รอยบรรพ์ (บทที่ 9)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ เป่าชาง, คุณซูซี่ Susisiri, คุณลิ ลายลิขิต, จารย์จี GTW, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณออม ออมอำพัน, คุณ มานีโอลา ถู
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://pantip.com/topic/36127426
บทที่ 1  https://pantip.com/topic/36134360
บทที่ 2  https://pantip.com/topic/36141907
บทที่ 3  https://pantip.com/topic/36149284
บทที่ 4  https://pantip.com/topic/36156203
บทที่ 5  https://pantip.com/topic/36164577
บทที่ 6  https://pantip.com/topic/36170552
บทที่ 7  https://pantip.com/topic/36179183
บทที่ 8  https://pantip.com/topic/36187082


บทที่  9



    แสงไฟจากหน้ารถฉายวาบออกมาจากแนวป่า เท้าแตะเบรกโดยอัตโนมัติ และดูเหมือนฝ่ายนั้นก็จะลังเลด้วยเช่นกัน เห็นสีแดงของไฟเบรกกะพริบสองสามครั้ง ชายหนุ่มตัดสินใจหักหัวรถเข้าไปในเลนนั้นแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าหาพร้อมกับปรับไฟหน้าให้เป็นสว่างจ้า

แสงไฟพุ่งเป็นลำ ฉายให้เห็นรถอีกคันที่พอขึ้นมาบนถนนได้ก็ถูกเร่งความเร็วเช่นกัน รถยนต์สองคัน…คันหนึ่งเล็กกว่าอีกคันชนิดเทียบกันไม่ได้…จึงพุ่งเข้าหากันในท่ามกลางความมืด

    หากทว่าฝ่ายหนึ่งกลับใจไม่แข็งพอ คนขับรถคันเล็กกว่าเป็นฝ่ายเหยียบเบรกก่อน และอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ยางล้อรถครูดกับผิวถนนดังสนั่นหวั่นไหว

    เขาจึงผ่อนคันเร่ง หากก็ยังไม่ยอมหยุดเสียทีเดียว มาเหยียบเบรกเอาเมื่อกันชนหน้าอยู่ห่างรถคันเล็กกว่าเพียงไม่ถึงครึ่งนิ้ว รถสองคันเข้ามาจ่อจนกันชนเกือบจะเกยกัน เขารู้ว่าถ้าชน  รถคันนั้นจะไม่มีอะไรเหลือและคนขับก็มีสิทธิ์รอดยาก ในเมื่อรถของเขามีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าหลายเท่า

    …แต่ยังหรอก ยังไม่ถึงเวลา

    ไฟสูงจากหน้ารถเขาส่องเข้าไปถึงภายในของคันที่อยู่ต่ำกว่า เห็นใบหน้าถทึงที่มองตอบกลับมาได้อย่างชัดเจน ยังคงมีริ้วรอยบาดเจ็บให้เห็นทั้งที่ข้างแก้ม หน้าผาก และสันจมูก แววตาจัดจ้าท้าทายมองตรงมาอย่างเคียดแค้น มันจำเขาได้ มีจุดประกายแดงวาบขึ้นที่นั่นด้วย นั่นช่วยให้เข้าใจว่าทำไมจนบัดนี้ตำรวจยังจับตัวคนร้ายคนนี้ไม่ได้เสียที ใช่แต่ความดีงามเท่านั้นหรอกที่ได้รับการคุ้มครอง ความชั่วร้ายก็เช่นกัน

    คุมเชิงกันเป็นครู่ จนในที่สุดฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายถอย ทิ้งรอยยิ้มท้าทายไว้ก่อนหันมองหลังและรถสี่ประตูสีเข้มถอยออกห่าง ก่อนอ้อมไปอีกฝั่งถนน แล้วบึ่งหายลับไปกับความมืด

    ร่างยับเยินถูกทิ้งไว้ระหว่างไม้ใหญ่สองต้นเมื่อเขาขับรถบุกเข้าไปถึง ไม่มีความพยายามซุกซ่อนศพไว้แต่อย่างใดในเมื่อบริเวณนั้นค่อนข้างโล่ง แม้ในความมืดก็เห็นอะไรบางอย่างขาวโพลนอยู่ที่นั่น

    ชายหนุ่มหยุดรถในระยะห่างออกมาพอสมควร ยังคงทิ้งให้เครื่องยนต์ทำงานเพื่อไฟหน้าจะได้ไม่ดับไปเสียก่อน เขาเปิดประตูก้าวลงด้วยจิตใจหม่นหมอง ตาจับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งนอนคว่ำหน้า สงบนิ่งและไม่ไหวติง เมื่อก้าวยาวๆ เข้าไปดูก็เห็นว่าแสงเรืองๆ ยังไม่ดับสูญไปเสียทีเดียว แม้จะหม่นมัวเต็มทีแล้วก็ตาม

    ทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าของตัวเอง อาศัยแสงไฟสว่างจ้าจากหน้ารถ เขาค่อยๆ ประคับประคองร่างผอมบางนั้นให้พลิกหงาย ได้ยินเสียงครางแผ่วเบา

    “เบียทริซ...” กระซิบเรียกชื่ออย่างอ่อนโยน

    มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที เสียงครางหยุดไปพร้อมๆ กับมือขวาของคนเจ็บพยายามยกขึ้น แต่ก็เพียงนิดเดียวแล้วหมดแรง ทำท่าจะตกกลับลงบนพื้นดินดังเดิม แต่ชายหนุ่มคว้าไว้เสียก่อน รู้ทั้งรู้ว่าอาจทิ้งลายนิ้วมือไว้ที่นี่ แต่จะแปลกอะไรในเมื่อตั้งใจจะโทรศัพท์ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาได้เห็นด้วยตัวเองแล้วอย่างนี้ ที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือหญิงชรารู้ว่าไม่ได้สิ้นใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าแบบนี้

    หล่อนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เบาจนแทบไม่ได้ยิน เขาต้องก้มลงหาจนใกล้ริมฝีปาก

    “ขอบ…คุณ”

    หล่อนรู้ เช่นเดียวกับคนอื่นทุกคนที่ผ่านมา หล่อนรู้ และเขาก็สบายใจที่เห็นว่าหล่อนไม่กลัวอีกแล้ว

ลูบไล้หลังมือเหี่ยวย่นในมือตัวเอง

    “ไม่กลัวแล้วใช่ไหมเบียทริซ พระเจ้าอยู่กับคุณเสมอ ทำใจให้สบาย”

    “ไม่...กลัว...ฉันไม่กลัว...อย่า...อย่าเพิ่ง...ไปไหน” แต่ละคำผ่านริมฝีปากแตกเป็นแผลกว้างออกมาอย่างยากลำบาก และลำบากขึ้นเรื่อยๆ

    ชายหนุ่มสอดมือลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาวของตัวเอง ดึงเอาสร้อยประคำห้อยกางเขนเงินออกมาวางลงบนฝ่ามือซึ่งกำลังสั่นระริกข้างนั้น รวบกลับเพื่อให้หล่อนกำเอาไว้

    “ผมไม่ไปไหนหรอกเบียทริซ จะอยู่ที่นี่กับคุณ”

    หล่อนพยายามพูดอีก แต่คราวนี้แทบไม่เป็นคำอีกแล้ว

    เขากดเลขหมายเก้าหนึ่งหนึ่งบนโทรศัพท์มือถือที่ติดมือมาด้วย กะประมาณเวลาแล้วว่าถ้าเรียกรถพยาบาลจะมาถึงเร็วกว่าขับรถพาคนเจ็บสูงวัยนี้ไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ผลออกมาก็ไม่ต่างอะไรกัน หญิงชราถึงฆาตแล้ว หล่อนมีเวลาเหลือนับได้เป็นนาที ไม่มากกว่านั้น

    มีเสียงผู้หญิงตอบรับที่ปลายสายหลังสัญญาณเรียกเพียงครั้งเดียว

    “เก้า หนึ่ง หนึ่ง แผนกฉุกเฉิน”

    “ผมโทรมาแจ้งเหตุทำร้ายร่างกาย”

    “คนเจ็บอยู่ที่ไหนคะ”

    “ถนนสายสิบเจ็ด ออกมานอกเมือง เกือบถึงทางแยกออกถนนหลวงสายยี่สิบ”

    “คนเจ็บมีอาการอย่างไรบ้างคะ”

    “แถวนี้มืดมากครับ เท่าที่เห็นมีแผลเหมือนมีดหรือของมีคมอะไรสักอย่างบริเวณลำตัวและใบหน้า”

ความมืดและแสงไฟจากรถก่อให้เกิดเงา นั่นยิ่งทำให้เห็นรายละเอียดอะไรได้ไม่ดีนัก เขาต้องไล่นิ้วไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเจ็บเพื่อหาบาดแผล

“ที่ศีรษะมีรอยแตก”

    “รถพยาบาลไปแล้วนะคะ ขอชื่อ เบอร์โทรศัพท์คุณด้วย”

    ชายหนุ่มบอกชื่อและเบอร์โทรศัพท์มือถืออย่างไม่คิดจะปิดบัง ในเมื่อตัวเองก็เป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งอยู่แล้ว เพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีกจะเป็นไรไป

    “รถพยาบาลออกไปแล้วนะคะ” หล่อนย้ำอีกครั้ง “คนเจ็บยังมีสติอยู่หรือเปล่า”

    “ยังมีสติอยู่ครับ แต่คงอีกไม่นาน”

    มือเหี่ยวย่น เปียกชื้นและเหนียวเหนอะหนะข้างนั้นอ่อนปวกเปียกไปแล้วแม้เขาจะกุมเอาไว้ก็ตาม

    “คนเจ็บหายใจเป็นปกติหรือเปล่า”

    “ไม่ครับ หายใจติดขัด คิดว่าคงมีเลือดออกภายในเพราะได้ยินเสียงครืดๆ แต่ตอนนี้ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย ที่นี่มืด ไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอะไรเลยด้วย”

    “รถพยาบาลออกไปสักพักแล้วค่ะ ตำรวจด้วย” หล่อนบอกย้ำอีกรอบ

    และเพียงไม่กี่นาทีถัดมาเสียงไซเรนก็ดังแว่วมาแต่ไกล ในขณะที่ใจเขาเริ่มคิดไปถึงผู้หญิงอีกคน เธอจะโทษตัวเองไหมถ้าพรุ่งนี้ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วได้รู้ว่ามีคนรับเคราะห์แทนเธอไปอีกคน อีกทั้งคราวนี้ยังเป็นคนใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องนี้เป็นเพราะการตัดสินใจของเขาแท้ๆ เขาเข้าไปขัดขวางสิ่งที่ควรเกิดขึ้น ความยุ่งยากและเลวร้ายจึงได้ตามติดมาแบบนี้ ยังจะมีอีกกี่คนจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด เขาเองก็บอกไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่