ขออภัยหากไม่รู้ว่าอ่านออกเสียงว่ากระไร เพราะข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะสะกดออกมายังไงให้มันเป็นเสียงคล้ายกับที่ข้าได้ยิน
แต่ถ้าข้าบอกออเจ้าเลยว่านี่คือเสียงของกระไรก็คงจะขัดใจข้ายิ่งนัก แบบว่าอยากให้ออเจ้าจินตนาการเอาเอง สุดแท้แต่
จะเป็นเสียงแบบใดก็แล้วแต่ออเจ้าเถิด

แต่หากอ่านแล้วก็ยังจินตนาการไม่ออก ข้าจะมาแปะที่มาของเสียงนี้
นะเจ้าคะ...
-เกริ่นนำ-
เมื่อครั้งเรายังเด็กวัยประถมมีช่วงชีวิตหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตอยู่ภาคเหนือกับปู่ย่า จำความเหตุการณ์หนึ่งได้แม่นยำ ปู่มีเพื่อนสนิทรุ่นน้อง
คนหนึ่งชื่อ ตามัน บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันในหมู่บ้านของตัวอำเภอ ในวันหนึ่งที่บ้านของตามันมีงานแต่งงานของลูกสาว ภายในงานมี
หมอขวัญประจำหมู่บ้านมาทำพิธีสู่ขวัญผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ชาวบ้านละแวกนั้นมาร่วมงานกันแต่เช้า บ้างก็มาช่วยงานในครัวกันตั้ง
แต่เช้ามืด งานแต่งงานนั้นจัดเล็ก ๆ พอเป็นพิธีไม่มีเวทีใหญ่โตฉลองมีเพียงโต๊ะไม้แผ่นยาวที่ขัดมันกันเสี้ยนมาเรียงต่อกัน ปูสาด (เสื่อ)
นั่งกินกับพื้นบ้างก็เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่นี่ และอาหารก็ถูกลำเลียงเสริฟขึ้นโต๊ะอาหารโดยฝีมือของพ่อครัวใหญ่ประจำหมู่บ้าน
พร้อมชาวบ้านที่คอยช่วยเป็นลูกมือ ย่าพาเราแต่งตัวสวยแล้วเดินข้ามฝั่งมาบ้านตามัน ปู่ย่าและชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างนั่งกินเลี้ยง
สังสรรค์ตามแบบฉบับชาวบ้าน ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุขกับตามันและคู่บ่าวสาวป้ายแดง เราที่เป็นเด็กคงอยู่ไม่นิ่งนักเพราะบรรยากาศ
มันเกินกว่าที่เด็กอย่างเราจะเข้าใจความหมายของคำว่า แต่งงาน เราจึงไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมหรือยินดีกับลูกสาวตามันเท่าไหร่นัก ดังนั้น
เราจึงลุกออกจากโต๊ะแล้วเรียกเพื่อนวัยเดียวกันไปเล่นกันที่อื่นจะดีกว่า พวกเราเลือกเล่นซ่อนแอบภายในงาน จากที่วิ่งเล่นซ่อนแอบ
กันรอบหน้างาน เราก็วิ่งเลยเถิดเข้าไปในครัวที่อยู่หลังบ้าน ชามหม้อไหกาละมังกองพะเนินเป็นกองโตวางซ้อนกันมีชาวบ้านบางส่วน
มาช่วยอาสาล้างจานหม้อไหอยู่ ไหน ๆ ก็วิ่งเลยเถิดเข้ามาในนี้แล้วเราจึงสอดส่ายสายตามองตามพื้นครัวเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง
ที่เราเคยติดค้างไว้ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ทันจะได้มองหาให้ทั่ว เพื่อนก็วิ่งมาโป้งข้างหลังเราเสียก่อน เราจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่าย
ปิดตาแล้วหาเพื่อนแทนบ้าง แม้ภายนอกจะดูร่าเริงแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจเรานั้นมีความรู้สึกติดลึกและโศกเศร้าเพียงใด...
-ก่อนวันงาน-
ก่อนวันงานมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเรียกกันว่าพ่อครัวใหญ่ขับรถกระบะมาจอดหน้าบ้านตามันพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือทำอาหาร
หม้อชามกระทะเครื่องปรุงวัตถุดิบพื้นเมืองถูกลำเลียงลงจากหลังรถพร้อมลูกมือที่มาช่วยงาน ปู่เราเดินข้ามฝั่งไปบ้านตามัน
แล้วส่งเสียงพูดคุยปนหัวเราะชอบใจ ว่าแล้วย่าก็เดินข้ามฝั่งไปร่วมสมทบด้วยอีกเช่นกัน คล้อยบ่ายแก่ ๆ เราตัดสินใจไปวิ่งเล่น
ฝั่งบ้านตามันเพราะตอนนี้บ้านตามันคนเริ่มมากันคึกคัก ชาวบ้านเริ่มทยอยกันมาช่วยงานตกแต่งสถานที่ เมื่อเราเห็นว่าบ้านตามัน
คนเริ่มเยอะจอแจเราจึงวิ่งข้ามไปฝั่นนู้น จะมานั่งหง่าวอยู่บ้านคนเดียวทำไมจริงไหม?
"ไปวิ่งเล่นตรงอื่นไป ตรงนี้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดสถานที่กัน" ย่าไล่เราเมื่อเราวิ่งเข้าไปกลางบ้านที่เขากำลังร้อยสานใบตองเป็นแพขันหมาก
เราจึงเดินออกจากบริเวณนั้นแล้วเตร็ดเตร่ลัดเลาะไปเรื่อยจนเลยไปถึงห้องครัวที่อยู่สุดทางเดินของหลังบ้าน บ้านตามันเป็นบ้านไม้
ยกพื้นสูงชั้นเดียว บนบ้านเป็นห้องโล่งมีกั้นห้องนอนสองห้องสำหรับตาและลูกสาว รอบบ้านเป็นระเบียงไม้ซี่ห่าง ๆ รอบบ้าน ส่วนครัว
ก็เหมือนกับบ้านคนอื่นที่ครัวนั้นแยกตัวออกจากตัวบ้านไม่ได้อยู่ตรงใต้ถุนบ้านโดยตรงเพราะเวลาทำกับข้าวก่อฟืนควันก็จะลอยเหนือ
ขึ้นไปบนบ้าน ฉนั้น ครัวจึงถูกสร้างให้แยกออกจากตัวบ้านอย่างชัดเจน ครัวเป็นแบบเปิดโล่งด้านข้าง มีหลังคาสังกะสีมุงเสริมต่อมา
จากตัวบ้านอีกที (เดี๋ยวจะแนบรูปให้ดู)
เมื่อเราเดินเข้าไปในครัวก็กะว่าจะหาหยิบอะไรกินเล่นพอหอมปากหอมคอสักหน่อย สายตาก็สะดุดไปที่ถุงกระสอบขนาดย่อม
ถูดมัดปากกระสอบติดอยู่กับเสาครัวต้นหนึ่ง เราขยับเข้าไปใกล้เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าในกระสอบนั้นมีอะไรอยู่ เมื่อเสียง
ฝีเท้าของเราดังขึ้นกระสอบนั้นก็เริ่มขยับ เราหยุดชะงักเล็กน้อยและคิดว่าในกระสอบต้องมีตัวอะไรอยู่แน่นอน เมื่อเราหยุดนิ่งเงียบ
กระสอบก็นิ่งไม่ไหวติง พอเราเริ่มขยับเท้ากระสอบก็ขยับตามเช่นกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทำให้เรารีบปรี่เข้าไปใกล้
กระสอบอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอาปากกระสอบขึ้นมา จากนั้นก็รีบถ่างปากกระสอบออกทั้ง ๆ ที่ยังมีเชือกมัดอยู่นั่นแหละ เราหรี่ตาลง
ข้างหนึ่งเพื่อให้ตาอีกข้างหนึ่งมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับปากกระสอบ เชือกถูกมัดหลวม ๆ ทำให้เรามองหรี่ตาเข้าไปในกระสอบได้เล็กน้อย
สายตาเรามองปะทะกับลูกตาคู่หนึ่งที่อยู่ในกระสอบ ต่างฝ่ายต่างมองจ้องตากันจนกระทั่ง
อว๊อค!!!
ตัวที่อยู่ในกระสอบอ้าปากเปล่งเสียงร้องออกมาหนึ่งที เสียงนั้นทำให้เราตกใจปล่อยมือออกจากกระสอบแล้วผงะหงายหลัง
ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น กอปรกับย่าเดินเข้ามาตามเรากลับบ้านพอดี เมื่อย่าเห็นเรานั่งอยู่กับพื้นก็ดึงแขนเราขึ้นมาแล้วบอกให้กลับบ้าน
เราดึงแขนย่าไว้และถามย่าว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในกระสอบ ย่าไม่ตอบแล้วบอกให้กลับบ้านเพราะพ่อครัวใหญ่จะเข้ามาทำอาหารแล้ว
แต่เรายังคงดื้อดึงไม่ยอมกลับง่าย ๆ ย่าดึงแขนเรายื้อยุดไปมาก็พอทำให้สิ่งที่อยู่ในกระสอบนั้นส่งเสียงออกมาอีกรอบ
อว๊อค!!!
เราและย่าหยุดและหันกลับไปมองที่มาของเสียง อว๊อค!!! เสียงดังขึ้นอีกพร้อมกับกระสอบเริ่มขยับ สิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังดิ้นคลุก ๆ
กลิ้งไปมากับพื้นในครัวพร้อมส่งเสียง อว๊อค... อว๊อค... มาเป็นระยะ เรากับย่ายืนมองดูกระสอบดิ้นอยู่อย่างนั้นจนมันหยุดแน่นิ่ง
คงเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเริ่มหมดแรง เมื่อเหตุการณ์สงบลงเราเริ่มร้องไห้ออกมาพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหน้าย่า ย่าเองก็รู้ว่าเรารู้สึก
อย่างไรจึงคว้าแขนจูงมือเราออกมาแล้วพากลับบ้าน ย่าปลอบประโลมให้เข้าใจว่า
"นี่คือเรื่องธรรมชาติเขาเกิดมาเพื่อประทังชีวิตมันเป็นสัจธรรมของมนุษย์" เราสวนกลับทันทีว่า "เขามีแม่และเขาไม่ได้อยากถูก
ฆ่าตายมาให้เรากิน!!!" ย่าบอกต่อว่า "มันเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะกิน สัตว์เล็กก็เป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ ถ้าไม่สบายใจเรามาแผ่เมตตา
ให้มันดีไหม?"
และนั่นก็ถือเป็นครั้งแรกที่เราเรียนรู้การแผ่เมตตาจากย่า และเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะละ และต้องการให้สิ่งนั้นได้ไปดีพ้นทุกข์
ไม่เจ็บปวดจริง ๆ การแผ่เมตตาครั้งแรกของเราที่ให้กับสิ่งมีชีวิตที่รอเวลานับถอยหลังอยู่ตรงนั้น เราผู้รู้ชะตากรรมว่ามันกำลังจะเจอ
กับอะไร ทำให้เราใช้ความตั้งใจทั้งหมดที่มีแผ่เมตตาให้สิ่งนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
อว๊อค อว๊อค
แต่ถ้าข้าบอกออเจ้าเลยว่านี่คือเสียงของกระไรก็คงจะขัดใจข้ายิ่งนัก แบบว่าอยากให้ออเจ้าจินตนาการเอาเอง สุดแท้แต่
จะเป็นเสียงแบบใดก็แล้วแต่ออเจ้าเถิด
นะเจ้าคะ...
-เกริ่นนำ-
เมื่อครั้งเรายังเด็กวัยประถมมีช่วงชีวิตหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตอยู่ภาคเหนือกับปู่ย่า จำความเหตุการณ์หนึ่งได้แม่นยำ ปู่มีเพื่อนสนิทรุ่นน้อง
คนหนึ่งชื่อ ตามัน บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันในหมู่บ้านของตัวอำเภอ ในวันหนึ่งที่บ้านของตามันมีงานแต่งงานของลูกสาว ภายในงานมี
หมอขวัญประจำหมู่บ้านมาทำพิธีสู่ขวัญผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ชาวบ้านละแวกนั้นมาร่วมงานกันแต่เช้า บ้างก็มาช่วยงานในครัวกันตั้ง
แต่เช้ามืด งานแต่งงานนั้นจัดเล็ก ๆ พอเป็นพิธีไม่มีเวทีใหญ่โตฉลองมีเพียงโต๊ะไม้แผ่นยาวที่ขัดมันกันเสี้ยนมาเรียงต่อกัน ปูสาด (เสื่อ)
นั่งกินกับพื้นบ้างก็เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่นี่ และอาหารก็ถูกลำเลียงเสริฟขึ้นโต๊ะอาหารโดยฝีมือของพ่อครัวใหญ่ประจำหมู่บ้าน
พร้อมชาวบ้านที่คอยช่วยเป็นลูกมือ ย่าพาเราแต่งตัวสวยแล้วเดินข้ามฝั่งมาบ้านตามัน ปู่ย่าและชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างนั่งกินเลี้ยง
สังสรรค์ตามแบบฉบับชาวบ้าน ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุขกับตามันและคู่บ่าวสาวป้ายแดง เราที่เป็นเด็กคงอยู่ไม่นิ่งนักเพราะบรรยากาศ
มันเกินกว่าที่เด็กอย่างเราจะเข้าใจความหมายของคำว่า แต่งงาน เราจึงไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมหรือยินดีกับลูกสาวตามันเท่าไหร่นัก ดังนั้น
เราจึงลุกออกจากโต๊ะแล้วเรียกเพื่อนวัยเดียวกันไปเล่นกันที่อื่นจะดีกว่า พวกเราเลือกเล่นซ่อนแอบภายในงาน จากที่วิ่งเล่นซ่อนแอบ
กันรอบหน้างาน เราก็วิ่งเลยเถิดเข้าไปในครัวที่อยู่หลังบ้าน ชามหม้อไหกาละมังกองพะเนินเป็นกองโตวางซ้อนกันมีชาวบ้านบางส่วน
มาช่วยอาสาล้างจานหม้อไหอยู่ ไหน ๆ ก็วิ่งเลยเถิดเข้ามาในนี้แล้วเราจึงสอดส่ายสายตามองตามพื้นครัวเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง
ที่เราเคยติดค้างไว้ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ทันจะได้มองหาให้ทั่ว เพื่อนก็วิ่งมาโป้งข้างหลังเราเสียก่อน เราจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่าย
ปิดตาแล้วหาเพื่อนแทนบ้าง แม้ภายนอกจะดูร่าเริงแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจเรานั้นมีความรู้สึกติดลึกและโศกเศร้าเพียงใด...
-ก่อนวันงาน-
ก่อนวันงานมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเรียกกันว่าพ่อครัวใหญ่ขับรถกระบะมาจอดหน้าบ้านตามันพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือทำอาหาร
หม้อชามกระทะเครื่องปรุงวัตถุดิบพื้นเมืองถูกลำเลียงลงจากหลังรถพร้อมลูกมือที่มาช่วยงาน ปู่เราเดินข้ามฝั่งไปบ้านตามัน
แล้วส่งเสียงพูดคุยปนหัวเราะชอบใจ ว่าแล้วย่าก็เดินข้ามฝั่งไปร่วมสมทบด้วยอีกเช่นกัน คล้อยบ่ายแก่ ๆ เราตัดสินใจไปวิ่งเล่น
ฝั่งบ้านตามันเพราะตอนนี้บ้านตามันคนเริ่มมากันคึกคัก ชาวบ้านเริ่มทยอยกันมาช่วยงานตกแต่งสถานที่ เมื่อเราเห็นว่าบ้านตามัน
คนเริ่มเยอะจอแจเราจึงวิ่งข้ามไปฝั่นนู้น จะมานั่งหง่าวอยู่บ้านคนเดียวทำไมจริงไหม?
"ไปวิ่งเล่นตรงอื่นไป ตรงนี้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดสถานที่กัน" ย่าไล่เราเมื่อเราวิ่งเข้าไปกลางบ้านที่เขากำลังร้อยสานใบตองเป็นแพขันหมาก
เราจึงเดินออกจากบริเวณนั้นแล้วเตร็ดเตร่ลัดเลาะไปเรื่อยจนเลยไปถึงห้องครัวที่อยู่สุดทางเดินของหลังบ้าน บ้านตามันเป็นบ้านไม้
ยกพื้นสูงชั้นเดียว บนบ้านเป็นห้องโล่งมีกั้นห้องนอนสองห้องสำหรับตาและลูกสาว รอบบ้านเป็นระเบียงไม้ซี่ห่าง ๆ รอบบ้าน ส่วนครัว
ก็เหมือนกับบ้านคนอื่นที่ครัวนั้นแยกตัวออกจากตัวบ้านไม่ได้อยู่ตรงใต้ถุนบ้านโดยตรงเพราะเวลาทำกับข้าวก่อฟืนควันก็จะลอยเหนือ
ขึ้นไปบนบ้าน ฉนั้น ครัวจึงถูกสร้างให้แยกออกจากตัวบ้านอย่างชัดเจน ครัวเป็นแบบเปิดโล่งด้านข้าง มีหลังคาสังกะสีมุงเสริมต่อมา
จากตัวบ้านอีกที (เดี๋ยวจะแนบรูปให้ดู)
เมื่อเราเดินเข้าไปในครัวก็กะว่าจะหาหยิบอะไรกินเล่นพอหอมปากหอมคอสักหน่อย สายตาก็สะดุดไปที่ถุงกระสอบขนาดย่อม
ถูดมัดปากกระสอบติดอยู่กับเสาครัวต้นหนึ่ง เราขยับเข้าไปใกล้เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าในกระสอบนั้นมีอะไรอยู่ เมื่อเสียง
ฝีเท้าของเราดังขึ้นกระสอบนั้นก็เริ่มขยับ เราหยุดชะงักเล็กน้อยและคิดว่าในกระสอบต้องมีตัวอะไรอยู่แน่นอน เมื่อเราหยุดนิ่งเงียบ
กระสอบก็นิ่งไม่ไหวติง พอเราเริ่มขยับเท้ากระสอบก็ขยับตามเช่นกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทำให้เรารีบปรี่เข้าไปใกล้
กระสอบอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอาปากกระสอบขึ้นมา จากนั้นก็รีบถ่างปากกระสอบออกทั้ง ๆ ที่ยังมีเชือกมัดอยู่นั่นแหละ เราหรี่ตาลง
ข้างหนึ่งเพื่อให้ตาอีกข้างหนึ่งมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับปากกระสอบ เชือกถูกมัดหลวม ๆ ทำให้เรามองหรี่ตาเข้าไปในกระสอบได้เล็กน้อย
สายตาเรามองปะทะกับลูกตาคู่หนึ่งที่อยู่ในกระสอบ ต่างฝ่ายต่างมองจ้องตากันจนกระทั่ง
อว๊อค!!!
ตัวที่อยู่ในกระสอบอ้าปากเปล่งเสียงร้องออกมาหนึ่งที เสียงนั้นทำให้เราตกใจปล่อยมือออกจากกระสอบแล้วผงะหงายหลัง
ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น กอปรกับย่าเดินเข้ามาตามเรากลับบ้านพอดี เมื่อย่าเห็นเรานั่งอยู่กับพื้นก็ดึงแขนเราขึ้นมาแล้วบอกให้กลับบ้าน
เราดึงแขนย่าไว้และถามย่าว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในกระสอบ ย่าไม่ตอบแล้วบอกให้กลับบ้านเพราะพ่อครัวใหญ่จะเข้ามาทำอาหารแล้ว
แต่เรายังคงดื้อดึงไม่ยอมกลับง่าย ๆ ย่าดึงแขนเรายื้อยุดไปมาก็พอทำให้สิ่งที่อยู่ในกระสอบนั้นส่งเสียงออกมาอีกรอบ
อว๊อค!!!
เราและย่าหยุดและหันกลับไปมองที่มาของเสียง อว๊อค!!! เสียงดังขึ้นอีกพร้อมกับกระสอบเริ่มขยับ สิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังดิ้นคลุก ๆ
กลิ้งไปมากับพื้นในครัวพร้อมส่งเสียง อว๊อค... อว๊อค... มาเป็นระยะ เรากับย่ายืนมองดูกระสอบดิ้นอยู่อย่างนั้นจนมันหยุดแน่นิ่ง
คงเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเริ่มหมดแรง เมื่อเหตุการณ์สงบลงเราเริ่มร้องไห้ออกมาพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหน้าย่า ย่าเองก็รู้ว่าเรารู้สึก
อย่างไรจึงคว้าแขนจูงมือเราออกมาแล้วพากลับบ้าน ย่าปลอบประโลมให้เข้าใจว่า
"นี่คือเรื่องธรรมชาติเขาเกิดมาเพื่อประทังชีวิตมันเป็นสัจธรรมของมนุษย์" เราสวนกลับทันทีว่า "เขามีแม่และเขาไม่ได้อยากถูก
ฆ่าตายมาให้เรากิน!!!" ย่าบอกต่อว่า "มันเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะกิน สัตว์เล็กก็เป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ ถ้าไม่สบายใจเรามาแผ่เมตตา
ให้มันดีไหม?"
และนั่นก็ถือเป็นครั้งแรกที่เราเรียนรู้การแผ่เมตตาจากย่า และเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะละ และต้องการให้สิ่งนั้นได้ไปดีพ้นทุกข์
ไม่เจ็บปวดจริง ๆ การแผ่เมตตาครั้งแรกของเราที่ให้กับสิ่งมีชีวิตที่รอเวลานับถอยหลังอยู่ตรงนั้น เราผู้รู้ชะตากรรมว่ามันกำลังจะเจอ
กับอะไร ทำให้เราใช้ความตั้งใจทั้งหมดที่มีแผ่เมตตาให้สิ่งนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ