ไม่มีข้อห้ามในเรื่องดนตรีหรือศิลปกรรมในศาสนาอิสลาม

คำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์: อัลลอฮ์ทรงบัญชาผู้ศรัทธาให้เชื่อฟังศาสนทูตใน Surah Al-Imran (3:31,32)
เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ที่รักอัลลอฮ์จะต้องปฏิบัติตามพระศาสดามูฮัมมัด การติดตามท่านศาสดาอย่างจริงใจในชีวิตประจำวันเป็นเพียงข้อพิสูจน์ถึงความรักของ อัลลอฮ์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการกล่าวอ้างที่ว่างเปล่า อัลลอฮ์รักผู้ติดตามที่แท้จริงของพระศาสดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และทรงอภัยบาปของพวกเขาผู้ที่รักผู้เป็นที่รักก็รักผู้ที่เขารักด้วย ดังนั้นผู้นับถือศาสนาอิสลามที่จริงใจทุกคน (ผู้เป็นที่รักของอัลลอฮ์) จะต้องรักท่านศาสดามูฮัมมัดด้วยเช่นกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความสำคัญของการเชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัดในศาสนาอิสลาม  พระองค์ อัลลอฮ์ทรงหมายถึงการเชื่อฟังสารที่พระองค์ประทานลงมาผ่านศาสดา ทุกสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงปรารถนาจะประทานลงมานั้น ล้วนกระทำผ่านศาสดา และนั่นคือสาร “อัลกุรอาน” ในศาสนาอิสลาม ศาสดาไม่ใช่ผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของท่านเอง หะดีษที่มุสลิมส่วนใหญ่ยึดถือและนำมาปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกรวบรวมขึ้น 200-300 ปีหลังจากการจากไปของท่านศาสดา และไม่ใช่ความลับว่าหะดีษมีความขัดแย้งกัน หะดีษไม่ควรมีอำนาจเหนืออัลกุรอาน เราควรวิพากษ์วิจารณ์ให้มากขึ้น ในที่นี้ไม่ได้บอกว่าให้ยกเลิกหะดีษทั้งหมด แต่ควรตระหนักให้มากขึ้น ควรยึดถือเฉพาะฮาดีษที่อยู่ในบริบทของอัลกุรอานเท่านั้น ฮาดีษใดที่ไม่ได้อยู่ในบริบทของอัลกุรอานจะต้องโยนทิ้งไปและต้องไม่นำมาเป็นหลักศรัทธา (อิมามมาลิกี)

อัลลอฮ์ทรงสอนมุสลิมไว้ว่าในหมู่มวลนุษย์นั้นจะมีผู้นำเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระที่ปราศจากความรู้หรือไม่มีความหมายอะไรเลย ที่เรียกว่า  لَهْوَ الْحَدِيثِ ละวัลอัลฮาดีษ มาเล่าเป็นเรื่องราวให้มุสลิมหลงไหลออกนอกทางของพระองค์ และมองเห็นการกระทำความดีตามกฏบัญญัติที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอานเป็นเรื่องขบขันและมองไม่เห็นความสำคัญของอัลกุรอาน ละเลยไม่ศึกษาอัลกุรอาน ผู้ที่หลงไหลใน ฮาดีษที่เหลวไรไร้สาระ และฮาดีษที่นำมุสลิมออกนอกทางห่างจากการศึกษาอัลกุรอาน นั้นมีอยู่มากและฮาดีษเหล่านั้นถูกนำมาสอนมุสลิม ให้ยึดถือปฏิบัติโดยอ้างว่าเป็นคำสอนของท่านรอซูล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื่องจากมีฮาดีษเป็นจำนวนมากที่หมุนเวียนใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ตามที่กล่าวมาแล้วว่ามันเป็นการยากที่จะรู้ได้ว่าฮาดีษบทใดที่เป็นคำสอนคำกล่าวที่แท้จริงของท่านศาสดามูฮัมมัด วิธีการง่ายๆก็คือ ฮาดีษใดที่อยู่นอกบริบทของอัลกุรอานให้โยนทิ้งไปอย่านำมาใช้อ้างอิงทางศาสนาอิสลามเพราะถือว่าเป็น  لَهْوَ الْحَدِيثِ ละวัลอัลฮาดีษ และในเรื่องเดียวกันนี้ อัลลอฮ์ได้ทรงสอนว่า เพราะความอยากรู้อยากเห็นและการนินทาที่ไร้ประโยชน์อาจจะนำเราไปสู่การสอดส่องหาความชั่วร้ายได้  ดังนั้นเราต้องฟังเฉพาะสิ่งที่มีเหตุผลที่ดีและหนักแน่นที่จะเชื่อในความจริง เราต้องเห็นสิ่งที่ดีและให้ความรู้ และดื่มด่ำกับความรู้สึกหรือความคิดที่เป็นประโยชน์ทางจิตวิญญาณแก่เราเท่านั้น

เราจะต้องรับผิดชอบในวันตัดสิน ถ้าเราไม่ใช้ความสามารถทุกด้านที่เราได้รับจากพระองอัลลอฮ์ผู้สร้างเราขึ้นมา เช่นการการเห็น มองดูพิจารณาด้วยความรู้สึกจากจิตใจจนเราเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง (17:36)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามเรื่องดนตรี, การร้องเพลง, การวาดภาพและศิลปกรรมทุกๆชนิดที่สุภาพและไม่ผิดศีลธรรม ใดๆทั้งสิ้นไม่มีคำสั่งห้ามจากอัลลอฮ์หรือขากท่านศาสดามูฮัมมัด การฟังดนตรีและการวาดภาพศิลปกรรมต่างๆหลักการก็เช่นเดียวกับวัฒนธรรมและหลักศีลธรรมทั่วๆไปคือชาวไทยเราไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ถ้าเนื้อเพลงหรือศิลปกรรมที่ไม่สุภาพส่อไปในทางลามกหรือผิดศีลรรม ก็ไม่สมควรที่จะกระทำ สิ่งใดที่อัลลอฮ์ไม่ได้ห้ามแต่มุสลิมผู้ใดประกาศห้ามถือว่าเป็นการฝ่าฝืนอำนาจของอัลลอฮ์

แนวทางของอัลกุรอานเกี่ยวกับการประกาศสิ่งที่ฮารอมในขณะที่อัลลอฮ์ทรงถือว่าฮารอม ถือว่าเป็นบาปอย่างร้ายแรงแม้แต่ท่านศาสดามูฮัมมัดก็ไม่อาจจะฝ่าฝืนได้

อำนาจของอัลกุรอาน: อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดว่าอะไรฮาลาลและฮารอม (อัลกุรอาน 5:87)
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لَا تُحَرِّمُوا طَيِّبَاتِ مَا أَحَلَّ اللَّهُ لَكُمْ وَلَا تَعْتَدُوا ۚ إِنَّ اللَّهَ لَا يُحِبُّ الْمُعْتَدِينَ {87}
[Yusufali 5:87] O ye who believe! make not unlawful the good things which Allah hath made lawful for you, but commit no excess: for Allah loveth not those given to excess.

การห้ามเปลี่ยนแปลง: อย่าเปลี่ยนแปลงคำสั่งของอัลลอฮ์ การประกาศฮาลาลว่าฮารอมเป็นความผิดร้ายแรง (อัลกุรอาน 6:140)
قَدْ خَسِرَ الَّذِينَ قَتَلُوا أَوْلَادَهُمْ سَفَهًا بِغَيْرِ عِلْمٍ وَحَرَّمُوا مَا رَزَقَهُمُ اللَّهُ افْتِرَاءً عَلَى اللَّهِ ۚ قَدْ ضَلُّوا وَمَا كَانُوا مُهْتَدِينَ {140}
[Yusufali 6:140] Lost are those who slay their children, from folly, without knowledge, and forbid food which Allah hath provided for them, inventing (lies) against Allah. They have indeed gone astray and heeded no guidance.

ความรู้และเจตนา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าความเข้าใจของคุณอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว (อัลกุรอาน 16:116)
وَلَا تَقُولُوا لِمَا تَصِفُ أَلْسِنَتُكُمُ الْكَذِبَ هَٰذَا حَلَالٌ وَهَٰذَا حَرَامٌ لِتَفْتَرُوا عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ ۚ إِنَّ الَّذِينَ يَفْتَرُونَ عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ لَا يُفْلِحُونَ {116}
[Yusufali 16:116] But say not - for any false thing that your tongues may put forth,- "This is lawful, and this is forbidden," so as to ascribe false things to Allah. For those who ascribe false things to Allah, will never prosper.

คารพในปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์: เชื่อมั่นในปัญญาของอัลลอฮ์เกี่ยวกับสิ่งที่อนุญาต (อัลกุรอาน 2:173)
إِنَّمَا حَرَّمَ عَلَيْكُمُ الْمَيْتَةَ وَالدَّمَ وَلَحْمَ الْخِنْزِيرِ وَمَا أُهِلَّ بِهِ لِغَيْرِ اللَّهِ ۖ فَمَنِ اضْطُرَّ غَيْرَ بَاغٍ وَلَا عَادٍ فَلَا إِثْمَ عَلَيْهِ ۚ إِنَّ اللَّهَ غَفُورٌ رَحِيمٌ {173}
[Yusufali 2:173] He hath only forbidden you dead meat, and blood, and the flesh of swine, and that on which any other name hath been invoked besides that of Allah. But if one is forced by necessity, without wilful disobedience, nor transgressing due limits,- then is he guiltless. For Allah is Oft-forgiving Most Merciful.

ผลที่ตามมาของการติดฉลากผิด: การติดฉลากฮาลาลว่าฮารอมอาจนำไปสู่ผลทางจิตวิญญาณ (อัลกุรอาน 2:174)
إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنْزَلَ اللَّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَنًا قَلِيلًا ۙ أُولَٰئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلَّا النَّارَ وَلَا يُكَلِّمُهُمُ اللَّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلَا يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ {174}
[Yusufali 2:174] Those who conceal Allah's revelations in the Book, and purchase for them a miserable profit,- they swallow into themselves naught but Fire; Allah will not address them on the Day of Resurrection. Nor purify them: Grievous will be their penalty.

แสวงหาคำแนะนำ: แสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด (อัลกุรอาน 3:7)
هُوَ الَّذِي أَنْزَلَ عَلَيْكَ الْكِتَابَ مِنْهُ آيَاتٌ مُحْكَمَاتٌ هُنَّ أُمُّ الْكِتَابِ وَأُخَرُ مُتَشَابِهَاتٌ ۖ فَأَمَّا الَّذِينَ فِي قُلُوبِهِمْ زَيْغٌ فَيَتَّبِعُونَ مَا تَشَابَهَ مِنْهُ ابْتِغَاءَ الْفِتْنَةِ وَابْتِغَاءَ تَأْوِيلِهِ ۗ وَمَا يَعْلَمُ تَأْوِيلَهُ إِلَّا اللَّهُ ۗ وَالرَّاسِخُونَ فِي الْعِلْمِ يَقُولُونَ آمَنَّا بِهِ كُلٌّ مِنْ عِنْدِ رَبِّنَا ۗ وَمَا يَذَّكَّرُ إِلَّا أُولُو الْأَلْبَابِ {7}
[Yusufali 3:7] He it is Who has sent down to thee the Book: In it are verses basic or fundamental (of established meaning); they are the foundation of the Book: others are allegorical. But those in whose hearts is perversity follow the part thereof that is allegorical, seeking discord, and searching for its hidden meanings, but no one knows its hidden meanings except Allah. And those who are firmly grounded in knowledge say: "We believe in the Book; the whole of it is from our Lord:" and none will grasp the Message except men of understanding.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่