มุสลิมผู้ที่มีความศรัทธาต่ออัลกุรอานอย่างแท้จริงและเชื่อมั่นในความซื่อตรงและความเป็นท่านรอซูลที่แท้จริงของท่านรอซูลมูฮัมมัดตามคำปฏิญาณที่เรารู้กันโดยทั่วๆไปว่า กาลิมะชะฮาดะห์ ซึ่งมุสลิมทุกๆคนจะต้องปฏิญาณในช่วงชีวิตหนึ่งของเขาว่า;
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรต่อการคำรพบูชานอกจากพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น(พระองค์อัลลอฮ์) และท่านศาสนะทูตมูฮัมมัดคือศาสดาของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
จะต้องเข้าใจว่า การที่มุสลิมจะเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงต่อศาสนาอิสลามนั้น จะต้องไม่แปรเปลี่ยนไปจากคำปฏิญาณหรือคำสัญญาที่มีต่อพระเจ้าในวินาฑีแรกที่ยอมรับศาสนาอิสลาม นั้นคือยอมรับและเชื่อมั่นในคัมภีร์อัลกุรอานทุกๆบัญญัติ และจะต้องไม่ยึดถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระเจ้าหรือโองการของพระเจ้า, หรือเลิกล้มโองการของพระเจ้า,
ถ้ามุสลิมกระทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน เขาย่อมเข้าใจได้ว่า เขาได้ผิดสัญญาและคำปฏิญาณที่เขาได้ให้ไว้ต่อพระเจ้า, ดังนั้นจุดหมายปลายทางในปรโลกของเขาก็คือ “ไฟนรกอย่างไม่ต้องสงสัย” และไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเขาได้ แม้แต่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เองเมื่อท่าน เผชิญหน้าต่อ พระเจ้า ท่านก็จะกล่าวว่า;
وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَٰذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا {30}
Then the Messenger will say: "O my Lord! Truly my people took this Qur'an for just foolish nonsense." (Yusufali 25:30)
(25:30)และศาสนทูตจะกล่าวว่า;
"โอ,
พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล"
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ในสังคมมุสลิมไทยเรา, มุสลิมไทยเราส่วนมาก เกียจคร้านในการ ศึกษาอัลกุรอาน และชอบที่จะให้ผู้อื่น อ่านและแปลให้เขาฟัง, แต่แหล่งความรู้ส่วนมากมาจาก “อะฮาดีษ” แม้แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวัน ก็จะดำเนินตามฮาดีษ มากกว่า คำแนะนำสั่งสอนของท่านรูลที่ได้รับมาจากอัลกุรอานที่พระเจ้าประทานให้มา ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับมุสลืมผู้ศรัทธา
ที่กล่าวเช่นนี้ สมาชิกพุทธศาสนิกชน อาจจะไม่เข้าใจว่าฮาดีษคืออะไร?: ฮาดีษเป็นเรื่องราวจากการบอกเล่าปากต่อปากเกี่ยวกับ เรื่องราว ที่เชื่อว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด ที่ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ท่านรอซูล สิ้นชีวิตไปแล้ว 300 กว่าปี.
ฮาดีษเป็นเรื่องราวที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ไม่ได้รับรู้และรับรองว่าเป็นความจริงหรือถ้อยคำการสอนที่แท้จริงของท่านและของพระเจ้า แต่มุสลิมส่วนมากเชื่อว่า ฮาดีษทั้งหมดเป็นคำสอนที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด ถึงขนาดตั้งกฏว่า ถ้ามุสลิมผู้ใดไม่เชื่อใน ฮาดีษแล้วเท่ากับปฏิเสธท่านรอซูล และ ปฏิเสธพระเจ้า และขาดจากการเป็นมุสลิม ซึ่งทำให้มุสลิมที่ขาดความรู้ความเข้าใจในศาสนาอิสลามหลงเชื่อและปฏิบัติสิ่งบางอย่างที่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม
เรื่องราว ในฮาดีษมีตั้งแต่ เรื่องก่อนศาสนาอิสลาม ไปจนถึงเรื่องราวบนสวรรค์และในนรก, มีทุกๆสิ่งทุกๆเรื่อง ที่เป็นข้ออ้างอิง,สนับสนุน,คัดค้านและแก้ต่างในตัวบทของกันและกันแล้วแต่ว่า มุสลิมจะนำมาสนับสนุนและหักล้าง ความคิดของตนและของผู้อื่นในเรื่องอะไร หลักฐานที่สนับสนุนฮาดีษ ก็คือ คำบอกเล่าและคำยืนยัน ของนักวิชาการทางศาสนาอิสลามที่มีความเห็นไม่ตรงกันและ/หรือที่เหมือนกัน และยังเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันจน ถึงในสมัยปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ อย่างมากมาย และมีกานถกเถียงกันอยู่ในสังคมมุสลิมไทยในปัจจุบัน.
ตามที่ท่านสมาชิกเห็นอยู่ในห้องพันทิปนี้ เป็นเพียง
tip of iceberg. (หรือ ยอดบนผิวน้ำของก้อนน้ำแข็งมหึมาที่ซ่อนอยูใต้น้ำ), ของมุสลิม ที่มีความเห็นเหมือนกัน และเอียงไปในคำสอนของ ลัทธิวะฮาบีย์ ซึ่งมีหัวรุนแรงในการปฏิรูปสังคมมุสลิม ให้ถอยหลังไปในยุค 300 กว่าปีหลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ซึ่งมุสลิมกลุ่มนี้จะนิยมให้เรียกเขาว่า ชาว “ซาละฟีย์” มากกว่า วะฮาบีย์, การปฏิบัติของ มุสลิม วะฮาบีย์ นี้แตกต่างกว่า มุสลิม “ซาละฟีย์” ที่แท้จริง มากทั้งใน “อุดมการณ์” และทางหลักการปฏิบัติ ซึ่งเราจะเห็นแบบอย่างของ มุสลิมวะฮาบีย์ได้จาก การปฏิบัติและอุดมการณ์ทางศาสนาและการเมือง ของมุสลิมอรับในประเทศซาอุอารเบียในปัจจุบัน
จากอัลกุรอาน บัญญํติที่ 25:30 ที่นำมาอ้างอิงถึง ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดในปรโลกต่อหน้าของพระเจ้าที่ท่านศาสนทูตจะกล่าวว่า;
"โอ, พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล."
ในปัจจุบันจะเห็นว่า คำกล่าวในบัญญัตินี้เป็นความจริง ตามหัวข้อกระทู้นี้, เมื่อกล่าวถึงเรื่อง “
การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย" หรือ STONING, เราจะเห็นว่าใน กระทู้ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นี้ ผู้ที่สนับสนุน “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” จะ อ้างแต่ ฮาดีษเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด ที่นำมาจากอัลกุรอาน ถึงต้นเหตุที่มุสลิมนำเอา “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” มาอ้างว่าเป็นหลักการปฏิบัติของศาสนาอิสลาม
ขอให้ท่านย้อนกลับไปอ่านกระทู้ต่างๆเหล่านั้น มุสลิมที่สนับสนุน“การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” จะเอาแต่ อะฮาดีษต่างๆ เพียงอย่างเดียว มาลบล้างเหตุผลต่างๆจากบัญญัติในอัลกุรอาน, มีทั้งการเยาะเย้ยและท้าทาย และดูถูกว่า อัลกุรอานไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอเนื่องจาก ว่า “มุสลิมที่สนับสนุน “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” ไม่อาจจะหาบัญญัติในอัลกุรอานที่สนับสนุน การหลอกลวงของพวกเขาได้, ซึ่งตรงกับ คำกล่าวอ้างของท่านรอซูลที่ว่า "โอ,พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล"
จากบทความเรื่องลักษณะอาญาและบทลงโทษในกฎหมายอิสลาม : 3 การผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)
เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 10 กันยายน 2553 14:20 จากลิ้งค์ ข้างล่างนี้:
http://www.alisuasaming.com/main/index.php/article/lawofislam/1168-lawofislam006
“หลักฐานว่าด้วยการขว้างก้อนหินจนตายในกรณีของผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือการกระทำที่มีรายงานมาจากท่านนบี และอายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า :
( اَلشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ إِذَازَنَيَافَارْجُمُوْهُمَاالْبَتَةَ نَكَالاًمِنَ اللهِ وَالله ُعَزِيْزٌحَكِيْمٌ )
“ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
(ผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือผู้ที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วแต่ไม่ใช่ทาสหญิงเป็นผู้หญิงอิสระมาก่อนการแต่งงาน)
.....
หลังจากได้อ่านบทความนี้ด้วยความเข้าใจ, เมื่ออ่านมาถึงหลักฐานอ้างอิงและการเป็นไปได้กับการนำมาปฏิบัติตามหลักการลงโทษการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ) ตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานที่มุสลิมทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้, ได้เห็นว่า
ท่านผู้เขียนไม่ได้นำหลักฐานใดๆที่นำมาจากอัลกุรอานที่มุสลิมทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มาอ้างอิงแม้แต่เพียงบัญญัติเดียว, เนื่องจาก ว่าอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของพระเจ้า ซึ่งได้ยกเลิกข้อปฏิบัติหลายอย่าง ที่มีอยู่ในคัมภีร์เล่มก่อน คือ เตารอต และ คัมภีร์อินจีล รวมทั้งบัญัติเรื่อง “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย”
ในตอนแรกนี้ การอ้างอิง ผู้เขียนอ้างว่า
อายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า :
( اَلشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ إِذَازَنَيَافَارْجُمُوْهُمَاالْبَتَةَ نَكَالاًمِنَ اللهِ وَالله ُعَزِيْزٌحَكِيْمٌ )
“ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
มุสลิม ถูกทำให้สับสน ระหว่างคัมภีร์์ ของ ศาสนายิวและของศาสนาคริสต์ ถ้ามุสลิมเชื่อว่า มีทฤษฏีของการยกเลิกบัญญัติเก่าและทดแทนด้วยบัญญัติใหม่แล้ว เรื่อง “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” หรือ STONING นี้เป็นตัวอย่างและหลักฐานที่ดี ที่ยืนยันว่า เคยมีบัญญัตินี้ และ ถูกยกเลิกหรือทำให้ลืมเลือนไป, ซึ่ง ทฤษฏีของการยกเลิกบัญญัติเก่าและทดแทนด้วยบัญญัติใหม่ นั้นหมายถึงการยกเลิก บัญญัติในคัมภีร์ที่มีมาก่อน คัมภีร์อัลกุรอาน.
เนื่องจากการขึ้นต้นของบทความนี้ นำหลักฐานที่ยืนยันไม่ได้ด้วยคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม บทความนี้จึงเป็นโมฆะตามหลักการของศาสนาอิสลาม.แต่อาจจะจำกัดอยู่ในนิกายบางนิกายของศาสนาอิสลามที่ยังคงปฏิบัติ การลงโทษ “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนหลักการของศาสนาอิสลาม
“
การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” นี้มีมุสลิมทั้งในนิกายซุนนีย์ และในนิกาย ชีอะต์ ที่ไม่เห็นด้วย กับ การ ลงโทษที่ป่าเถื่อนและฝ่าฝืนต่อบัญญัติในอัลกุรอาน นี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้เขียนบทความและให้ความรู้ในเรื่องนี้ แก่มุสลิมในปัจจุบัน อย่างมากมาย.
เท่าที่เห็นตามกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในห้องศาสนาพันทิป, มุสลิมส่วนมาก ไม่เห็นความสำคัญของอัลกุรอานในเรื่องการให้อภัยของพระเจ้าในเรื่องการผิดประเวณี,และไม่มีโทษประหารชีวิตผู้ผิดประเวณีในกรณีใดๆทั้งสิ้น.
สำหรับมุสลิมที่ศึกษาอัลกุรอานด้วยความเข้าใจ และศรัทธาต่อพระเจ้าและท่านศาสนทูตมูฮัมมัดเท่านั้น คือผู้ที่รักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อพระเจ้า และปฏิบัติตามแนวทางตำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่อยู่ในขอบเขตบัญญัติของอัลกุรอาน อย่างแท้จริง

"โอ้,พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล"
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรต่อการคำรพบูชานอกจากพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น(พระองค์อัลลอฮ์) และท่านศาสนะทูตมูฮัมมัดคือศาสดาของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
จะต้องเข้าใจว่า การที่มุสลิมจะเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงต่อศาสนาอิสลามนั้น จะต้องไม่แปรเปลี่ยนไปจากคำปฏิญาณหรือคำสัญญาที่มีต่อพระเจ้าในวินาฑีแรกที่ยอมรับศาสนาอิสลาม นั้นคือยอมรับและเชื่อมั่นในคัมภีร์อัลกุรอานทุกๆบัญญัติ และจะต้องไม่ยึดถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระเจ้าหรือโองการของพระเจ้า, หรือเลิกล้มโองการของพระเจ้า, ถ้ามุสลิมกระทำเช่นนั้น อย่างแน่นอน เขาย่อมเข้าใจได้ว่า เขาได้ผิดสัญญาและคำปฏิญาณที่เขาได้ให้ไว้ต่อพระเจ้า, ดังนั้นจุดหมายปลายทางในปรโลกของเขาก็คือ “ไฟนรกอย่างไม่ต้องสงสัย” และไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเขาได้ แม้แต่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เองเมื่อท่าน เผชิญหน้าต่อ พระเจ้า ท่านก็จะกล่าวว่า;
وَقَالَ الرَّسُولُ يَا رَبِّ إِنَّ قَوْمِي اتَّخَذُوا هَٰذَا الْقُرْآنَ مَهْجُورًا {30}
Then the Messenger will say: "O my Lord! Truly my people took this Qur'an for just foolish nonsense." (Yusufali 25:30)
(25:30)และศาสนทูตจะกล่าวว่า;
"โอ,พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล"
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ในสังคมมุสลิมไทยเรา, มุสลิมไทยเราส่วนมาก เกียจคร้านในการ ศึกษาอัลกุรอาน และชอบที่จะให้ผู้อื่น อ่านและแปลให้เขาฟัง, แต่แหล่งความรู้ส่วนมากมาจาก “อะฮาดีษ” แม้แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวัน ก็จะดำเนินตามฮาดีษ มากกว่า คำแนะนำสั่งสอนของท่านรูลที่ได้รับมาจากอัลกุรอานที่พระเจ้าประทานให้มา ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับมุสลืมผู้ศรัทธา
ที่กล่าวเช่นนี้ สมาชิกพุทธศาสนิกชน อาจจะไม่เข้าใจว่าฮาดีษคืออะไร?: ฮาดีษเป็นเรื่องราวจากการบอกเล่าปากต่อปากเกี่ยวกับ เรื่องราว ที่เชื่อว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูลมูฮัมมัด ที่ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ท่านรอซูล สิ้นชีวิตไปแล้ว 300 กว่าปี.
ฮาดีษเป็นเรื่องราวที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ไม่ได้รับรู้และรับรองว่าเป็นความจริงหรือถ้อยคำการสอนที่แท้จริงของท่านและของพระเจ้า แต่มุสลิมส่วนมากเชื่อว่า ฮาดีษทั้งหมดเป็นคำสอนที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด ถึงขนาดตั้งกฏว่า ถ้ามุสลิมผู้ใดไม่เชื่อใน ฮาดีษแล้วเท่ากับปฏิเสธท่านรอซูล และ ปฏิเสธพระเจ้า และขาดจากการเป็นมุสลิม ซึ่งทำให้มุสลิมที่ขาดความรู้ความเข้าใจในศาสนาอิสลามหลงเชื่อและปฏิบัติสิ่งบางอย่างที่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม
เรื่องราว ในฮาดีษมีตั้งแต่ เรื่องก่อนศาสนาอิสลาม ไปจนถึงเรื่องราวบนสวรรค์และในนรก, มีทุกๆสิ่งทุกๆเรื่อง ที่เป็นข้ออ้างอิง,สนับสนุน,คัดค้านและแก้ต่างในตัวบทของกันและกันแล้วแต่ว่า มุสลิมจะนำมาสนับสนุนและหักล้าง ความคิดของตนและของผู้อื่นในเรื่องอะไร หลักฐานที่สนับสนุนฮาดีษ ก็คือ คำบอกเล่าและคำยืนยัน ของนักวิชาการทางศาสนาอิสลามที่มีความเห็นไม่ตรงกันและ/หรือที่เหมือนกัน และยังเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันจน ถึงในสมัยปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ อย่างมากมาย และมีกานถกเถียงกันอยู่ในสังคมมุสลิมไทยในปัจจุบัน.
ตามที่ท่านสมาชิกเห็นอยู่ในห้องพันทิปนี้ เป็นเพียง tip of iceberg. (หรือ ยอดบนผิวน้ำของก้อนน้ำแข็งมหึมาที่ซ่อนอยูใต้น้ำ), ของมุสลิม ที่มีความเห็นเหมือนกัน และเอียงไปในคำสอนของ ลัทธิวะฮาบีย์ ซึ่งมีหัวรุนแรงในการปฏิรูปสังคมมุสลิม ให้ถอยหลังไปในยุค 300 กว่าปีหลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสนทูตมูฮัมมัด, ซึ่งมุสลิมกลุ่มนี้จะนิยมให้เรียกเขาว่า ชาว “ซาละฟีย์” มากกว่า วะฮาบีย์, การปฏิบัติของ มุสลิม วะฮาบีย์ นี้แตกต่างกว่า มุสลิม “ซาละฟีย์” ที่แท้จริง มากทั้งใน “อุดมการณ์” และทางหลักการปฏิบัติ ซึ่งเราจะเห็นแบบอย่างของ มุสลิมวะฮาบีย์ได้จาก การปฏิบัติและอุดมการณ์ทางศาสนาและการเมือง ของมุสลิมอรับในประเทศซาอุอารเบียในปัจจุบัน
"โอ, พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล."
ในปัจจุบันจะเห็นว่า คำกล่าวในบัญญัตินี้เป็นความจริง ตามหัวข้อกระทู้นี้, เมื่อกล่าวถึงเรื่อง “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย" หรือ STONING, เราจะเห็นว่าใน กระทู้ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้นี้ ผู้ที่สนับสนุน “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” จะ อ้างแต่ ฮาดีษเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด ที่นำมาจากอัลกุรอาน ถึงต้นเหตุที่มุสลิมนำเอา “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” มาอ้างว่าเป็นหลักการปฏิบัติของศาสนาอิสลาม
ขอให้ท่านย้อนกลับไปอ่านกระทู้ต่างๆเหล่านั้น มุสลิมที่สนับสนุน“การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” จะเอาแต่ อะฮาดีษต่างๆ เพียงอย่างเดียว มาลบล้างเหตุผลต่างๆจากบัญญัติในอัลกุรอาน, มีทั้งการเยาะเย้ยและท้าทาย และดูถูกว่า อัลกุรอานไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอเนื่องจาก ว่า “มุสลิมที่สนับสนุน “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” ไม่อาจจะหาบัญญัติในอัลกุรอานที่สนับสนุน การหลอกลวงของพวกเขาได้, ซึ่งตรงกับ คำกล่าวอ้างของท่านรอซูลที่ว่า "โอ,พระเจ้าของข้าฯ! แท้จริง หมู่ชนของข้าฯได้ถือว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเหลวไหล"
จากบทความเรื่องลักษณะอาญาและบทลงโทษในกฎหมายอิสลาม : 3 การผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ)
เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 10 กันยายน 2553 14:20 จากลิ้งค์ ข้างล่างนี้:
http://www.alisuasaming.com/main/index.php/article/lawofislam/1168-lawofislam006
“หลักฐานว่าด้วยการขว้างก้อนหินจนตายในกรณีของผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือการกระทำที่มีรายงานมาจากท่านนบี และอายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า :
( اَلشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ إِذَازَنَيَافَارْجُمُوْهُمَاالْبَتَةَ نَكَالاًمِنَ اللهِ وَالله ُعَزِيْزٌحَكِيْمٌ )
“ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
(ผู้กระทำผิดที่เป็นมุฮฺซอนคือผู้ที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วแต่ไม่ใช่ทาสหญิงเป็นผู้หญิงอิสระมาก่อนการแต่งงาน)
.....
หลังจากได้อ่านบทความนี้ด้วยความเข้าใจ, เมื่ออ่านมาถึงหลักฐานอ้างอิงและการเป็นไปได้กับการนำมาปฏิบัติตามหลักการลงโทษการผิดประเวณี (ล่วงละเมิดทางเพศ) ตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอานที่มุสลิมทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้, ได้เห็นว่า ท่านผู้เขียนไม่ได้นำหลักฐานใดๆที่นำมาจากอัลกุรอานที่มุสลิมทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้มาอ้างอิงแม้แต่เพียงบัญญัติเดียว, เนื่องจาก ว่าอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายของพระเจ้า ซึ่งได้ยกเลิกข้อปฏิบัติหลายอย่าง ที่มีอยู่ในคัมภีร์เล่มก่อน คือ เตารอต และ คัมภีร์อินจีล รวมทั้งบัญัติเรื่อง “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย”
ในตอนแรกนี้ การอ้างอิง ผู้เขียนอ้างว่า
อายะฮฺอัลกุรฺอานที่ถูกยกเลิกการอ่าน แต่ยังคงใช้ข้อตัดสินจากอายะฮฺนั้น คืออายะฮฺที่ว่า :
( اَلشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ إِذَازَنَيَافَارْجُمُوْهُمَاالْبَتَةَ نَكَالاًمِنَ اللهِ وَالله ُعَزِيْزٌحَكِيْمٌ )
“ชายที่แต่งงานแล้วและหญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อทั้งสองได้กระทำผิดประเวณี พวกท่านจงขว้างบุคคลทั้งสองโดยเด็ดขาด (ถึงตาย) อันเป็นการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกียรติยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง”
มุสลิม ถูกทำให้สับสน ระหว่างคัมภีร์์ ของ ศาสนายิวและของศาสนาคริสต์ ถ้ามุสลิมเชื่อว่า มีทฤษฏีของการยกเลิกบัญญัติเก่าและทดแทนด้วยบัญญัติใหม่แล้ว เรื่อง “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” หรือ STONING นี้เป็นตัวอย่างและหลักฐานที่ดี ที่ยืนยันว่า เคยมีบัญญัตินี้ และ ถูกยกเลิกหรือทำให้ลืมเลือนไป, ซึ่ง ทฤษฏีของการยกเลิกบัญญัติเก่าและทดแทนด้วยบัญญัติใหม่ นั้นหมายถึงการยกเลิก บัญญัติในคัมภีร์ที่มีมาก่อน คัมภีร์อัลกุรอาน.
เนื่องจากการขึ้นต้นของบทความนี้ นำหลักฐานที่ยืนยันไม่ได้ด้วยคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม บทความนี้จึงเป็นโมฆะตามหลักการของศาสนาอิสลาม.แต่อาจจะจำกัดอยู่ในนิกายบางนิกายของศาสนาอิสลามที่ยังคงปฏิบัติ การลงโทษ “การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนหลักการของศาสนาอิสลาม
“การสังหารผู้ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยก้อนหินจนตาย” นี้มีมุสลิมทั้งในนิกายซุนนีย์ และในนิกาย ชีอะต์ ที่ไม่เห็นด้วย กับ การ ลงโทษที่ป่าเถื่อนและฝ่าฝืนต่อบัญญัติในอัลกุรอาน นี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้เขียนบทความและให้ความรู้ในเรื่องนี้ แก่มุสลิมในปัจจุบัน อย่างมากมาย.
เท่าที่เห็นตามกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในห้องศาสนาพันทิป, มุสลิมส่วนมาก ไม่เห็นความสำคัญของอัลกุรอานในเรื่องการให้อภัยของพระเจ้าในเรื่องการผิดประเวณี,และไม่มีโทษประหารชีวิตผู้ผิดประเวณีในกรณีใดๆทั้งสิ้น.