอไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?"
{10:17} ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริง บรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
{10:18} และพวกเขาจะเคารพสักการะสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮฺ ที่ไม่ได้ให้โทษแก่พวกเขา และไม่ได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า "เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ" จงกล่าวเถิด "พวกเธอจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น"
มุสลิมต้องทำความเข้าใจเสียก่อนถึง ความแตกต่างระหว่าง คำว่า ซุนนะห์ กับ คำว่าฮาดีษ
คำว่าซุนนะห์ ตามความหมายโดยตรง หมายถีง วิธีการปฏิบัติ, แนวทางปฏิบัติทางศาสนกิจ ซึ่งปฏิบัติขึ้นเป็นตัวอย่างโดยท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่ปฏิบัติอยู่ท่ามกลาง บรรดาซอฮาบะห์ และได้กระทำการปฏิบัติต่อเนื่อง ตามกันมาอย่างพร้อมเพรียงกันจากชนรุ่นหนึ่งมายังชนอีกรุ่นหนึ่งลงมาถึงชนรุนหลังๆจนถึงในปัจจุบัน ส่วนมากที่สุดเป็นการปฏิบัติที่เริ่มต้นมาจาก ศาสนาของท่านศาสดาอิบรอฮิม และรวมทั้งการปฏิบัติที่ได้รับการปรับปรุงโดยท่านศาสนทูต มูฮัมมัด
หะดีษในทางตรงกันข้ามมีความหมายถึงสิ่งใหม่ ๆ ที่ออกมาเป็นคำพูด หรือข้อความ ซึ่งเป็นเรื่องบอกเล่าหรือคำบรรยาย ของ เหล่าซอฮาบะห์ สหายของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เป็นเรื่องบอกเล่าที่อ้างถึงคำสอน คำพูด หรือการปฏิบัติที่มีความเกี่ยวโยงกับ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ว่าผู้บอกเล่า เคยได้ยินต่อๆกันมา หรือ เรื่องเล่าที่อ้างว่า ได้เคยเห็น การปฏิบัติของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ฮาดีษไม่มีหลักฐานการจดบันทึก สถานที่และกาลเวลาที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน, การจดบันทึกฮาดีษ ไม่มีการรับรองจากท่านศาสนทูตมูฮัมมัด หรือ การสนับสนุนจากอัลกุรอาน
มุสลิมไม่ควรจะเชื่อหรือปฏิบัติตามเรื่องบอกเล่า(ฮาดีษ) อะไรก็ตามที่ผิดวิสัยของมนุษย์หรือมีข้อความที่ขัดหรือไม่มีอยู่ในบริบทของ อัลกุรอาน เมื่อพบฮาดีษเช่นนั้นแล้ว ให้โยนหรือตัดทิ้งไป,ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดสอนไว้ว่า ห้ามไม่ให้ผู้ใดจดบันทึกคำสอนหรือคำพูดของท่านที่นอกเหนือไปจาก บัญญัติของอัลกุรอาน ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดได้กล่าวไว้ว่า, "บรรดาผู้ที่(ศึกษาอัลกุรอาน) อ่านและจดจำถ้อยคำในอัลกุรอานนั้น จะได้เข้าในสวรรค์ชั้นสูงสุด เหนือจากบรรดาผู้คนอิ่นๆ เว้นแต่ท่านศาสนทูตของพระเจ้า"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Hadith Number 32
قالَ رَسُولُ اللّهِ (صَلَّى اللّهُ عَلَيْهِ وَ آلِهِ وَسَلَّمَ): أَهْلُ الْقُرآنِ فِي أَعْلى دَرَجَةٍ مِنَ الآدَمِيِّينَ ما خَلا النَّبِيِّينَ وَ الْمُرْسَلِينَ. فَلا تَسْتَضْعِفُوا أَهْلَ الْقُرآنِ وَ حُقُوقَهُم فَإِنَّ لَهُمْ مِنَ اللّهِ لَمَكاناً.
The Messenger of Allah (blessings of Allah be upon him and his family) has said: “The people of the Qur’an (those who recite and those who memorize the Qur’an) will be in the highest level (in Heaven) from amongst all of the people with the exception of the Prophets and Messengers. Thus, do not seek to degrade the people of the Qur’an, nor take away their rights, for surely they have been given a high rank by Allah.”
Thawabul A’mal, Page 224
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความศรัทธา ของศาสนาอิสลามอย่างย่อๆ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ในอัลกุรอานและเป็นหลักการที่มุสลิมจะต้องยึดมั่นเป็นหลักศรัทธา และจะต้องจำไว้เสมอว่าในศาสนาอิสลาม ไม่มีการแบ่งศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ มุสลิมไม่สมควรที่จะแยกตัวเองว่าเป็น มุสลิมชีอะต์,ซุนนีย์ และ วะฮาบีมุสลิม หรือเป็นมุสลิมที่สังกัดอยู่ในนิกายหนึ่งนิกายใด, มุสลิมก็คือมุสลิม ดังนั้นมุสลิมควรที่จะศึกษาและทำการเข้าใจอัลกุรอานให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้หลงออกนอกทางที่พระเจ้าทรงโปรดปราณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้{6:159} แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกตน และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้น เธอไม่ได้อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใด แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้นย่อมไปสู่อัลลอฮฺ แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำ
{41:33} และผู้ใดเล่าจะมีคําพูดที่ดีเลิศยิ่งไปกว่าผู้เชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ และปฏิบัติงานที่ดี และกล่าวว่า "ฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดามุสลิม"
{3:103} และพวกเธอจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเธอ เพราะพวกเธอเคยเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงประสานระหว่างดวงใจของพวกเธอ แล้วพวกเธอก็กลายเป็นภราดรกันด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเธอเคยอยู่บนปากหลุมแห่งเพลิงนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเธอให้พ้นจากมัน เช่นนั้น อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้รับทางนำ
ความหมาย ของคำว่า "อิสลาม และ มุสลิม"
ศาสนาอิสลามที่แท้จริงไม่มีนิกายใดๆทั้งสิ้นแนวความเชื่อของมุสลิมคือความศรัทธาต่อเอกพลานุภาพที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้บังเกิดจักรวาล สรรพสื่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และควบคุมระบบ วงจรชีวิต, จักวาล ทั้งทางฟิสิกส์และทางชีวะวิทยา ให้ดำเนินไปตามระบบของมันอย่างมีระเบียบ, มนุษย์เรียกเอกพลานุภาพที่มีอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นว่าพระเจ้า หรือ อัลลอฮุ ถึงแม้ว่าถ้าไม่มีศาสนาใดๆบนโลกนี้ อำนาจดังกล่าวนั้นก็ยังมีสถิตย์อยู่ชั่วนิรันดร
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่สอนความสัมพันธ์ของมนุษย์แต่ละคนที่มีกับพระเจ้า อิสลามหมายถึงการยอมจำนนต่อพระเจ้าทั้งกายวาจาและจิตใจ ผู้ที่ยอมจำนน และสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าเรียกว่า"มุสลิม",มุสลิมจะต้องศรัทธาว่าท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระเจ้า ผู้ที่ได้รับมอบแนวทางการดำเนินชีวิต(อัลกุรอาน) จากพระเจ้ามาสั่งสอนแก่มุสลิมในเรื่องการดำเนินและการใช้ชีวิตประจำวันในสังคมมนุษย์ ตามแนวทางที่พระเจ้าทรงแนะให้ตามบัญญัติต่างๆ ในอัลกุรอาน ถ้ามุสลิมไม่มีศรัทธาต่อท่านศาสนทูตมูฮัมมัดแล้ว อัลกุรอานอันเป็นข่าวสารจากพระเจ้าจะไม่มีความหมายอะไรเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อัลกุรอาน เป็นเอกสารซึ่งเป็นแหล่งวิชาการทางศาสนาอิสลาม เพียงแหล่งเดียวเท่าน้น ที่พระเจ้ากำหนดให้มุสลิมใช้ปฏิบัติตาม พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ในอัลกุรอาน คือให้มุสลิม เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัดผู้ซึ่งนำวิทยปัญญาที่ได้รับจากอัลกุรอาน มาสั่งสอนแก่มวลมนุษยชาติ คำสอนและการปฏิบัติของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ที่เป็นตัวอย่างต่อมวลมนุษย์นั้นจะต้องอยู่ในขอบเขตุและในแนวทางที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานเท่านั้น, ท่านศาสดามูฮัมมัด จะบิดเบนและต่อเติมนอกเหนือไปจากแนวทางที่วางไว้ในอัลกุรอานไม่ได้อย่างเด็ดขาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มุสลิมต้องทำความเข้าใจเสียก่อนถึง ความแตกต่างระหว่าง คำว่า ซุนนะห์ กับ คำว่าฮาดีษ
คำว่าซุนนะห์ ตามความหมายโดยตรง หมายถีง วิธีการปฏิบัติ, แนวทางปฏิบัติทางศาสนกิจ ซึ่งปฏิบัติขึ้นเป็นตัวอย่างโดยท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่ปฏิบัติอยู่ท่ามกลาง บรรดาซอฮาบะห์ และได้กระทำการปฏิบัติต่อเนื่อง ตามกันมาอย่างพร้อมเพรียงกันจากชนรุ่นหนึ่งมายังชนอีกรุ่นหนึ่งลงมาถึงชนรุนหลังๆจนถึงในปัจจุบัน ส่วนมากที่สุดเป็นการปฏิบัติที่เริ่มต้นมาจาก ศาสนาของท่านศาสดาอิบรอฮิม และรวมทั้งการปฏิบัติที่ได้รับการปรับปรุงโดยท่านศาสนทูต มูฮัมมัด
หะดีษในทางตรงกันข้ามมีความหมายถึงสิ่งใหม่ ๆ ที่ออกมาเป็นคำพูด หรือข้อความ ซึ่งเป็นเรื่องบอกเล่าหรือคำบรรยาย ของ เหล่าซอฮาบะห์ สหายของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เป็นเรื่องบอกเล่าที่อ้างถึงคำสอน คำพูด หรือการปฏิบัติที่มีความเกี่ยวโยงกับ ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด ว่าผู้บอกเล่า เคยได้ยินต่อๆกันมา หรือ เรื่องเล่าที่อ้างว่า ได้เคยเห็น การปฏิบัติของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ฮาดีษไม่มีหลักฐานการจดบันทึก สถานที่และกาลเวลาที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน, การจดบันทึกฮาดีษ ไม่มีการรับรองจากท่านศาสนทูตมูฮัมมัด หรือ การสนับสนุนจากอัลกุรอาน
มุสลิมไม่ควรจะเชื่อหรือปฏิบัติตามเรื่องบอกเล่า(ฮาดีษ) อะไรก็ตามที่ผิดวิสัยของมนุษย์หรือมีข้อความที่ขัดหรือไม่มีอยู่ในบริบทของ อัลกุรอาน เมื่อพบฮาดีษเช่นนั้นแล้ว ให้โยนหรือตัดทิ้งไป,ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดสอนไว้ว่า ห้ามไม่ให้ผู้ใดจดบันทึกคำสอนหรือคำพูดของท่านที่นอกเหนือไปจาก บัญญัติของอัลกุรอาน ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดได้กล่าวไว้ว่า, "บรรดาผู้ที่(ศึกษาอัลกุรอาน) อ่านและจดจำถ้อยคำในอัลกุรอานนั้น จะได้เข้าในสวรรค์ชั้นสูงสุด เหนือจากบรรดาผู้คนอิ่นๆ เว้นแต่ท่านศาสนทูตของพระเจ้า"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความศรัทธา ของศาสนาอิสลามอย่างย่อๆ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ในอัลกุรอานและเป็นหลักการที่มุสลิมจะต้องยึดมั่นเป็นหลักศรัทธา และจะต้องจำไว้เสมอว่าในศาสนาอิสลาม ไม่มีการแบ่งศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ มุสลิมไม่สมควรที่จะแยกตัวเองว่าเป็น มุสลิมชีอะต์,ซุนนีย์ และ วะฮาบีมุสลิม หรือเป็นมุสลิมที่สังกัดอยู่ในนิกายหนึ่งนิกายใด, มุสลิมก็คือมุสลิม ดังนั้นมุสลิมควรที่จะศึกษาและทำการเข้าใจอัลกุรอานให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้หลงออกนอกทางที่พระเจ้าทรงโปรดปราณ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้